เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1969: กฎสามประเภท
ตอนที่ 1969: กฎสามประเภท
“ซีหยู ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จ เจ้าได้เป็นขอบเขตเหนือเทพแล้ว ในอนาคตเจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน” เจี้ยนเฉินแสดงความยินดีกับซีหยูด้วยความจริงใจ เขามองนางด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนไม่ได้มีขั้นเหนือเทพจำนวนมาก บวกกับความจริงที่ว่าหลายคนได้เสียชีวิตลงในระหว่างการต่อสู้กับลัทธิปีศาจชั้นฟ้า ตอนนี้จึงมีขั้นเหนือเทพน้อยลงกว่าเดิม ตอนนี้ซีหยูประสบความสำเร็จในการเป็นขั้นเหนือเทพในสถานการณ์เช่นนี้ สถานะของนางจะยิ่งใหญ่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน
ซีหยูสวมชุดสีขาวหรูหรา ในขณะที่ผมสีดำเงางามของนางถูกเกล้าไว้อย่างงดงาม เป็นผลให้นางไม่เหมือนหญิงห้าวหาญเช่นก่อนหน้านี้ นางกลับดูเหมือนเป็นบุตรสาวอันเลอค่าของตระกูลใหญ่
“ข้าได้เป็นขั้นเหนือเทพอย่างรวดเร็วเพราะการเลี้ยงดูของผู้อาวุโส” ซีหยูโค้งคำนับเล็กน้อย นางพูดเบา ๆ เสียงของนางไพเราะมาก ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อนางมองเจี้ยนเฉิน
พรสวรรค์ของซีหยูนั้นยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ด้วยความสามารถที่นางแสดงออกมาในตอนนี้ นางไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลานานตราบเท่าที่นางกลายเป็นขั้นเหนือเทพ นางจะประสบความสำเร็จได้เร็วกว่านี้
อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีที่ตระกูลโม่นั้นอ่อนแอเกินไป พวกเขาเป็นเพียงตระกูลที่มีขั้นเทพ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทรัพยากรมากมายที่จะยกระดับอัจฉริยะเช่นซีหยู
มันเป็นผลให้ซีหยูเป็นเพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์หลังจากการบ่มเพาะในตระกูลโม่ถึงสองพันปี
หลังจากได้พบกับเจี้ยนเฉิน นางจึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการได้รับทรัพยากร นางได้รับเหรียญผลึกจำนวนมากและคำแนะนำในการทำความเข้าใจกฎของกระบี่ ความแข็งแกร่งของนางพุ่งสูงขึ้นหลังจากนั้น นางจึงพัฒนาจากขั้นศักดิ์สิทธิ์จนไปถึงขั้นเหนือเทพในช่วงเวลาสั้น ๆ
“ความสามารถของซีหยูนั้นไม่น้อยไปกว่ากลุ่มอัจฉริยะของตระกูลขนาดใหญ่” เจี้ยนเฉินอดไม่ได้แต่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เขาได้พบกับอัจฉริยะเหลายคนจากจักรวรรดิโบราณเหล่านั้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจ
ตอนนี้เขาเปรียบเทียบซีหยูกับคนกลุ่มอัจฉริยะ แต่จริง ๆ แล้วซีหยูน่าประทับใจกว่าพวกเขา
เจี้ยนเฉินมองซีหยูด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขากล่าวว่า “ซีหยู การพักที่ตระกูลเทียนหยวนนั้นเป็นการทำให้เจ้าต้องสูญเสียพรสวรรค์ ตระกูลเทียนหยวนในปัจจุบันไม่สามารถให้ทรัพยากรที่จะทำให้เจ้าสามารถเติบโตได้เร็วขึ้นได้มากกว่านี้ การอยู่ที่นี่จะทำให้เจ้าเสียศักยภาพ มีเพียงสำนักใหญ่ในจักรววรดินิรันดร์เท่านั้นที่จะช่วยให้เจ้าปีนขึ้นไปได้สูงขึ้นและไกลขึ้นได้”
“ท่านกำลังไล่ข้าหรือ ? ” ซีหยูมองเจี้ยนเฉิน ใบหน้าของนางเริ่มเศร้าหมองและหดหู่เล็กน้อย
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ได้ต้องการไล่เจ้าออกไป ข้าแค่คิดถึงอนาคตของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ หรือแม้แต่ไปถึงจุดสูงสุดของโลกเซียน”
ผู้นำแห่งตระกูลโม่คนก่อน โม่ซิงเฟิงมองไปซีหยูและถอนหายใจภายใน เขากล่าวว่า “หยูเอ๋อ ผู้นำพูดถูก พิจารณาคำแนะนำของผู้นำและเข้าร่วมสำนักที่ใหญ่กว่านี้”
โม่ซิงเฟิงเฝ้าดูซีหยูเติบโต ไม่มีคนอื่นที่เข้าใจซีหยูมากไปกว่าเขา เขารู้สึกไร้ประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาปรารถนาอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจว่าซีหยูสามารถออกจากตระกูลเทียนหยวนชั่วคราวและเข้าร่วมสำนักที่ทรงพลังเหล่านั้น มันจะดีกว่าสำหรับนาง
“ไม่ อย่าปล่อยให้พี่ซีหยูไป อย่าทิ้งข้าไป ? ข้าไม่ต้องการแยกจากพี่จริง ๆ ” ในขณะนี้โม่หยานก็วิ่งไปเช่นกัน นางเกาะติดแขนของซีหยูอย่างแน่นหนาขณะที่นางพูดว่าตัวเองไม่เต็มใจที่จะแยกจากซีหยู หลังจากนั้นนางก็ยกกำปั้นเล็กไปทางเจี้ยนเฉินด้วยความโกรธและพูดอย่างดุดันว่า “ผู้นำเจี้ยนเฉิน,ท่านอย่าปล่อยให้พี่ซีหยูไป ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้ท่านเด็ดขาด”
เจี้ยนเฉินยิ้มและมองโม่หยานอย่างหมดหนทาง แม้ว่าโม่หยานจะแก่กว่าเขา แต่เขาก็เริ่มปฏิบัติต่อนางในฐานะน้องสาวคนเล็กของเขามานานแล้ว เขาต้องการปกป้องโม่หยานจากก้นบึ้งของหัวใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจี้ยนเฉินนึกถึงการบ่มเพาะของโม่หยาน เขาก็รู้สึกเจ็บปวด หญิงคนนี้ไม่ชอบการบ่มเพาะมากนักและนางก็จะยึดทัศนคติของตัวเองทันทีที่พูดถึง เป็นผลให้นางไม่มีความคืบหน้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางยังคงอยู่ในระดับเซียน
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ท่านผู้นำ แต่ข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมสำนักใหญ่เหล่านั้น ยิ่งกว่านั้นผู้นำเองก็ไม่เคยเข้าร่วมในสำนักใหญ่เช่นกัน และพลังของท่านยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว ? ด้วยเหตุนี้ ข้าเชื่อว่าข้าก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้แม้ว่าข้าจะไม่ได้เข้าร่วมในนิกายใหญ่ ๆ เหล่านั้น” ซีหยูกล่าวอย่างหนักแน่น
เจี้ยนเฉินไม่มีทางอื่นเนื่องจากการยืนหยัดของซีหยู เขาทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับและออกไป
เจี้ยนเฉินมาถึงบริเวณที่ต้องห้ามของตระกูลเทียนหยวนโดยไม่รู้ตัว ค่ายกลที่แข้งแกร่งล้อมรอบบริเวณที่ต้องห้าม และมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปในสถานที่นี้
เจี้ยนเฉินยืนอยู่ในบริเวณที่ต้องห้าม เขากำลังคิดถึงซ่างกวนมู่เอ๋อ
เดิมทีซ่างกวนมู่เอ๋อควรบ่มเพาะที่นี่เพื่อรอเขากลับมา อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาไปภาคเหนือและจะส่งผลให้พวกเขาต้องแยกจากกัน
“มู่เอ๋อ ข้าสงสัยว่าเจ้ามาถึงลัทธิเต๋าเสียงศักดิ์สิทธิ์หรือยังและพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าดีหรือไม่ ? เจ้าต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นและรอให้ข้าไปรับเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าที่ราบอัคคีฟ้าอยู่ที่ไหนหรือมันอยู่ไกลแค่ไหนจากที่ราบเมฆามากเพียงใด ข้าจะไปที่นั่นอย่างแน่นอน” เจี้ยนเฉินกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
อย่างไรก็ตาม,ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็หรี่แคบลง เขาหันหลังกลับมา
ร่างผอมเพรียวยืนอยู่ข้างหลังเขาเงียบ ๆ มองเจี้ยนเฉินอย่างใจเย็น
“ไคยะ เจ้าเองรึ ! ” เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขามองไปที่ไคยะด้วยความตกใจอย่างยิ่งเพราะจิตใจของเขาอยู่ในความสับสนอลหม่าน
นี่เป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าไคยะเข้ามาใกล้เขาเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ที่ไคยะปรากฏตัวข้างหลังเขาและนางยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว
เจี้ยนเฉินมองดูนางด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ เขาศึกษาไคยะอย่างระมัดระวัง นั่นทำให้เขาอ้าปากค้างทันที ความไม่เชื่อท่วมท้นใบหน้าของเขา จิตใจของเขาปั่นป่วน
“ไคยะ การบ่มเพาะของเจ้า…” เจี้ยนเฉินพูดด้วยความตกใจ ในขณะนั้นเขาพยายามที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น
เขาค้นพบว่าความแข็งแกร่งของไคยะเพิ่มขึ้นถึงขั้นเหนือเทพช่วงปลายในช่วงเวลาสั้น ๆ
เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน
ไคยะตื่นขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว ? เมื่อนางตื่นขึ้นมา นางก็เป็นเพียงแค่เซียนจักรพรรดิ แต่นางก็กลายเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลายไปแล้วตอนนี้
เจี้ยนเฉินตกตะลึงด้วยความแข็งแกร่งของนางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเร็วมากจนทิ้งให้เจี้ยนเฉินมึนงง
ด้วยความเร็วนั้นอาจมีเพียงนางฟ้าเฮายู่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นในชีวิตในอดีตของนางที่สามารถปราบปรามไคยะได้
“เจี้ยนเฉิน ขอบคุณสำหรับแก่นอสูรและเหรียญผลึกเหล่านั้นทั้งหมด เป็นเพราะพวกมันที่การบ่มเพาะของข้าได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว” ไคยะพูดกับเจี้ยนเฉิน จากท่าทางที่เรียบง่ายของนาง ราวกับว่านางไม่รู้ว่าการบ่มเพาะที่รวดเร็วของนางนั้นสามารถสร้างความโกลาหลได้มากเพียงใดในโลกเซียน ?
“การบ่มเพาะสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยการดูดซับเหรียญผลึกจำนวนมาก แต่ความเข้าใจกฎของโลก…” เจี้ยนเฉินลังเล ไคยะทำให้เขาประหลาดใจมากเหลือเกิน
ความสับสนเกิดขึ้นในสายตาของไคยะ นางพูดว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ความเข้าใจกฎของโลกดูเหมือนจะง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้าสามารถเข้าใจกฎโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ ตอนนี้ข้าเข้าใจกฎสามประเภทแล้ว และดูเหมือนว่าข้าสามารถดูดซับพลังงานของเหรียญผลึกได้เร็วกว่าคนอื่นหลายพันเท่า”
ขณะที่พูดเช่นนั้น ไคยะใช้พลังของกฎในทันทีด้วยความคิด ทันใดนั้นกฎสามประเภทที่แตกต่างกันก็รวมตัวกัน
เจี้ยนเฉินตกตะลึงเมื่อเขาเห็นว่ากฎหมุนรอบไคยะ เขาบ่นว่า “กฎแห่งการทำลายล้าง, กฎแห่งไฟ,และสิ่งสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นกฎแห่งการสร้างสรรค์…” เจี้ยนเฉินประหลาดใจอย่างที่สุด กฎทั้งสามของไคยะมาถึงขั้นเหนือเทพช่วงปลาย