Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 306.4
บทที่ 306: ไข่มุกจันทรา (4)
ในเวลานี้ซ่งจงต้องการที่จะปฏิเสธภารกิจในคราวนี้ เพราะว่าเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไปยั่วยุราชันหมื่นปีศาจด้วยพละกำลังเล็กน้อยของตนเองได้ อีกทั้งในตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าพลังของตนเองไปถึงระดับไหนแล้ว
นอกจากนี้ราชันหมื่นปีศาจนั้นยังเลื่องชื่ออย่างมาก อีกทั้งมันขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ในสถานที่ที่เป็นของมนุษย์ แน่นอนว่าพวกมันย่อมเสียเปรียบ แต่การจะลงสนามไปต่อสู้กับพวกมัน ในดินแดนของปีศาจน่ะเหรอ… ความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันจะเพิ่มมากเท่าใดใครจะรู้? นอกจากนี้มันยังมีอุปกรณ์ลึกลับที่สามารถเปลี่ยนโลกที่สวยงามให้กลายเป็นดินแดนรกร้างผีสิงได้อีก ผู้คนนับล้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นปีศาจอย่างง่ายดาย แล้วใครกันเล่าที่จะไม่เกรงกลัวพลังโหดเหี้ยมเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้นราชันหมื่นปีศาจนี้ยังชื่นชอบการสังหารมือใหม่แห่งโลกฝึกฝน ไม่เคยมีผู้ใดมีชีวิตรอดกลับมาบอกเล่าถึงอุปกรณ์วิเศษใดๆที่ปีศาจตนนั้นครอบครองเลย การวิ่งไปหาศัตรูถึงบ้านแล้วยังไม่รู้ว่าศัตรูเป็นอย่างไร ใช้อาวุธแบบใด ต่อสู้ด้วยวิธีไหนเป็นหนทางที่วิ่งสู่ความตายโดยสมบูรณ์!
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ซ่งจงจึงไม่คิดที่จะวิ่งลงไปในโคลนตมเหล่านั้นด้วยตนเองเพียงเพื่อภารกิจพิชิตไข่มุกจันทรา แต่ทว่าการตอบแทนต่อตระกูลสุ่ยนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาควรพึงกระทำอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วแม้ว่าเขาจะสามารถทำภารกิจลุล่วงได้ก็จริง แต่สิ่งที่จะได้ตอบแทนกลับมาก็มีเพียงคำขอบคุณจากตระกูลสุ่ยเท่านั้น แต่ถ้าหากซ่งจงไม่ยอมรับภารกิจในคราวนี้ เขาจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างล่ะ? ซ่งจงไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าเขาจะสามารถเอาชนะราชันหมื่นปีศาจได้จริงๆ ถ้าหากว่าเขาทำพลาดแม้แต่นิดเดียว นั่นหมายถึงเขาจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้!
อย่างไรก็ตามทั้งสุ่ยเมิ่งหลงและผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินทั้งสองต่างพากันจ้องมองซ่งจงอย่างคาดหวัง ถ้าหากว่าซ่งจงกล้าที่จะปฏิเสธคำขอในครั้งนี้ ทั้งหมดกลัวว่าตนเองจะเก็บงำความโกรธไว้ไม่ได้และทำทุกสิ่งอย่างพังไปด้วยน้ำมือของตน
ท่าทีของซ่งจงนั้นลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเขาพยายามเค้นน้ำเสียงออกมาจากลำคอได้ความว่า “ท่านอาวุโสได้โปรดบอกความจริงกับข้าเถิด เหตุผลที่ข้าผู้นี้สามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้นั้นเพราะข้าใช้อุปกรณ์วิเศษขนาดใหญ่ ด้วยพละกำลังของเรือมังกรทองคำนั้นคอยช่วยเหลือข้าไว้ได้มากโข แต่ในขณะนี้ท่านขอให้ข้าไปสู้รบกับราชันหมื่นปีศาจ ซึ่งอายุขัยของมันนั้นมากกว่าหมื่นปีที่มันวิ่งไล่ฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วน พลังของมันล้นเหลือมากเกินกว่าข้าจะรับมือได้ไหวแน่นอน ข้าเกรงว่าแม้ว่าตัวข้าเองจะมีกองทัพนับหมื่นคนก็คงไม่สามารถเอาชนะเขาได้”
“มากกว่าหนึ่งหมื่น!” สุ่ยเมิงหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ผู้ฝึกตนที่เคยหลบหนีออกมาได้เคยบอกกล่าวไว้ว่ากองทัพของราชันหมื่นปีศาจนั้นมีประมานหนึ่งหมื่นห้าพัน!”
“แล้วข้าจะสามารถทำอะไรได้ล่ะ?” ซ่งจงกล่าวต่ออย่างตรงไปตรงมา “กองทัพของข้านั้นมีเพียงห้าพันเท่านั้น อีกทั้งความเร็วของเรือมังกรทองคำก็ไม่ได้มากอะไรนัก ข้าคงไม่สามารถจะจัดการสิ่งเหล่านั้นได้แน่!”
“มันไม่มีวิธีอื่นงั้นเหรอ?” สุ่ยเมิงหลงกล่าวออกมาอย่างเจ็บปวด
“ข้ามองไม่เห็นหนทางแล้วจริงๆ นอกซะจากว่าซัวชาโบและเรือมังกรทองคำนั้นร่วมมือกัน!” ซ่งจงยักไหล่อย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร พร้อมกล่าวต่อ “มิฉะนั้นข้าก็คงไม่อาจจะต่อกรกับเขาได้จริงๆ!”
“เจ้าจะไม่ใช่พลังอย่างเต็มที่ในการต่อสู้งั้นเหรอ?” หญิงสาวด้านข้างกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล “ถ้าหากเปิดการโจมทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบและใช้งานการป้องกันทั้งหมด ข้าคิดว่าน่าจะพอทำได้นะ”
“ข้าต้องบอกอาวุโสตามตรง…” ซ่งจงกล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “เรือมังกรทองคำของศิษย์นั้นใหญ่โตและดูทรงพลังก็จริง แต่ทว่ามันจำเป็นจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการสำแดงฤทธิ์เดช มันจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการไล่ล่าราชันหมื่นปีศาจ! ยกเว้น…”
“ยกเว้นอะไรกัน?” สุ่ยเมิงหลงรีบถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“ถ้าหากว่าสามารถล้อมรอบเขาไว้ได้ แน่นอนว่ามันไม่จำเป็นจะต้องใช้เวลามากนัก เพียงแค่อึดใจเดียวก็เพียงพอ!” ซ่งจงกล่าวต่อ “ตราบใดที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ศิษย์สามารถใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งเพื่อตัดขาดร่างกายของมันเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย!”
“เรื่องนั้น…” สุ่ยเมิ่งหลงขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวต่อ “ร่างกายของราชันหมื่นปีศาจนั้นเป็นวิญญาณ เขาไม่มีกายภาพอย่างเช่นพวกเรา ร่างกายของเขานั้นเป็นอิสระราวกับควันล่องลอยไปมา มันยากมากที่จะจับกุมหรือล้อมเขาไว้ อีกทั้งการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับเฟินเสินขั้นสมบูรณ์แล้ว เป็นเรื่องยากมากที่จะจัดการกับมันได้โดยง่าย การที่จะล้อมรอบเขาไว้ให้ได้ภายในหนึ่งลมหายใจนั้นไม่ได้ง่ายเลย ซึ่งมันจะทำได้ก็ต่อเมื่อ…”
คราวนี้สุ่ยเมิ่งหลงมองไปที่หญิงสาวด้านหน้าอย่างอึดอัดใจเล็กน้อย
หญิงสาวเผยความอึดอัดใจออกมาพร้อมกล่าวอย่างตัดพ้อ “ท่านลุง… ท่านหมายถึงจิตวิญญาณแช่แข็งใช่หรือไม่?”
“ยกเว้นสิ่งนั้น… มันเป็นสิ่งเดียวไม่ใช่หรือที่สามารถคุมขังราชันหมื่นปีศาจได้?” สุ่ยเมิ่งหลงกล่าวออกมาอย่างอับจนหนทาง “เพราะว่าครอบครัวของเจ้านั้นสร้างปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา เช่นนี้เจ้าจำเป็นจะต้องรับผิดชอบด้วยการมอบจิตวิญญาณแช่แข็งนั้นให้กับซ่งจงซะ!”
ใบหน้าของหญิงสาวเจ็บปวดอย่างรุนแรงเนื่องจากความเสียใจที่ถาโถมเข้ามา ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมดทันที
ซ่งจงเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เขารู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จิตวิญญาณแช่แข็งนั้นคือสิ่งใดกันงั้นเหรอ? ข้าเข้าใจอยู่ว่ามันคงจำเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก แต่ทว่าข้าไม่คิดที่จะแย่งชิงมันมาจากผู้ใดโดยไม่เต็มใจ เช่นนี้เขาจึงรีบกล่าวออกไปทันที “อาวุโสไม่จำเป็นจะต้องมอบสิ่งใดให้กับข้าเป็นการถาวรหรอก เพียงแค่ให้ข้าหยิบยืมมันก่อน ทันทีที่ข้ากลับมาข้าสัญญาว่าจะคืนมันให้กับท่าน!”
“โอ้!” สุ่ยเมิ่งหลงได้ยินเช่นนั้น เขาได้แต่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวต่อ “ข้านั้นก็ต้องการที่จะให้เจ้าหยิบยืมสิ่งของชิ้นนี้เช่นกัน ถ้าหากทำได้น่ะนะ แต่น่าเสียดายที่จิตวิญญาณแช่แข็งนั้นเป็นสมบัติวิญญาณที่เกิดขึ้นใต้ท้องทะเลลึกหลายพันลี้ ซึ่งในตอนนี้มันยังคงว่างไร้เจ้าของครอบครอง มันกำลังจะพัฒนาเลื่อนระดับในอีกไม่ช้านี้ ความสามารถของมันนั้นสามารถทัดเทียมกับดาบเทวะเหมันต์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถ้าหากว่าเจ้าต้องการจะใช้งานมันล่ะก็… จำเป็นจะต้องครอบครองมันให้ได้ก่อน เจ้าคงจะรู้ดีกว่าสมบัติวิญญาณเหล่านี้นั้นจะเชื่อฟังเพียงแต่เจ้านายของตนเท่านั้นและมันจะไม่มีวันทรยศเจ้านอกจากเจ้าจะล้มหายตายจากมันไป!”
ซ่งจงไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวมันจะเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะตกใจสักหน่อยแต่เขาก็ยังเต็มไปด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ถ้าหากว่ามันเป็นจริงอย่างที่สุ่ยเมิ่งหลงกล่าว แสดงว่าดาบเล่มนี้สามารถเทียบเท่ากับดาบเทวะเหมันต์ได้! พลังก็มันคงไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งที่ทุกคนย่อมรู้จักเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามการพัฒนาของดาบเทวะเหมนต์นั้นเริ่มมาจากน้ำแข็งอย่างแท้จริง แต่ทว่าดาบจิตวิญญาณแช่แข็งนี้เริ่มต้นมาจากน้ำซึ่งเป็นสสารแรกเริ่มของทุกสรรพสิ่ง เพียงน้ำแค่หนึ่งหยดก็สามารถจะปรับแต่งอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้มากมายแล้ว ถือได้ว่าจิตวิญญาณนี้อยู่ในระดับที่สูงส่งอย่างมาก รากฐานที่มั่นคงจะนำพาไปสู่พลังที่ไร้ขีดจำกัดในอนาคต มันจะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด อาจกล่าวได้ว่าวันหนึ่งพลังของมันอาจจะมากเสียยิ่งกว่าดาบเทวะเหมันต์ก็ย่อมไม่ผิด!
แน่นอนว่าสมบัติวิญญาณดั่งกล่าวนี้ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะหยิบยื่นมันให้กับผู้อื่น หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นซึ่งใบหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความเสียใจอย่างล้นหลาม มันเป็นความพยายามอย่างหนักหน่วงของนางเองที่จะคอยดูแลรักษาสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ ในทุกๆวันเธอพยายามจะที่จะเฝ้ารอและอยากจะปราบปรามมันให้จงได้ เมื่อเวลาที่นางได้ครอบครองมันมาถึง ความแข็งแกร่งที่ไม่รู้จบจะมาสู่นางอย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย แม้ว่าดาบจิตวิญญาณแช่แข็งจะมีความสำคัญอย่างมาก แต่มันก็ไม่อาจสำคัญเทียบได้กับความปลอดภัยของอาวุโสในตระกูลเลยแม้แต่น้อย!
ถ้าหากว่าไม่มีดาบจิตวิญญาณแช่แข็ง ในภายภาคหน้านางก็คงอาจจะได้พบกับสมบัติวิญญาณอื่นๆอีกอยู่ดี แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่สามารถทัดเทียมกันได้ก็ตาม แต่ถ้าหากว่านางคิดจะดื้อรั้นไม่ฟังอาวุโสต่อไป ก็มีแต่จะดึงดันทำให้เรื่องราวทั้งหมดย่ำแย่ไปมากกว่าเดิม การครอบครองดาบจิตวิญญาณแช่แข็งนี้มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับตัวนางเองเท่านั้น
นางไม่อาจจะขัดขืนคำสั่งของอาวุโสอายุกว่าพันปีตรงหน้าได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นสุ่ยเมิ่งหลงก็ไม่เร่งรีบที่จะคาดคั้นนางแต่อย่างใด เขามองเข้าไปในแววตาเจ็บปวดของนางอย่างเข้าอกเข้าใจเช่นกัน สุดท้ายแล้วนางได้แต่ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำใสๆที่เอ่อล้นขึ้นมาบนดวงตา น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อยในขณะที่กล่าวประโยคสั้นๆ “ข้าจะมอบดาบจิตวิญญาณแช่แข็งให้กับเจ้า มันคือว่าเป็นรางวัลสำหรับภารกิจในคราวนี้! แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่สามารถนำพาไข่มุกจันทรากลับมาได้ ข้าขอสาบานว่าจะตามล่าเจ้าไปทุกหนทุกแห่งเพื่อสังหารเจ้าซะ!”