Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 9: ผู้มาเยือน
“ซี่!”
ที่ใจกลางที่ราบแห่งหนึ่งในเทือกเขาชิงหลิง ไฟกองหนึ่งถูกจุด ไก่ทั้งตัวถูกเสียบไม้ย่าง หนังสีน้ำตาลทองกรอบฉ่ำน้ำมัน กลิ่นหอมของเนื้อไก่กรุ่นในอากาศ
“กิ๊กิ๊!”
ที่ข้างกองไฟ หนูเตียวขาวตัวใหญ่ขยับไปมาอย่างเริ่มหมดความอดทน
“รอก่อน! มันยังไม่สุก!”
ฟางหยวนหมุนไก่ย่างไปมาอย่างละเมียด โรยเกลือและพริกไทยลงบนเนื้อเป็นระยะ
ตั้งแต่ทำข้อตกลงกัน ฟางหยวนก็ค่อย ๆ คุ้นเคยกับการปรากฏตัวของหนูเตียวขาว
หลังจากดื่มชาชำระจิตที่ชงด้วยพิธีชงชาสมาธิ และกินใบชาชำระจิตอีกนิดหน่อย หนูเตียวขาวก็หมดความสนใจในต้นชาชำระจิตทันที แต่หนูเตียวกลับเรียกร้องให้ฟางหยวนชงชาให้มันทุกวัน
เพื่อเป็นการตอบแทน หนูเตียวนำปุ๋ยพืชวิญญาณมาให้ฟางหยวน และที่ดีไปกว่านั้น บางครั้งหนูเตียวยังนำไก่ฟ้าและกระต่ายที่มันล่าได้มาให้ฟางหยวนเป็นบรรณาการด้วย
ฟางหยวนก็ไม่เหนียวกับหนูเตียวเช่นกัน เขาวางแผนแบ่งครึ่งหนึ่งของเนื้อพวกนั้นกับหนูเตียวหลังจากย่างสุกแล้ว
หนูเตียวคุ้นเคยกับการกินเหยื่อที่มันล่ามาได้แบบดิบ ๆ และไม่เคยกินอาหารสุกมาก่อน รสชาติของเนื้อสุกที่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศและย่างจนสุกในแบบของฟางหยวน ไม่นาน อาหารสุกก็กลายมาเป็นความหลงใหลของหนูเตียวขาว
ทุกวันนี้ ฟางหยวนจะเปิดประตูตอนเช้ามาเจอหนูเตียวนั่งวางเหยื่อที่ล่าได้ไว้ที่หน้าประตู เขาไม่เคยขาดเนื้อสดอีกเลย
“มา! เนื้อสุกแล้ว!”
ฟางหยวนฉีกไก่ย่างออกครึ่งหนึ่งโยนให้หนูเตียวขาว หนูเตียวขาวปลาบปลื้มมาก และในพริบตาเดียวมันก็ฉีกเนื้อกลืนลงไป จากนั้นก็เลียปลายจมูกตัวเอง ทำท่าเหมือนอยากได้เพิ่ม
“โอ้ เร็วมาก…”
ฟางหยวนพูดไม่ออก เขากัดส่วนปีกไก่ย่าง
“อา รสชาติดีมาก!”
ไก่ย่างไม่เพียงแค่หอม แต่เนื้อยังแน่นและชุ่มฉ่ำ ดูเหมือนว่าไก่นี่จะกินพวกลูกสนหรืออะไรแบบนั้นเป็นอาหาร เนื้อของมันจึงมีกลิ่นสมุนไพร จึงไม่แปลกที่แม้ฟางหยวนจะอบแค่ให้กึ่งสุกก็ได้รสชาติที่ดีมาก
“อยากได้เพิ่มอีกเหรอ?”
ฟางหยวนสังเกตเห็นหนูเตียวขาวเหลือบมองเป็นเชิงขอก็โยนน่องไก่ให้ชิ้นหนึ่ง หนูเตียวรับไว้อย่างตื่นเต้นก่อนจะเขมือบลงไปอย่างเอร็ดอร่อย
“อยากกินแต่เนื้ออย่างเดียว คุณค่าทางอาหารอาจจะไม่พอ…”
ฟางหยวนเอาข้าวหยกมุกกับกับข้าวอีกสองสามอย่างออกมา หนูเตียวขาวไม่สามารถอดใจต่ออาหารหรูหราพวกนี้ได้จนถึงกับขอข้าวเพิ่มอีกถ้วย ฟางหยวนสงสัยว่ากระเพาะของหนูเตียวขาวคงเป็นหลุมไร้ก้นเป็นแน่
เมื่อกินจนอิ่ม ฟางหยวนก็ขยับเข้าไปใกล้ ๆ หนูเตียวที่ยังวุ่นวายกับอาหารของตัวเอง ลูบมือไปตามแนวหลังของมัน
หนูเตียวขาวมีขนนุ่มนิ่ม เรียบลื่นยิ่งกว่าไหมที่คุณภาพดีที่สุด ฟางหยวนอดไม่ได้ที่จะลากมือไปตามขนนิ่มละเอียดเป็นเงาวับครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังแอบรู้สึกดีใจที่หนูเตียวเริ่มมองเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“ช่างเป็นสัตว์ร้ายที่ทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม ถ้าข้าทำให้มันเชื่องได้ มันก็จะกลายเป็นผู้ดูแลหุบเขาที่เก่งกาจ จะไม่มีใครกล้าล่วงล้ำเข้ามาอีกต่อไป!”
ฟางหยวนไม่ลืมว่าเขายังมีศัตรูที่ไม่รู้จักอยู่ที่ด้านนอกนั่น
“ไม่มีเครื่องดื่มหลังอาหารไหนที่ดีไปกว่าน้ำชา..”
หลังจากกินไก่ย่างชิ้นสุดท้าย ฟางหยวนก็ยิ้มแล้วกลับไปที่กระท่อมเพื่อหยิบกาน้ำชา
ดวงตาของหนูเตียวขาวเป็นประกายขึ้นมาเมื่อเห็นกาน้ำชา
สำหรับหนูเตียวแล้ว ไก่ย่างนั้นแก้หิวเท่านั้น แต่ชาชำระจิตเพิ่มระดับการรับรู้และชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นแก่มัน
“ซี่”
น้ำชาใสกระจ่างไหลลงสู่ถ้วยชาส่งกลิ่นหอมกรุ่น
ฟางหยวนทำใจให้ผ่องใส เริ่มกระบวนการที่คุ้นเคย หนูเตียวขาวดูจะเข้าใจความสำคัญของกระบวนการนี้จึงนั่งขัดสมาธิรออย่างสงบ
“เชิญ!”
ฟางหยวนยื่นถ้วยชาให้หนูเตียวขาว
มนุษย์และสัตว์ป่านั่งหัวหน้าเข้าหากัน ดื่มน้ำชาด้วยกัน ทั้งสองดื่มด่ำไปกับช่วงเวลานี้
“หืม ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงความหัวใจอันบริสุทธิ์ของหนูเตียว ดูเหมือนมันจะรู้วิธีชื่นชมพิธีชงชาของท่านอาจารย์…”
ฟางหยวนรู้สึกยินดีเหลือเกิน
นี่สะท้อนภาพความดีใจของอาจารย์เวิ่นซินเมื่อเห็นฟางหยวนสามารถเข้าถึงแก่นของพิธีชงชาได้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
“งั้นนี่ก็คือความหมายของการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนพูดกันว่าอารยะนั้นสืบทอดต่อกันมา”
ฟางหยวนผ่อนลมหายใจออกและสัมผัสเข้ากับจิตใจหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของตนโดยไม่ทันตั้งตัว เขาสัมผัสได้ถึงความไม่สนใจและความสงสัย และเมื่อเขาหันไปก็สบเข้ากับสายตาสงสัยของหนูเตียว
“โอ้ ข้าสามารถรู้สึกถึงอารมณ์ของหนูเตียวขาวจริง ๆ หรือนี่?”
ทันใดนั้นฟางหยวนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และพบว่าไม่สามารถเข้าสู่สภาพจิตใจแบบนั้นได้อีก
“ถ้าข้าสามารถรักษาสภาพจิตนั้นไว้ได้นานอีกนิด บางทีข้าอาจจะสามารถสื่อสารกับเจ้าได้โดยตรงในสักวันหนึ่ง!”
ฟางหยวนขยี้หัวของหนูเตียวขาว ถอนหายใจ
น่าเสียดายที่ฟางหยวนยังห่างไกลจากความสำเร็จในทักษะเหนือธรรมชาตินี้
“ช่างเถิด ไป! พวกเราต้องใส่ปุ๋ยให้ต้นชาอีกสักนิด!”
นั่งลงพักและคิดเรื่องอื่นอยู่ครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ลุกขึ้นแล้วปรบมือ
“โชคดีที่เจ้านำปุ๋ยพืชวิญญาณมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่สามารถดื่มด่ำกับชานี่ได้บ่อยขนาดนี้กับผลผลิตตามธรรมชาติของต้นชา…”
ฟางหยวนเดินไปที่ต้นชาแล้วเปิดกระเป่าขึ้นมา เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วโรยปุ๋ยพืชวิญญาณเล็กน้อยลงที่โคนต้นชา
หนูเตียวขาวช่วยในส่วนของมันโดยพรวนดินด้วยกรงเล็บของมัน มนุษย์และสัตว์ทำงานเข้าขากันดีมาก
สำหรับผู้อื่น ภาพนี้คงแปลกตานัก
“หนูเตียว ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม?”
“กิกี๊?”
“ใช่ ข้าจำได้ว่าในฝันของข้า มีหนูเตียวในตำนานที่เก่งกาจมาก มันเป็นสัตว์เวทย์ที่ได้รับอำนาจจากเทพเจ้า ว่ากันว่ามีลักษณะคล้ายหนูสีขาว ขนาดใหญ่เท่าช้าง และมีปีก มีเขี้ยวและกรงเล็บแหลมคม มันเป็นสัตว์ที่ไร้ปราณีและอันตราย พวกเขาเรียกมันว่าฮวาหูเตียว ให้ข้าเรียกเจ้าแบบนั้นดีหรือไม่?”
“กิกี๊?!”
“ข้าจะนับว่าเจ้าตกลงนะ ฮวาหูเตียว! ฮ่าฮ่า!”
ฟางหยวนมีความสุขมากและหัวเราะออกมาเสียงดัง
—
ที่ไกลออกไปจากหุบเขา
“ท่านลุงหลิน ท่านอาจารย์ที่ท่านพูดถึงอาศัยอยู่ที่นี่หรือ?”
พี่น้องสกุลโจวที่ฟางหยวนเคยพบมาก่อนกำลังเดินอยู่ในป่าพร้อมกับข้ารับใช้ในบ้านและผู้ดูแลหลิน นี่เป็นการเดินทางที่ไกลและทรหดเลยทีเดียว
โจวเหวินซิน คุณหนูที่ถูกตามใจจากตระกูลสูงส่งของเธอนั้นน้ำตาคลอจวนจะหยด ทางเดินบนเขาคดเคี้ยวและดูไม่มีจุดสิ้นสุด
“น้องข้า เจ้าควรจะอยู่ที่บ้านและรอความคืบหน้าจากข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องมาด้วยเลย”
คุณชายรองตระกูลโจวทนเห็นน้องสาวทรมานไม่ได้
“ข้าเพียงต้องการทำสิ่งที่ข้าทำได้เพื่อท่านพ่อ…”
“เหอเหอ… คุณหนู อีกไม่นานก็ถึงแล้ว!”
ผู้ดูแลหลินดูไปแข็งแรงกว่าอายุนัก ไม่มีแม้แต่หอบสักนิด พูดแกมหัวเราะ
“ท่านอาจารย์เวิ่นซินนั้นเก่งกาจอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่ท่านได้จากไปแล้ว เหลือเพียงลูกศิษย์หนึ่งเดียว ผู้ที่อย่างน้อยก็เป็นผู้สืบทอดความสามารถในการรักษาของท่านอาจารย์เวิ่นซินมา เขาอาจจะไม่ใช่หมอที่เก่งกาจที่สุด แต่เขาก็เก่งมากทีเดียว…”
อันที่จริง ผู้ดูแลหลินเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจในความสามารถของฟางหยวนเช่นกัน
แต่ว่าเขารู้ดีว่าอาจารย์เวิ่นซินและลูกศิษย์ของเขานั้นมีความสามารถในด้านพืชสมุนไพร และเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขา หลายปีมานี้พวกเขาน่าจะได้รวบรวมสมุนไพรและเครื่องเทศอันทรงคุณค่าไว้ได้บ้าง
ผู้ดูแลหลินคิดว่าจะทำหน้าหนาสักนิดขอแบ่งสมุนไพรพวกนี้ให้แก่สกุลโจวสักเล็กน้อย แล้วพวกสกุลโจวก็จะติดหนี้บุญคุณเขา
“เหลยเยว่เพิ่งได้รับการยอมรับให้เข้าสำนักกุยหลิงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าควรจะหาตำราดี ๆ ให้นาง!”
ผู้ดูแลหลินก็มีสิ่งที่แอบซ่อนไว้ในใจเช่นกัน ตรองจากความสัมพันธ์ของเขากับฟางหยวน การพบกันครั้งนี้คงน่ากระอักกระอ่วนมากพอควร
“อะไรนะ? ลูกศิษย์เพียงคนเดียว?”
โจวเหวินซินรู้สึกว่าความโกรธของนางพุ่งขึ้นสูง แต่ก็ถูกรั้งไว้ทันทีโดยพี่ชายของนาง
“ท่านลุงหลินได้ช่วยเราเต็มที่แล้ว ฝากความหวังไว้ที่ท่านลุงหลินแล้ว อย่าได้ใจร้อนไป!”
คุณชายรองสกุลโจวหันไปทางผู้ดูแลหลินสีหน้าเจื่อน ๆ
“ข้าขออภัยแทนน้องสาวของข้าด้วย โปรดอย่าถือสานางเลย!”
“ฮ่าฮ่า… น้องสาวของเจ้าช่างพลังงานเหลือล้นและมีชีวิตชีวา เจ้าต้องภูมิใจในตัวนางนะ!”
ผู้ดูแลหลินหัวเราะตอบไปผ่าน ๆ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ลูกสาวหลายคนของเขาไม่เป็นเช่นโจวเหวินซิน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถมีความสุขสงบในเรือนของตน
คุยกันไปไม่นาน ทั้งกลุ่มก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา
“หลานชาย!”
ผู้ดูแลหลินนั้นถูกเคี่ยวกรำผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานเป็นผลให้ผิวหน้านั้นหนาขึ้น เสียงดังชัดของเขาก้องไปไกล
“โอ้ ผู้ดูแลหลินมาทำอะไรที่นี่รึ?”
ฟางหยวนที่กำลังกำจัดวัชพืชในทุ่งข้าวหยกแดงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“ข้าคงต้องไปดูสักหน่อย ฮวาหูเตียว ไปซ่อน! จำไว้ว่าอย่าแอบกินยอดอ่อนต้นข้าวพวกนี้!”
ฮวาหูเตียวเป็นสัตว์เวทย์ ฟางหยวนเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายและไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
“กิกิ๊!”
หนูเตียวขาวเอียงหัวไปข้างหนึ่ง และเหลือบมองไปปากทางเข้าหุบเขาอย่างไม่พอใจก่อนจะหายตัวไปในสวนใกล้ ๆ
ฟางหยวนมองส่งหนูเตียวขาวก่อนจะปัดเสื้อผ้านิดหน่อย จากนั้นก็เดินออกไปที่ทางเข้าหุบเขาไปทักทายผู้มาเยือน
“อ้อ ท่านลุงหลิน อะไรพาท่านมาถึงนี่อีกครั้งกัน?”
“หลานชาย ให้ลุงหลินแนะนำเจ้าแก่เพื่อนทั้งสองของข้า นี่คือ…”
ผู้ดูแลหลินรักษารอยยิ้มกว้างไว้บนหน้าขณะพูด แต่เสียงแหลมของโจวเหวินซินฝ่าทะลุอากาศมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน
“เจ้าหัวขโมยน้อย!”
“ขโมย?”
ผู้ดูแลหลินและคุณชายรองตระกูลโจวอึ้งไป
“พี่รอง เป็นมัน เป็นมันที่เอาเปรียบข้า!”
ใบหน้าโจวเหวินซินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางโกรธมากจนพูดไม่ออก
“คุณหนูคนนั้น!”
ฟางหยวนขมวดคิ้ว เขาจำผู้หญิงร้ายกาจคนนี้ได้
และคำพูดที่นางใช้ก็ไม่ถูกต้อง! เขาจะไปเอาเปรียบนางได้อย่างไรในเมื่อสักนิ้วก็ไม่เคยแตะต้อง?
“พวกเจ้ารออะไรอยู่… จับมันสิ!”
โจวเหวินซินตวาด
“ขอรับ คุณหนู!”
ข้ารับใช้หลายคนนั้นขยับมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน! ต้องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ ๆ!”
ผู้ดูแลหลินพุ่งเข้ามากั้นกลางระหว่างสองฝ่ายพยายามใช้เหตุผลอย่างใจเย็น
“ข้าเห็นเจ้าหนุ่มนี่เติบโตมา ข้ารับรองนิสัยของเขาได้!”
“เจ้า… เด็กที่ขายโสมแดงภูเขาเมื่อวันนั้น?”
คุณชายรองตระกูลโจวก็จำฟางหยวนได้เช่นกัน
คุณชายรองตระกูลโจวส่งคนไปสืบความจริงเรื่องวันนั้น และได้แต่พูดไม่ออกเมื่อร้อยชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่
พูดอย่างยุติธรรม ฟางหยวนถูกปรักปรำจริง ๆ นั้นแหละ
“เหอเหอ… คงเป็นความเข้าใจผิดกัน…”
ผู้ดูแลหลินพยายามแก้สถานการณ์ คุณชายรองจึงพูดแทรกขึ้นมา
“ใช่ ใช่ มาพูดเรื่องตอนนี้กันดีกว่า!”
เขาเคยชินที่ต้องทนต่อพฤติกรรมดื้อรั้นของน้องสาวดี คราวนี้เขาจำต้องปล่อยมันไปก่อนเพราะต้องการความช่วยเหลือจากฟางหยวน