Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 6: ผู้บุกรุก
“พวกเขาเป็นใคร?”
ฟางหยวนถามคำถามนั้นขณะจัดการกับผงหรดาลแดงชั้นเยี่ยม มองสองพี่น้องที่เดินออกไป
“พวกเขามาจากตระกูลโจว เจ้าโชคดีมากนะวันนี้ที่ได้เจอคุณชายรองของตระกูลโจว ลองคิดดูนะว่าถ้าเจอแค่ลูกสาวร้ายกาจของตระกูลโจวเท่านั้นละก็นะ…”
หนึ่งในเจ้าของร้านที่น่าจะรู้จักกับตระกูลโจวตอบ แล้วส่ายหน้าไปมา
“แล้วพวกเขากำลังพยายามรักษาใครด้วยโสมแดงเหรอ? นายผู้เฒ่าแซ่โจวป่วยเหรอ?”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นสิ ตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง นายผู้เฒ่าแซ่โจวที่เป็นผู้ดูแลได้รับบาดเจ็บภายใน นั่นทำให้เขาต้องการยารักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ดีขึ้น โชคร้าย โสมแดงของเจ้าไม่ได้มีอายุสักห้าสิบปี ไม่อย่างนั้น นี่จะเป็นโอกาสของเจ้าที่จะมีคุณสมบัติตรงตามในประกาศ!”
“ประกาศอันใด?”
ฟางหยวนแสดงความสนใจและพูดกับเจ้าของร้านผู้นั้น “บอกข้าหน่อยสิ”
“ประกาศอันใด? นี่เจ้าไม่เห็นประกาศของตระกูลโจวหรือไร? พวกเขากำลังตามหาหมอที่สามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าแซ่โจวได้! ตระกูลโจวรับปากจะให้ทุกอย่างที่หมอต้องการถ้าหมอผู้นั้นสามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าโจวได้…”
เจ้าของร้านถอนหายใจ ทำท่าเหมือนว่านายผู้เฒ่าแซ่โจวคงจะไม่สามารถรักษาได้แล้ว
ฟางหยวนรับฟังก่อนจะมองไปที่ค่าสถานะของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ระดับการแพทย์ของเขานั้นบันทึกอยู่ในหน้าต่างสถานะ
หากว่าระบบสถานะมีระบุเอาไว้นั่นหมายความว่าความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับมาตรฐาน
แม้ว่าฟางหยวนจะเรียนรู้วิชามาไม่มาก แต่วิชาทางการแพทย์และการดูแลพืชซึ่งได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์เวิ่นซินนั้นล้วนได้รับการยอมรับ
ดังนั้น ฟางหยวนจึงประเมินตนเองว่าน่าจะเทียบเท่ากับหมอผู้ชำนาญเมื่อเทียบกับหมอทั่วไป
สิ่งเดียวก็คือฟางหยวนนั้นเป็นคนคร้านโดยธรรมชาติ และเขาไม่ค่อยชอบนิสัยใจคอของคุณหนูโจว ดังนั้น เขาจึงไม่อาสาช่วยนาง
‘แต่ว่าตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง บางทีข้าอาจจะหยิบยืมวิชายุทธ์จากพวกเขา… แต่มันก็ดูอันตรายเกินไป บางทีข้าควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย…’
แม้ว่าพี่น้องแซ่โจวจะค่อนข้างหยาบคาย แต่พวกเขาก็ใจกว้างมากเรื่องเงินรางวัล รางวัลที่อาจจะให้ฟางหยวนสามารถซื้อหาผงหรดาลแดงได้จำนวนมากและยังเหลือเงินด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากร้าน ฟางหยวนก็ซื้อของต่ออย่างมีความสุข
‘เรื่องนั้น คนผู้นั้นจากสำนักกุยหลิงคงจะตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาผู้อื่น ยิ่งทำให้เรื่องนั้นไร้ความน่าเชื่อถือ’
ในตอนบ่าย ฟางหยวนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง คิดเรื่องประกาศนั่นพลางกินข้าวปั้นที่นำมาด้วย
นี่นับว่าเป็นข่าวดี เพราะมันหมายถึงว่าเขาจะไม่ถูกบังคับให้จากบ้านเกิดไป
ถ้าตระกูลโจวตั้งใจจะตัดแหล่งเสบียงของเขาผ่านทางเหล่าเถียน พวกเขาก็คงจะไม่บังคับให้เขาจากไป แต่ก็พูดได้ยากว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก
‘หรือว่า…ข้าควรไปเรียนรู้และฝึกวิทยายุทธ์จากสำนักกุยหลิง? ว่ากันว่าสำนักกุยหลิงนั้นปกครองโดยอู่จง อู่จงคืออะไรกัน? มันมีอำนาจมากเลยเหรอ? แต่ข้าไม่แน่ใจว่าระบบจะยอมรับวิชายุทธ์…’
ข้าวปั้นที่ทำจากข้าวหยกมุกและใส่ไส้บ๊วยดองนั้นส่งกลิ่นหอมนัก
ขอทานบางคนเดินเกร่อยู่รอบ ๆ ฟางหยวน ดวงตาเป็นประกาย น้ำลายสอ ท่าทางจะถูกดึงดูดโดยกลิ่นหอมของข้าวปั้น
โชคดีที่บนถนนมีคนมากนัก ไม่เช่นนั้น ขอทานรอบ ๆ ก็คงกรูกันเข้ามาแย่งชิงข้าวปั้นไป
“ฮ่าฮ่า…เจ้าอยู่ที่นี่เองรึ ขอทานน้อย?”
ในตอนที่ฟางหยวนถูกล้อมรอบด้วยสายตาน่าสงสารและเกือบจะยอมยกข้าวปั้นบางส่วนของเขาให้ไป ก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นคุณหนูโจวมองเขาด้วยท่าทางยโส
“ข้า? ข้าเป็นขอทานรึ?”
ฟางหยวนอึ้งไปขณะชี้มือที่ตนเอง
“เจ้าอยู่กับขอทานพวกนี้ ถ้าเจ้าไม่ใช่ขอทาน แล้วเจ้าจะเป็นอะไร?”
คุณหนูโจวยิ้มกว้างและหยิบกระเป๋าที่ปักลายด้วยด้ายเงินและทองขึ้นมา “ถ้าอย่างไรข้าให้เงินขอทานอย่างเจ้าสักสองสามเหรียญเพื่อไปกินอาหารดี ๆ ในร้านสักมื้อไหม?”
ฟางหยวนมองตัวเองแล้วรู้สึกพูดไม่ออก
โดยปกติ ชาวบ้านที่เข้าเมืองมาก็จะแต่งตัวเช่นนี้ทำให้ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากแต่งแบบเดียวกัน
เขากลอกตาและเมินคุณหนูโจว จากนั้นเขาก็กินข้าวปั้นของตัวเองต่อ
“ฮ่าฮ่า…ชาวบ้านแบบเจ้าปฏิบัติกับข้าวปั้นราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเพิ่งออกมาจากร้านอาหาร… นั่นกลิ่นอะไร?”
คุณหนูโจวได้กลิ่นและพบว่ากลิ่นหอมนั่นมาจากข้าวปั้นของฟางหยวน
ข้าวหยกมุกแต่ละเม็ดนั้นใสราวกับผลึกและเข้ากันได้ดีกับบ๊วยดอง ข้าวปั้นแบบนี้ดูไม่เหมือนกับที่ชาวบ้านมักทานกัน
แน่นอนว่าแรงดึงดูดหลักก็คือกลิ่นของข้าวปั้นนั่นเอง
นางเพิ่งทานข้าวแนแบบเดียวกันจากร้านอาหาร แต่กลิ่นของข้าวปั้นนี้…ช่างล่อลวงยิ่งนัก…
น่าโมโหนัก คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่ากระเพาะของนางส่งเสียงร้องแม้ว่านางจะเพิ่งทานอาหารมา
นี่ไม่ใช่เพราะว่านางหิว แต่เพราะความน่ากินของข้าวปั้นนั้นยั่วยวนนางนัก!
คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่า ข้าวปั้นที่ฟางหยวนกำลังกินนั้นเป็นหลุมดำที่ดึงดูดความสนใจของนางอย่างรุนแรง
ถ้านางยังคอยเหลือบมองอยู่เช่นนี้ นางจะต้องน้ำลายไหลเป็นแน่!
คุณหนูโจวตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
“เจ้า..อยากได้นี่ใช่ไหม?”
ฟางหยวนสบตาคุณหนูโจวและรู้สึกว่านางน่าสงสาร ดังนั้น เขาจึงยอมสละข้าวปั้นก้อนสุดท้าย “ข้ายกชิ้นสุดท้ายนี่ให้เจ้า!”
คุณหนูโจวกลืนน้ำลาย หน้าเริ่มแดง นิ้วของนางสั่นนิด ๆ เกือบจะเอื้อมไปหาข้าวปั้น แต่ที่สุดนางก็ตะโกนออกมา “น่าขำนัก… ข้า โจวเหวินซินจากตระกูลโจวอันมีชื่อเสียง เรื่องเช่นนี้…”
เท้าของนางพานางเข้าใกล้ข้าวปั้นมากขึ้นขณะตะโกน
“โอ้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ต้องการข้าวปั้นนี่!”
ฟางหยวนเข้าใจนางและยกข้าวปั้นก้อนสุดท้ายให้ขอทานผู้หนึ่งแทน “รับไปสิ!”
“ขอบพระคุณท่าน ขอบคุณท่าน!”
ขอทานผู้นั้นนั่งน้ำลายไหลต่อหน้าฟางหยวนมาก่อนแล้ว เขาซาบซึ้งมากจนกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดขณะกินข้าวปั้นลงไป
ขอทานผู้นั้นถือข้าวปั้นไว้ด้วยแรงพอเหมาะ ขณะที่โจวเวิ่นซินดูจะกรีดร้องออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
“อู้ว…นี่มันอร่อยมาก!”
ขอทานผู้นั้นเขมือบข้าวปั้นลงไปภายในไม่กี่วินาทีแล้วเริ่มเลียนิ้วหลังจากกลืนลงไปหมด
“เจ้า…”
ใบหน้าของโจวเวิ่นซินเจื่อนไปและค่อย ๆ แดงขึ้น ทันใดนั้น นางก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “เจ้ารังแกข้า!”
ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนั้น นางหมุนตัวกลับและวิ่งหนีไป
ผู้คนที่รู้จักโจวเหวินซินขยับเข้ามามุงรอบ ๆ ฟางหยวนและชื่นชมสิ่งที่เขาทำ
คนผู้นี้สามารถจัดการกับคุณหนูโจวผู้ก้าวร้าวและทำให้นางร้องไห้จากไป ต่อไปคนผู้นี้คงสามารถทำอะไรได้สำเร็จทุกอย่างแล้ว!
“นี่…”
ฟางหยวนเกาศีรษะตนเองและคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อยที่คุณหนูโจวร้องไห้ บางครั้งมันคงจะดีกว่าที่จะแก้ไขเรื่องความเข้าใจผิดใด ๆ ที่เกิดจากผู้อื่น แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่เท่ามีวุฒิภาวะ
แต่เขาก็รู้ดีว่าวุฒิภาวะของตัวเขาเองนั้นต่ำกว่าปกติ และเขารู้ว่าถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เขาก็จะเจอปัญหาใหญ่เมื่อคนคุ้มกันของคุณหนูโจวมาถึง
เขาหมุนตัวกลับและหายลับไปที่มุมถนน
…
การคาดเดาของฟางหยวนแม่นยำนัก
คนคุ้มกันของคุณหนูโจวดูโมโหมาก วิ่งมาถึงนั่นในเวลาไม่นาน โชคดีที่พวกมันยังไม่ทันเริ่มปิดประตูเมืองทั้งหมด
โชคดีที่ฟางหยวนออกจากเมืองมาแล้ว และกำลังกลับหุบเขา
มีคนในเมืองไม่กี่คนที่จำหน้าตาของฟางหยวนได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
โจวเหวินซินโกรธมากที่ไม่รู้ชื่อของฟางหยวนและทำได้เพียงทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ข่าวที่ฟางหยวนทำให้โจวเหวินซินร้องไห้กระจายไปทั่วเมืองยิ่งทำให้คุณหนูโจวรู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก แล้วยังมีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนซึ่งกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของนาง โชคร้ายที่นางก็ไม่รู้ว่าจะเอาความโมโหนี้ไปลงที่ไหน
“ฮืม.. เช่นนั้นอู่จงก็คือระดับการฝึกฝนที่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์สามารถไปถึงได้ อู่จงหนึ่งคนน่าจะมีพลังในระดับที่สามารถเอาชนะคนจำนวนมากได้ ตลอดทั้งสำนักกุยหลิงยังมีผู้ฝึกวิทยายุทธ์ระดับนั้นเพียงผู้เดียว…”
ฟางหยวนซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาจากร้านใกล้ ๆ ด้วยเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญและเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาด้านใน
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยบัณฑิตผู้หนึ่ง เนื้อหาด้านในหลักแล้วเป็นบันทึกส่วนตัว และเหมือนกับว่าผู้เขียนนั้นรักการท่องเที่ยวนัก เนื้อหายังได้พูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับอู่จงซึ่งดึงดูดความสนใจของฟางหยวน
“แล้วนี่ก็คือเทือกเขาชิงหลิง ส่วนนี่ก็มณฑลชิงเหอ และเมืองตรงนั้นตอนนี้ก็คือเมืองชิงเย่…”
สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนสนใจในหนังสือก็คือเขาสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและรู้จักสถานที่รอบ ๆ จากในหนังสือ
“แผ่นดินใหญ่นั้นกว้างมาก มณฑลที่ข้าอยู่ตอนนี้ช่างเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ แต่บางคนคงคิดว่ามณฑลนี้กว้างใหญ่มากแล้ว…”
จากในหนังสือ ฟางหยวนได้รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
“อู่จงเป็นที่รู้จักแค่ในแถบนี้เท่านั้น แสดงว่านอกจากผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ต้องมีการฝึกฝนรูปแบบอื่นอีก…”
ฟางหยวนวางหนังสือกลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ของเขาแล้วเดินทางต่อ
“โชคไม่ดีเลย คราวนี้ ข้าไม่สามารถหาตำรายุทธ์พื้นฐานได้เลยสักเล่ม แล้วข้าก็ไม่ได้คิดถึงตำราอื่นเสียด้วย…”
เมื่อกลับเข้ามาในหุบเขา ฟางหยวนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“มันก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่ออยู่บ้าน…”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้จากบ้านไปนานขนาดนั้น ฟางหยวนก็รู้สึกคิดถึงบ้านไปแล้ว
หลังจากวางของลง เขาก็เดินเข้าบริเวณสวนทันที
“เอ๋?”
เพียงถึงทางเข้า เขาก็ต้องตกใจกับรอยเท้าสัตว์ที่ปรากฏขึ้น “สัตว์รบกวน?”
ทำไร่ทำสวนบนภูเขานั้นย่อมดึงดูดนกและสัตว์ทุกชนิด แต่โชคดีที่อาจารย์เวิ่นซินมีวิธีป้องกันการบุกรุกของสัตว์พวกนี้เข้าในบริเวณเพาะปลูก
เสือ หมาป่า หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นมักจะใช้ปัสสาวะเป็นเครื่องหมายแสดงอาณาเขตของพวกมัน สัตว์ชนิดอื่นจะไม่กล้าเข้ามาในอาณาเขตที่มีกลิ่นปัสสาวะนั่น ซึ่งจริง ๆ แล้ว พืชบางชนิดสามารถคั้นน้ำออกมาเทราดรอบ ๆ พื้นที่ หลอกให้สัตว์อื่นเข้าใจว่าพื้นที่นั้น ๆ มีเจ้าของและทำให้ไม่กล้าบุกเข้าไป
และหากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล กับดักก็สามารถแก้ปัญหาผู้บุกรุกอื่น ๆ ได้เช่นกัน
แต่ว่า กับดักที่ทำไว้ในแปลงเพาะปลูกนั้นล้วนถูกทำลาย เหยื่อที่วางไว้ล้วนหายไปราวกับว่าผู้บุกรุกนั้นกำลังแอบหัวเราะเยาะเงียบ ๆ