Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 55: เมืองเฉาหยาง
นิยาย Carefree Path of Dreams Chapter 55: เมืองเฉาหยาง “อี้ซานผู้เป็นหนึ่งในสามรัฐของประเทศเซียมีเขตปกครองในการดูแลรวม6มณฑลซึ่งหนึ่งในนั้นมีชิงเหอด้วยมันเป็นแหล่งกำเนิดของผู้มีความสามารถและมีความลึกลับมากมาย…” “ในด้านวิทยายุทธ์มีนักรบวิญญาณผู้มีพรสวรรค์หลายคนมีความสามารถในการใช้พลังวิญญาณและวิชาตัวเบามีเพียงแค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในหมู่จอมยุทธ์เท่านั้นที่มีทักษะเทียบเท่าพวกเขาได้…” ฟางหยวนนั่งขัดสมาธิขณะเตรียมชา ไอน้ำจากพวยกาที่มีน้ำร้อนอยู่ข้างในพวยพุ่งออกมาเมื่อมันสัมผัสเข้ากับความเย็นโดยรอบพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของชาลอยมา กองไฟเล็กๆก่อเกิดความรู้สึกน่าสบายภายใต้สภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นจับใจ มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปเมื่อได้อ่านหนังสืออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผู้อาวุโสจ้าวจากสำนักกุยหลิงนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบถึงแก่ชีวิตตอนที่ต้องรับกรงเล็บปิศาจของกุยอู่เชิงและพิษสลายซากก็แพร่เข้าสู่กระดูกของเขาสภาพของเขานันแย่งลงอีกจากการบาดเจ็บภายในแต่ว่าเมื่อได้รับการรักษาด้วยวิชาฝังเข็มทองคำและบัญชาพญายมของฟางหยวนฟางหยวนก็รักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้อย่างไม่ลำบาก หลังจากอาการของผู้อาวุโสจ้าวคงที่ฟางหยวนก็ส่งลู่จอเงินและพรรคพวกที่เอาแต่ขอบคุณเขาออกไปทันทีจากนั้นเขาก็เริ่มอ่านหนังสือที่ได้รับมาจากคนพวกนั้นอย่างตั้งใจ “เอิ่ม…ในหนังสือนระยะเวลานั้นยาวนานมากนอกจากนี้วิทยายุทธ์ของผู้เขียนก็อยู่ในระดับสูงมากดูเหมือนว่าเขาจะไปถึงระดับสูงสุดของอู่จงแล้ว…” หลังจากอ่านหนังสือทั้งเล่มไปรอบหนึ่งความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจฟางหยวน ที่สำคัญที่สุดผู้เขียนยังบันทึกตำนานมากมายเกี่ยวกับนักรบวิญญาณการแต่งกายตามประเพณีและกระทั่งเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ระดับสูงนี่ทำให้ฟางหยวนประหลาดใจอย่างยิ่ง “ข้ายังเหลืออีกหนึ่งประตูทองที่ต้องทะลายเพื่อผ่านประตูทองที่8ใน12ประตูทองหลังจากข้าผ่านไปได้แล้วข้าต้องสำเร็จพลังหยินและหยางเพื่อเข้าสู่4ประตูสวรรค์…” จากทั้งหมด12ประตูทองไคซิวเชิงตู้จึงชางจึงสื่อหยินหยางที่เทียนฟางหยวนยังเหลืออีก5ประตูทองที่ต้องผ่าน “การฝึกตนระดับที่8ข้าต้องทะลวงผ่านประตูสื่อหรือประตูตายประตูที่9และ10ข้าต้องสำเร็จพลังหยินและหยางในขณะที่ระดับการฝึกตนที่11ข้าต้องรวมพลังหยินและหยางเข้าเป็นหนึ่งเดียวและทะลวงผ่านเข้าสู่การฝึกตนระดับที่12…ที่ระดับการฝึกตนที่12ข้าต้องพยายามฝึกฝนตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อทะลวงผ่านระดับนี้หลังจากทำทั้งหมดนี้สำเร็จในที่สุดข้าก็จะได้ลิ้มรสประสบการณ์อันน่าเบิกบานของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงสุดอู่จง…” “ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์มากมายล้มเหลวที่ระดับนี้แต่หลังจากผ่านระดับนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ขอบเขตที่ต่างออกไปและยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเช่นบางคนอาจจะไม่ต้องฝึกกำลังภายในอีกต่อไปแต่ว่า…เป็นพลังธาตุแทน!” จากคำอธิบายเหล่านี้ในหนังสือฟางหยวนก็สามารถยืนยันได้ว่าผู้เขียนนี้เข้าถึงระดับอู่จงแล้วแน่นอน “ตามที่เขาเขียนไว้มีเพียงแค่การเข้าสู่ระดับอู่จงและสำเร็จพลังธาตุที่คนผู้หนึ่งจะสามารถนับว่าได้เริ่มต้นเส้นทางการฝึกตนที่สามารถนับได้ว่าเทียมเท่ากับนักรบวิญญาณและจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ..” ขณะที่อ่านย่อหน้านี้ฟางหยวนก็รู้สึกได้ถึงความหดหูที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด ถึงตรงนี้อารมณ์ของฟางหยวนก็ดูจะถูกกระทบไปด้วย อย่างไรเสียมันก็ยากเหลือเกินที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ที่ได้กราบอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงจะทะลวงผ่านเข้าสู่4ประตูสวรรค์อู่จงนั้นเรียกได้ว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตแม้ว่าคนผู้หนึ่งจะฝึกฝนและเตรียมตัวมาตลอดชีวิตก็ยังขึ้นกับชะตาอยู่ดีว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่สำหรับนักรบวิญญาณและอะไรพวกนั้นพวกเขาเริ่มฝึกพลังธาตุตั้งแต่แรกโดยตรงความแข็งแกร่งและความสามารถของพวกเขานั้นเทียบเท่าอู่จงอยู่ตั้งแต่แรกข้อมูลนี้อาจจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนตาสว่างขึ้นได้ “ก็ไม่มีความยุติธรรมใดบนโลกใบนี้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว!” ฟางหยวนวางหนังสือลงพร้อมกับถอนหายใจเขายังคงรู้สึกอิจฉานักรบวิญญาณและคนพวกนั้นมากๆอยู่ดีเขาคิด“นักรบวิญญาณใช้พลังธาตุและสามารถควบคุมธรรมชาติได้ได้รับความสามารถในการสร้างตัวอย่างเช่นจ้าวแห่งเวทย์สามารถใช้ธาตุหลักของตนได้ในขณะที่จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุนั้นสามารถใช้พลังชีวิตจากพืชวิญญาณได้อย่างเต็มที่เก็บเกี่ยวคุณค่าสูงสุดจากธรรมชาติและยังมีจ้าวแห่งความฝันที่ลึกลับยิ่งกว่า..” ฟางหยวนไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วเกี่ยวกับเส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์ต่อไปข้างหน้าของเขาหลังได้เป็นอู่จง ฟางหยวนยังแค่มีคำถามเล็กน้อยถึงวิธีที่จะไปเป็นนักรบวิญญาณ “ถ้าพูดถึงแค่สภาพร่างกายข้าคิดว่ามีคนไม่มากที่จะมีสภาพร่างกายดีกว่าข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของพลังเวทย์…” ส่วนเรื่องการฝึกปรือขัดเกลาทักษะวิทยายุทธ์มันก็มักจะประกอบด้วยการสร้างและเพิ่มพลังธาตุขณะที่ฟางหยวนเติบโตในส่วนของพลังวิญญาณเขามีชาชำระจิตเป็นตัวช่วย ส่วนเงื่อนไขของการเป็นนักรบวิญญาณมันก็ดูเหมือนจะคล้ายกับพลังเวทย์นี่มากๆ ฟางหยวนเดินไปที่ตรงหน้ากระจกทองเหลืองและปล่อยพลังเวทย์ทั้งหมดของเขาออกมา ในตอนนี้ชายหนุ่มที่ในกระจกดูมีชีวิตชีวาและเจิดจ้าอย่างไม่น่าเชื่อเขาเกือบจะเปล่งรัศมีของความเยาว์วัยและความแข็งแรงออกมาราวกับไข่มุกราตรียามกลางคืน “เปล่งประกาย…พลังเวทย์ที่ 3.0 และข้าก็มีความสามารถเช่นนี้…” ฟางหยวนรู้ว่ามันจะน่าเสียดายถ้าเขาไม่พยายามฝึกเพื่อเป็นนักรบวิญญาณด้วยความสามารถของเขาในระดับนี้ แต่การเป็นนักรบวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายมันยังต้องมีความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริง “เมื่อข้าจากไปคราวนี้ข้าต้องให้ความสนใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น…” ฟางหยวนตั้งใจเอาไว้แต่เขาก็ยังคงมีความสงสัยอีกเล็กน้อย สำหรับนักรบวิญญาณทั้งมวลนั้นมณฑลชิงเหอนั้นเป็นแค่เขตชนบทยากจนขนาดเขายังไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในตำนาน ถ้าเขาอยากจะหาข้อมูลพวกนี้เขาจำต้องเดินทางไปยังรัฐซานฝหรืออาจจะเมืองหลวงของประเทศเซียบางทีเขาอาจจะต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อค้นหาแม้จะแค่เป็นเพียงความหวังริบหรี่ “ว้ววว!!!” หลังจากตัดสินใจแล้วฟางหยวนก็ลุกเดินไปยังเขตสวนแล้วร้องเรียก เสียงของเขาก้องไปทั่วหุบเขาและสั่นสะเทือนพื้นดิน “แกวก!” “กิกี้!” เงาร่างใหญ่และเล็กจากท้องฟ้าและพี่นดินตามลำดับพุ่งตรงมาทางฟางหยวนอย่างรวดเร็วเป็นฮวาหูเตียวและอินทรีดำหางเหล็ก “ข้าจะออกเดินทางเป็นระยะเวลานานหุบเขาสันโดษนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเจ้าแล้ว!” ฟางหยวนลูบหัวเล็กๆของฮวาหูเตียวและโยนลูกไผ่ให้อินทรีดำหางเหล็ก เขาซ่อนชาวิญญาณข้าววิญญาณและลูกไผ่เอาไว้แยกต่างหากบนเทือกเขาชิงหลิงที่กว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์จากพื้นที่กว้างขวางของเทือกเขาแล้วคงมีคนไม่มากที่สามารถหาที่ซ่อนของเขาพบได้ หลังจากการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายฟางหยวนก็จุดไฟเผาต้นข้าวหยกแดงทั้งหมดเหลือแต่เถ้าถ่านส่วนตันชาชำระจิตและต้นไผ่วิญญาณนั้นถูกทิ้งเอาไว้ที่เดิมแต่มันก็ยากที่จะสังเกตเห็นพวกมันได้มันดูไม่ท้าทายให้ใครๆมาเก็บเกี่ยวประโยชน์จากพวกมันได้ในสภาพนี้ นอกจากนี้ด้วยการปกป้องของสัตว์วิญญาณทั้งสองฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมาก มณฑลเลี่ยหยาง นี่เป็นหนึ่งใน6มณฑลในเขตปกครองอี้ซานฟูมันเป็นอาณาเขตของสำนักห้าผีและอยู่ติดกับมณฑลชิงเหอในฐานะที่ที่นี่มีเหมืองแร่ขนาดใหญ่หลายแห่งมณฑลนี้จึงมีอำนาจในทางการค้าและดูมีความพัฒนามากกว่ามณฑลชิงเหอ ฤดูหนาวผ่านไปเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ภายในเมืองเฉาหยางผู้คนที่เก็บตัวเงียบระหว่างฤดูหนาวอันแสนทรมานก็เริ่มกลับมาค้าขายก้อนแร่จำนวนมากอีกครั้ง แร่เหล่านี้ของเลี่ยหยางนั้นสามารถสกัดพลังหยางได้มันเป็นวัตถุดิบที่ช่างตีเหล็กชอบใช้ประกอบในผลงานของพวกเขาซึ่งรวมทั้งอาวุธด้วยหลังจากใส่ก้อนแร่พวกนี้ลงไปด้วยกระบวนการเฉพาะคุณภาพของอาวุธที่ได้นั้นจะเพิ่มขึ้นและยังอาจจะเปลี่ยนรูปไปก็ได้มันอาจจะมีคุณสมบัติระดับเทพหรือระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อาจจะพูดได้ว่าอาวุธเช่นนั้นสามารถเอาชนะปิศาจได้และยัง กันดีว่าเป็นอาวุธเทพอันทรงอำนาจของกลุ่มนักรบเวทย์ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในตำนานแต่ว่าความจริงก็คือความต้องการซื้อของก้อนแร่แห่งเลี่ยหยางนั้นสูงกว่าที่มีขายมากนัก นอกจากนี้ยิ่งถ้ามีการขนส่งราคาของก้อนแร่เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะทางเมื่อพวกมันถูกส่งไปถึงเมืองหลวงของรัฐซานฟูราคาก็เพิ่มขึ้นประมาณกึ่งหนึ่งเมื่อไปถึงเมืองหลวงของประเทศเซียราคาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าถ้าใครอยากจะเสี่ยงละเมิดกฎหมายและขนส่งพวกมันไปตามชายแดนไปถึงเมืองไกลกำไรย่อมเกินกว่าจะนับได้มันเพียงพอให้คนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราโดยไม่ต้องทำงานอีกเลย แต่ว่าอันตรายและอุปสรรคระหว่างเส้นทางการขนส่งนั้นมากมายนัก พ่อค้าเหล่านี้ถูกล่อลวงด้วยผลกำไรจำนวนมากที่พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวได้จนยอมเสี่ยงที่เผชิญหน้ากับ พวกโจรและหัวขโมยไปตลอดทางพวกเขาต้องมีความกล้าฉลาดและมีความมุ่งมั่นในการเดินทางเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ “นี่คือเมืองเฉาหยางรึ?!” ตอนที่รถม้าผ่านเข้าประตูเมืองอย่างช้าๆมือที่ราวกับหยกข้างหนึ่งก็เปิดม่านออกคนด้านในสอดส่ายสายตาสำรวจเมืองที่ดูแปลกตาไปคนผู้นั้นดูจะตื่นเต้นมาก “ลกเบพาเรามาถึงที่พักแรมเจ้า ที่ด้านหน้ารถม้ามีชายวัยกลางคนไว้เคราแพะผู้หนึ่งยืนอยู่เขาดูเหมือนจะเป็นหลงจำของที่พักแรมและในเวลาเดียวกันเขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนขับรถม้าด้วย “ดีมาก!” หญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้าชุดสีแดงของนางนั้นโดดเด่นออกมาจากสีทึบทึมรอบตัวนางดวงตาของนางเป็นประกายงดงามแต่นางปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ด้วยหน้ากากทำให้คนรอบตัวนางรู้สึกไม่พอใจ “เหล่าอ?ขอบคุณมากที่ช่วยพรางตัวครั้งนี้และที่ช่วยมาเป็นคนขับรถม้าให้ข้าทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว!” หลังจากเข้ามาในโรงพักแรมและจับจองห้องแล้วหญิงสาวก็ถอดหน้ากากของนางออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามเป็นหลินเหลยเยว่ “ข้ายินดีที่ได้ทำงานรับใช้ท่านคุณหนูหลิน!” ชายวัยกลางคนยิ้มและปาดเหงื่อออกจากใบหน้ารอยย่นบนใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างมากและเขาก็ดูเหมือนจะเบาใจลงมากทีเดียว ถ้าฟางหยวนอยู่ที่นี่เขาต้องพบว่าชายผู้นี้นั้นคุ้นตามากเป็นแน่นี่คือชายคนที่บังคับให้เขายกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับหลินเหลยเยว่เขาคืออินทรีเหล็กหน้านิ่งอว์ชิวเหลิ่ง! “ผู้อาวุโสชั่นแจ้งพวกเราแล้วว่าเขาจะมาร่วมกับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อตามล่ากุยอู่เชิง!” หลินเหลยเยว่ปรบมือและก็มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหลายคนเดินเข้ามาพร้อมที่จะรับคำสั่ง “สำนักหน้าผีนั้นมีเบื้องหลังลึกลับนักและยังไม่สามารถคาดเดาได้ตอนที่พวกเราอยู่ในมณฑลชิงเหอพวกมันก็สั่งให้สายลับที่ซ่อนตัวอยู่นานหลายปีลงมือจุดประสงค์ของพวกมันดูจะไม่ธรรมดาเจ้าเป็นสายสืบระดับสูงของสำนักเราในเมืองเฉาหยางครั้งนี้ให้คอยสนับสนุนผู้อาวุโสสันและภารกิจของข้าและสืบหาจุดประสงค์แท้จริงของสำนักห้าผี!” “ขอรับคุณหนู!” ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดโค้งตัวคารวะอย่าง
เคารพ “ดีเอี้ยนซานหม่าชื่อโฮวอู่เจิ้งลิ่ว…พวกเจ้าสี่คนเฝ้าประตูทั้งสี่ของเมืองเฉาหยางเร็วๆนี้ผู้ฝึกยุทธ์สำนักห้าผีมารวมตัวกันในเมืองนี้ทำให้แน่ใจว่าเจ้ารู้จักพวกมันแต่ละคนเป็นอย่างดี!” “โจวจิ๋วเจ้า…” หลินเหลยเยู่ดูราวกับกำลังสั่งการอยู่ในกองทัพคำสั่งสุดท้ายของนางนั้นมีให้แก่อวชิวเหลิ่ง“เหล่าอ”ข้าจะให้ท่านรับผิดชอบดูแลเรื่องการเคลื่อนไหวของสำนักห้าผีแถบนี้!” “วางใจได้ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” อวชิวเหลิ่งตอบด้วยน้ำเสียงโอหังเขามั่นใจว่าเขาทำได้อย่างแน่นอน เขาไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อเป็นอื่น เพราะว่าเมื่อเร็วๆนี้วิทยายุทธ์ของอชิวเหลิ่งนั้นก้าวหน้าขึ้นก้าวใหญ่เขายังได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสในสำนักความมั่นใจของเขานั้นจึงสูงขึ้นและเขาก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่งครั้งนี้เขาได้รับมอบหมายให้พาสมาชิกในสำนักออกปฏิบัติภารกิจมันเป็นการรับผิดชอบครั้งใหญ่และยังเป็นตัวบ่งชี้อนาคตอันรุ่งเรืองในสำนักของเขาอีกด้วยนี่จึงทำให้เขามีความมั่นใจและมีกำลังใจมากขึ้น เห็นเช่นนี้แล้วหลินเหลยเยว่ก็เตือนเขา“สำนักห้าผีนั้นมีอำนาจเทียบเท่ากับพวกเราอย่าได้ประมาท!” “คุณหนูหลินพูดได้ดีข้าจะจำเอาไว้!” อว์ชิวเหลิงโบกมือขณะตอบคำจากท่าทางหยิ่งยะโสของเขาแล้วหลินเหลยเยว่ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางจริงจังเลย
นิยาย Carefree Path of Dreams
Chapter 55: เมืองเฉาหยาง
“อี้ซานผู้เป็นหนึ่งในสามรัฐของประเทศเซียมีเขตปกครองในการดูแลรวม6มณฑลซึ่งหนึ่งในนั้นมีชิงเหอด้วยมันเป็นแหล่งกำเนิดของผู้มีความสามารถและมีความลึกลับมากมาย…”
“ในด้านวิทยายุทธ์มีนักรบวิญญาณผู้มีพรสวรรค์หลายคนมีความสามารถในการใช้พลังวิญญาณและวิชาตัวเบามีเพียงแค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในหมู่จอมยุทธ์เท่านั้นที่มีทักษะเทียบเท่าพวกเขาได้…”
ฟางหยวนนั่งขัดสมาธิขณะเตรียมชา
ไอน้ำจากพวยกาที่มีน้ำร้อนอยู่ข้างในพวยพุ่งออกมาเมื่อมันสัมผัสเข้ากับความเย็นโดยรอบพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของชาลอยมา
กองไฟเล็กๆก่อเกิดความรู้สึกน่าสบายภายใต้สภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นจับใจ
มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปเมื่อได้อ่านหนังสืออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้
ผู้อาวุโสจ้าวจากสำนักกุยหลิงนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบถึงแก่ชีวิตตอนที่ต้องรับกรงเล็บปิศาจของกุยอู่เชิงและพิษสลายซากก็แพร่เข้าสู่กระดูกของเขาสภาพของเขานันแย่งลงอีกจากการบาดเจ็บภายในแต่ว่าเมื่อได้รับการรักษาด้วยวิชาฝังเข็มทองคำและบัญชาพญายมของฟางหยวนฟางหยวนก็รักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้อย่างไม่ลำบาก
หลังจากอาการของผู้อาวุโสจ้าวคงที่ฟางหยวนก็ส่งลู่จอเงินและพรรคพวกที่เอาแต่ขอบคุณเขาออกไปทันทีจากนั้นเขาก็เริ่มอ่านหนังสือที่ได้รับมาจากคนพวกนั้นอย่างตั้งใจ
“เอิ่ม…ในหนังสือนระยะเวลานั้นยาวนานมากนอกจากนี้วิทยายุทธ์ของผู้เขียนก็อยู่ในระดับสูงมากดูเหมือนว่าเขาจะไปถึงระดับสูงสุดของอู่จงแล้ว…”
หลังจากอ่านหนังสือทั้งเล่มไปรอบหนึ่งความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจฟางหยวน
ที่สำคัญที่สุดผู้เขียนยังบันทึกตำนานมากมายเกี่ยวกับนักรบวิญญาณการแต่งกายตามประเพณีและกระทั่งเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ระดับสูงนี่ทำให้ฟางหยวนประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ข้ายังเหลืออีกหนึ่งประตูทองที่ต้องทะลายเพื่อผ่านประตูทองที่8ใน12ประตูทองหลังจากข้าผ่านไปได้แล้วข้าต้องสำเร็จพลังหยินและหยางเพื่อเข้าสู่4ประตูสวรรค์…”
จากทั้งหมด12ประตูทองไคซิวเชิงตู้จึงชางจึงสื่อหยินหยางที่เทียนฟางหยวนยังเหลืออีก5ประตูทองที่ต้องผ่าน
“การฝึกตนระดับที่8ข้าต้องทะลวงผ่านประตูสื่อหรือประตูตายประตูที่9และ10ข้าต้องสำเร็จพลังหยินและหยางในขณะที่ระดับการฝึกตนที่11ข้าต้องรวมพลังหยินและหยางเข้าเป็นหนึ่งเดียวและทะลวงผ่านเข้าสู่การฝึกตนระดับที่12…ที่ระดับการฝึกตนที่12ข้าต้องพยายามฝึกฝนตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อทะลวงผ่านระดับนี้หลังจากทำทั้งหมดนี้สำเร็จในที่สุดข้าก็จะได้ลิ้มรสประสบการณ์อันน่าเบิกบานของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงสุดอู่จง…”
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์มากมายล้มเหลวที่ระดับนี้แต่หลังจากผ่านระดับนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ขอบเขตที่ต่างออกไปและยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างเช่นบางคนอาจจะไม่ต้องฝึกกำลังภายในอีกต่อไปแต่ว่า…เป็นพลังธาตุแทน!”
จากคำอธิบายเหล่านี้ในหนังสือฟางหยวนก็สามารถยืนยันได้ว่าผู้เขียนนี้เข้าถึงระดับอู่จงแล้วแน่นอน
“ตามที่เขาเขียนไว้มีเพียงแค่การเข้าสู่ระดับอู่จงและสำเร็จพลังธาตุที่คนผู้หนึ่งจะสามารถนับว่าได้เริ่มต้นเส้นทางการฝึกตนที่สามารถนับได้ว่าเทียมเท่ากับนักรบวิญญาณและจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ..”
ขณะที่อ่านย่อหน้านี้ฟางหยวนก็รู้สึกได้ถึงความหดหูที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด
ถึงตรงนี้อารมณ์ของฟางหยวนก็ดูจะถูกกระทบไปด้วย
อย่างไรเสียมันก็ยากเหลือเกินที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ที่ได้กราบอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงจะทะลวงผ่านเข้าสู่4ประตูสวรรค์อู่จงนั้นเรียกได้ว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตแม้ว่าคนผู้หนึ่งจะฝึกฝนและเตรียมตัวมาตลอดชีวิตก็ยังขึ้นกับชะตาอยู่ดีว่าจะสำเร็จหรือไม่
แต่สำหรับนักรบวิญญาณและอะไรพวกนั้นพวกเขาเริ่มฝึกพลังธาตุตั้งแต่แรกโดยตรงความแข็งแกร่งและความสามารถของพวกเขานั้นเทียบเท่าอู่จงอยู่ตั้งแต่แรกข้อมูลนี้อาจจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนตาสว่างขึ้นได้
“ก็ไม่มีความยุติธรรมใดบนโลกใบนี้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว!”
ฟางหยวนวางหนังสือลงพร้อมกับถอนหายใจเขายังคงรู้สึกอิจฉานักรบวิญญาณและคนพวกนั้นมากๆอยู่ดีเขาคิด“นักรบวิญญาณใช้พลังธาตุและสามารถควบคุมธรรมชาติได้ได้รับความสามารถในการสร้างตัวอย่างเช่นจ้าวแห่งเวทย์สามารถใช้ธาตุหลักของตนได้ในขณะที่จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุนั้นสามารถใช้พลังชีวิตจากพืชวิญญาณได้อย่างเต็มที่เก็บเกี่ยวคุณค่าสูงสุดจากธรรมชาติและยังมีจ้าวแห่งความฝันที่ลึกลับยิ่งกว่า..”
ฟางหยวนไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วเกี่ยวกับเส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์ต่อไปข้างหน้าของเขาหลังได้เป็นอู่จง
ฟางหยวนยังแค่มีคำถามเล็กน้อยถึงวิธีที่จะไปเป็นนักรบวิญญาณ
“ถ้าพูดถึงแค่สภาพร่างกายข้าคิดว่ามีคนไม่มากที่จะมีสภาพร่างกายดีกว่าข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของพลังเวทย์…”
ส่วนเรื่องการฝึกปรือขัดเกลาทักษะวิทยายุทธ์มันก็มักจะประกอบด้วยการสร้างและเพิ่มพลังธาตุขณะที่ฟางหยวนเติบโตในส่วนของพลังวิญญาณเขามีชาชำระจิตเป็นตัวช่วย
ส่วนเงื่อนไขของการเป็นนักรบวิญญาณมันก็ดูเหมือนจะคล้ายกับพลังเวทย์นี่มากๆ
ฟางหยวนเดินไปที่ตรงหน้ากระจกทองเหลืองและปล่อยพลังเวทย์ทั้งหมดของเขาออกมา
ในตอนนี้ชายหนุ่มที่ในกระจกดูมีชีวิตชีวาและเจิดจ้าอย่างไม่น่าเชื่อเขาเกือบจะเปล่งรัศมีของความเยาว์วัยและความแข็งแรงออกมาราวกับไข่มุกราตรียามกลางคืน
“เปล่งประกาย…พลังเวทย์ที่ 3.0 และข้าก็มีความสามารถเช่นนี้…”
ฟางหยวนรู้ว่ามันจะน่าเสียดายถ้าเขาไม่พยายามฝึกเพื่อเป็นนักรบวิญญาณด้วยความสามารถของเขาในระดับนี้
แต่การเป็นนักรบวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายมันยังต้องมีความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริง
“เมื่อข้าจากไปคราวนี้ข้าต้องให้ความสนใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น…”
ฟางหยวนตั้งใจเอาไว้แต่เขาก็ยังคงมีความสงสัยอีกเล็กน้อย
สำหรับนักรบวิญญาณทั้งมวลนั้นมณฑลชิงเหอนั้นเป็นแค่เขตชนบทยากจนขนาดเขายังไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในตำนาน
ถ้าเขาอยากจะหาข้อมูลพวกนี้เขาจำต้องเดินทางไปยังรัฐซานฝหรืออาจจะเมืองหลวงของประเทศเซียบางทีเขาอาจจะต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อค้นหาแม้จะแค่เป็นเพียงความหวังริบหรี่
“ว้ววว!!!”
หลังจากตัดสินใจแล้วฟางหยวนก็ลุกเดินไปยังเขตสวนแล้วร้องเรียก
เสียงของเขาก้องไปทั่วหุบเขาและสั่นสะเทือนพื้นดิน
“แกวก!”
“กิกี้!”
เงาร่างใหญ่และเล็กจากท้องฟ้าและพี่นดินตามลำดับพุ่งตรงมาทางฟางหยวนอย่างรวดเร็วเป็นฮวาหูเตียวและอินทรีดำหางเหล็ก
“ข้าจะออกเดินทางเป็นระยะเวลานานหุบเขาสันโดษนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเจ้าแล้ว!”
ฟางหยวนลูบหัวเล็กๆของฮวาหูเตียวและโยนลูกไผ่ให้อินทรีดำหางเหล็ก
เขาซ่อนชาวิญญาณข้าววิญญาณและลูกไผ่เอาไว้แยกต่างหากบนเทือกเขาชิงหลิงที่กว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์จากพื้นที่กว้างขวางของเทือกเขาแล้วคงมีคนไม่มากที่สามารถหาที่ซ่อนของเขาพบได้
หลังจากการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายฟางหยวนก็จุดไฟเผาต้นข้าวหยกแดงทั้งหมดเหลือแต่เถ้าถ่านส่วนตันชาชำระจิตและต้นไผ่วิญญาณนั้นถูกทิ้งเอาไว้ที่เดิมแต่มันก็ยากที่จะสังเกตเห็นพวกมันได้มันดูไม่ท้าทายให้ใครๆมาเก็บเกี่ยวประโยชน์จากพวกมันได้ในสภาพนี้
นอกจากนี้ด้วยการปกป้องของสัตว์วิญญาณทั้งสองฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมาก
มณฑลเลี่ยหยาง
นี่เป็นหนึ่งใน6มณฑลในเขตปกครองอี้ซานฟูมันเป็นอาณาเขตของสำนักห้าผีและอยู่ติดกับมณฑลชิงเหอในฐานะที่ที่นี่มีเหมืองแร่ขนาดใหญ่หลายแห่งมณฑลนี้จึงมีอำนาจในทางการค้าและดูมีความพัฒนามากกว่ามณฑลชิงเหอ
ฤดูหนาวผ่านไปเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ภายในเมืองเฉาหยางผู้คนที่เก็บตัวเงียบระหว่างฤดูหนาวอันแสนทรมานก็เริ่มกลับมาค้าขายก้อนแร่จำนวนมากอีกครั้ง
แร่เหล่านี้ของเลี่ยหยางนั้นสามารถสกัดพลังหยางได้มันเป็นวัตถุดิบที่ช่างตีเหล็กชอบใช้ประกอบในผลงานของพวกเขาซึ่งรวมทั้งอาวุธด้วยหลังจากใส่ก้อนแร่พวกนี้ลงไปด้วยกระบวนการเฉพาะคุณภาพของอาวุธที่ได้นั้นจะเพิ่มขึ้นและยังอาจจะเปลี่ยนรูปไปก็ได้มันอาจจะมีคุณสมบัติระดับเทพหรือระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อาจจะพูดได้ว่าอาวุธเช่นนั้นสามารถเอาชนะปิศาจได้และยัง
กันดีว่าเป็นอาวุธเทพอันทรงอำนาจของกลุ่มนักรบเวทย์
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในตำนานแต่ว่าความจริงก็คือความต้องการซื้อของก้อนแร่แห่งเลี่ยหยางนั้นสูงกว่าที่มีขายมากนัก
นอกจากนี้ยิ่งถ้ามีการขนส่งราคาของก้อนแร่เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะทางเมื่อพวกมันถูกส่งไปถึงเมืองหลวงของรัฐซานฟูราคาก็เพิ่มขึ้นประมาณกึ่งหนึ่งเมื่อไปถึงเมืองหลวงของประเทศเซียราคาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าถ้าใครอยากจะเสี่ยงละเมิดกฎหมายและขนส่งพวกมันไปตามชายแดนไปถึงเมืองไกลกำไรย่อมเกินกว่าจะนับได้มันเพียงพอให้คนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราโดยไม่ต้องทำงานอีกเลย
แต่ว่าอันตรายและอุปสรรคระหว่างเส้นทางการขนส่งนั้นมากมายนัก
พ่อค้าเหล่านี้ถูกล่อลวงด้วยผลกำไรจำนวนมากที่พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวได้จนยอมเสี่ยงที่เผชิญหน้ากับ
พวกโจรและหัวขโมยไปตลอดทางพวกเขาต้องมีความกล้าฉลาดและมีความมุ่งมั่นในการเดินทางเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ
“นี่คือเมืองเฉาหยางรึ?!”
ตอนที่รถม้าผ่านเข้าประตูเมืองอย่างช้าๆมือที่ราวกับหยกข้างหนึ่งก็เปิดม่านออกคนด้านในสอดส่ายสายตาสำรวจเมืองที่ดูแปลกตาไปคนผู้นั้นดูจะตื่นเต้นมาก
“ลกเบพาเรามาถึงที่พักแรมเจ้า
ที่ด้านหน้ารถม้ามีชายวัยกลางคนไว้เคราแพะผู้หนึ่งยืนอยู่เขาดูเหมือนจะเป็นหลงจำของที่พักแรมและในเวลาเดียวกันเขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนขับรถม้าด้วย
“ดีมาก!”
หญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้าชุดสีแดงของนางนั้นโดดเด่นออกมาจากสีทึบทึมรอบตัวนางดวงตาของนางเป็นประกายงดงามแต่นางปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ด้วยหน้ากากทำให้คนรอบตัวนางรู้สึกไม่พอใจ
“เหล่าอ?ขอบคุณมากที่ช่วยพรางตัวครั้งนี้และที่ช่วยมาเป็นคนขับรถม้าให้ข้าทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว!”
หลังจากเข้ามาในโรงพักแรมและจับจองห้องแล้วหญิงสาวก็ถอดหน้ากากของนางออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามเป็นหลินเหลยเยว่
“ข้ายินดีที่ได้ทำงานรับใช้ท่านคุณหนูหลิน!”
ชายวัยกลางคนยิ้มและปาดเหงื่อออกจากใบหน้ารอยย่นบนใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างมากและเขาก็ดูเหมือนจะเบาใจลงมากทีเดียว
ถ้าฟางหยวนอยู่ที่นี่เขาต้องพบว่าชายผู้นี้นั้นคุ้นตามากเป็นแน่นี่คือชายคนที่บังคับให้เขายกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับหลินเหลยเยว่เขาคืออินทรีเหล็กหน้านิ่งอว์ชิวเหลิ่ง!
“ผู้อาวุโสชั่นแจ้งพวกเราแล้วว่าเขาจะมาร่วมกับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อตามล่ากุยอู่เชิง!”
หลินเหลยเยว่ปรบมือและก็มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหลายคนเดินเข้ามาพร้อมที่จะรับคำสั่ง
“สำนักหน้าผีนั้นมีเบื้องหลังลึกลับนักและยังไม่สามารถคาดเดาได้ตอนที่พวกเราอยู่ในมณฑลชิงเหอพวกมันก็สั่งให้สายลับที่ซ่อนตัวอยู่นานหลายปีลงมือจุดประสงค์ของพวกมันดูจะไม่ธรรมดาเจ้าเป็นสายสืบระดับสูงของสำนักเราในเมืองเฉาหยางครั้งนี้ให้คอยสนับสนุนผู้อาวุโสสันและภารกิจของข้าและสืบหาจุดประสงค์แท้จริงของสำนักห้าผี!”
“ขอรับคุณหนู!”
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดโค้งตัวคารวะอย่าง
เคารพ
“ดีเอี้ยนซานหม่าชื่อโฮวอู่เจิ้งลิ่ว…พวกเจ้าสี่คนเฝ้าประตูทั้งสี่ของเมืองเฉาหยางเร็วๆนี้ผู้ฝึกยุทธ์สำนักห้าผีมารวมตัวกันในเมืองนี้ทำให้แน่ใจว่าเจ้ารู้จักพวกมันแต่ละคนเป็นอย่างดี!”
“โจวจิ๋วเจ้า…”
หลินเหลยเยู่ดูราวกับกำลังสั่งการอยู่ในกองทัพคำสั่งสุดท้ายของนางนั้นมีให้แก่อวชิวเหลิ่ง“เหล่าอ”ข้าจะให้ท่านรับผิดชอบดูแลเรื่องการเคลื่อนไหวของสำนักห้าผีแถบนี้!”
“วางใจได้ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
อวชิวเหลิ่งตอบด้วยน้ำเสียงโอหังเขามั่นใจว่าเขาทำได้อย่างแน่นอน
เขาไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อเป็นอื่น
เพราะว่าเมื่อเร็วๆนี้วิทยายุทธ์ของอชิวเหลิ่งนั้นก้าวหน้าขึ้นก้าวใหญ่เขายังได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสในสำนักความมั่นใจของเขานั้นจึงสูงขึ้นและเขาก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่งครั้งนี้เขาได้รับมอบหมายให้พาสมาชิกในสำนักออกปฏิบัติภารกิจมันเป็นการรับผิดชอบครั้งใหญ่และยังเป็นตัวบ่งชี้อนาคตอันรุ่งเรืองในสำนักของเขาอีกด้วยนี่จึงทำให้เขามีความมั่นใจและมีกำลังใจมากขึ้น
เห็นเช่นนี้แล้วหลินเหลยเยว่ก็เตือนเขา“สำนักห้าผีนั้นมีอำนาจเทียบเท่ากับพวกเราอย่าได้ประมาท!”
“คุณหนูหลินพูดได้ดีข้าจะจำเอาไว้!”
อว์ชิวเหลิงโบกมือขณะตอบคำจากท่าทางหยิ่งยะโสของเขาแล้วหลินเหลยเยว่ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางจริงจังเลย