Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 28: ประตูทองที่ 5
เวลาไหลไปราวสายน้ำ ผ่านไปอย่างนุ่มนวลราวกับผืนผ้าในกี่ทอ
เพียงแค่กะพริบตา สิบกว่าวันก็ผ่านไป
“นี่เป็นข้าวหยกแดงส่วนสุดท้ายแล้ว!”
ฟางหยวนแหงนหน้าเทโจ๊กข้าวหยกแดงคำสุดท้ายเข้าปาก เขารู้สึกได้ทันทีถึงพลังงานอุ่น ๆ สายหนึ่งหมุนเวียนในร่างกาย
เขามองหน้าต่างสถานะของตน
“อืม.. ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 4) พัฒนาไปได้เกินเก้าส่วนแล้วสินะ?”
แม้ว่าฮวาหูเตียวจะยืนยันว่าเขาแข็งแกร่งเพียงพอที่จะมุ่งหน้าสู่อาณาเขตที่มีปุ๋ยวิญญาณแล้ว ฟางหยวนก็ยังต้องการหลักประกันที่แน่นหนากว่านั้นให้ตัวเอง
หลังจากการฝึกหนักหลายวันทำให้ฟางหยวนขัดเกลาวิชาฝ่ามือทรายดำของตนขึ้นถึงจุดสุงสุดอีกระดับ แม้แต่เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กก็เริ่มกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับเขา ฟางหยวนที่ผ่านเข้าสู่ [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 4)] ทำให้เขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งจำเป็นต่อการใช้วิชาที่ต้องคำนึงแรงที่ใช้ออก
“เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กให้การป้องกันที่สมดุลมากกว่าเมื่อเทียบกับวิชาฝ่ามือทรายดำ อันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกหนแห่งในดินแดนที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณนั่น มีวิชาป้องกันตัวมากขึ้นสักหน่อยจะได้ไม่เจ็บตัว!”
ฟางหยวนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตั้งท่าต่อสู้
“ฮวาหูเตียว!”
“ฟ่อออ!”
ฮวาหูเตียวปรากฏตัวขึ้นเป็นเงาสีขาววูบผ่าน
เมื่อเจอกับการเชื้อเชิญให้ลงมือต่อสู้ฉันมิตรจากฟางหยวน หนูเตียวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นนิด ๆ
ก็เพราะการฝึกในหลายวันที่ผ่านมานี้ ความ “บ้าคลั่ง” ของฟางหยวนขู่ขวัญมันมากพอดู การเผชิญหน้ากับพิษที่ฟุ้งกระจายจากวิชาฝ่ามือทรายดำไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
“ฮ่าฮ่า… คราวหน้าที่ข้าววิญญาณพร้อมเก็บเกี่ยว ข้าจะให้เจ้ากินจนจุใจเลย ฟังดูเป็นอย่างไร?”
ฟางหยวนรู้ว่าฮวาหูเตียวนั้นหลงใหลในข้าววิญญาณมากแค่ไหน
“ฟ่อ!”
เมื่อพูดถึงข้าววิญญาณ หนูเตียวก็มีแรงใจกระโดดเข้าใส่ฟางหยวนทันที
“เยี่ยม!”
ฟางหยวนยืนหยัดอย่างมั่นใจโดยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย สองมือกลายเป็นลมฝนหมัด ดูราวกับกังหันลมสีดำที่ก่อเกิดลมแรงแหลมคมสีดำทมิฬ
“ฝุ่บ ฝุ่บ”
เพียงครู่เดียว ฮวาหูเตียวก็กระโดดออกมาจากรัศมีการต่อสู้ เขม้นมองอย่างระแวงไปที่เงาร่างด้านใน
“เช่นนี้… ดูเหมือนว่าฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5) จะนำข้ากลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม!”
เขาจับจ้องที่มือทั้งสองข้าง ที่เคยมีเส้นเลือดปูดโปน ได้กลับสู่สภาพดั้งเดิม แม้แต่แขนของเขา ที่เคยมีกล้ามเนื้อเป็นมัดขึ้นชัดเจน ก็กลายมาเป็นราบเรียบเช่นเดิม
แต่ฟางหยวนก็ยังคงรู้สึกได้ถึงพลังงานภายในร่างที่ก่อเกิดพลังแข็งแกร่งหมุนเวียนอยู่ในเส้นเลือด
แม้จะดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ของฟางหยวนกลับมาสู่สภาพดั้งเดิม แต่ความสามารถในการทำลายล้างที่เขาสามารถทำได้กลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!
เขาตรวจสอบหน้าต่างสถานะ และสังเกตเห็นคำอธิบายวิชาฝ่ามือทรายดำของเขามีการเปลี่ยนแปลง
ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)— นี่เป็นวิชาภายนอกที่ฝึกจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ทำให้ฝ่ามือของผู้ฝึกมีลักษณะภายนอกกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม และมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก สามารถตัดทองทลายหยก เสริมพิษได้ และเสริมสร้างพลังภายใน
“พลังภายใน?!”
ฟางหยวนสามารถรู้สึกได้จริง ๆ ว่ามีพลังภายในแข็งแกร่งไหลผ่านฝ่ามือทั้งสองกระจายไปที่แขน หน้าอก และท้องน้อยของเขา มันราวกับว่าเขาได้กลายเป็นเตาผิงเล็ก ๆ ที่กล่อมเลี้ยงบางอย่างไว้ด้านในร่างกายเขา
“พลังภายในถักทอเป็นรูปแบบคล้ายเชือกและกลายเป็นกำลังภายใน! นี่คือแก่นของประตูทองที่ 6 ประตูจิง… ถ้าผ่านประตูนี้ไปไม่ได้ ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส และอาจจะถึงตายได้!”
ถึงจุดนี้ ฟางหยวนนั้นก็จมลึกลงไปในภวังค์การฝึกแล้ว ถ้าเขาเสียสมาธิเพียงชั่วขณะ สิ่งที่ตามมาจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
“แต่ตอนนี้…”
ฟางหยวนหลับตา สูดหายใจลึก
“แกร่ก!”
ความรู้สึกอย่างหนึ่งบอกเขาว่าเขาฝ่าผ่านประตูได้แล้ว
“ผู้ฝึกยุทธ์ (ระดับ 5) สำเร็จแล้ว!”
ฟางหยวนเพิ่งเริ่มฝึกวิชายุทธ์ได้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น เขาก็บรรลุประตูทองที่ 5 เรียบร้อยแล้ว นี่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เรียกว่ามหัศจรรย์เลยก็ได้!
“ข้าต้องขอบคุณแถบค่าประสบการณ์ รวมทั้งข้าวหยกแดงและชาชำระจิตด้วย!”
ฟางหยวนไม่ปล่อยให้ตัวเองระเริงมากเกินไป แล้วตรวจดูค่าสถานะ
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 2.7
พลังลมปราณ: 2.5
พลังเวทย์: 1.5
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ห้า)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)], [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 3)]
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
“เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก— เคล็ดวิชากำลังภายในและภายนอก ทั้งหมดไร้ซึ่งจุดบกพร่อง เมื่อฝึกถึงระดับ 12 เมื่อนั้นร่างกายจะแข็งแกร่งไร้สิ่งกล้ำกราย ทนต่อการบาดเจ็บ เสริมด้วยความแข็งแกร่งภายในของกรงเล็บอินทรี! ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3!”
“ระดับหลัง ๆ ของการฝึกวิทยายุทธ์จะยิ่งเป็นที่น่าครั่นคร้าม ลำพังแค่ระดับ 5 ก็เพิ่มพลังกายและพลังลมปราณของข้าขึ้นถึงอย่างละ 0.5 น่าเสียดายที่พลังเวทย์ของข้าไม่เพิ่มขึ้นเลย…”
ตอนนี้ ฟางหยวนรู้แล้วว่าพลังเวทย์นั้นเพิ่มระดับได้ยากที่สุดท่ามกลางค่าสถานะทั้งสาม
ก่อนหน้าที่นี้มันเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจล้วนเป็นเพราะชาชำระจิตและพิธีชงชาสมาธิ
เส้นทางการฝึกยุทธ์นั้นยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความก้าวหน้าของผู้ฝึก การพยายามผ่านประตูที่หกนั้นก็อาจจะทำให้เกิดผลสะท้อนที่ทุกข์ทรมานได้ง่ายมากด้วย ส่วนการจะผ่านประตูที่เจ็ดได้นั้นขึ้นกับทั้งความคิดและจิตใจ และยังเป็นการทดสอบพลังเวทย์ของผู้ฝึกยุทธ์ด้วย! ถ้าผู้ฝึกยุทธ์มีพลังเวทย์ต่ำเกินไป ก็จะต้องทนทุกข์จากผลสะท้อนและอาจจะเกิดเป็นความผิดปกติทางจิตได้…”
ด้วยเคล็ดการฝึกจิตของสำนักกุยหลิงและเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก ฟางหยวนก็มั่นใจเป็นที่สุดว่าจะสามารถไปถึงประตูที่ 12 ได้
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงความอันตราย ประตูที่หกและเจ็ดนั้นไม่นับเป็นอะไรเลยเมื่อเทียบกับประตูที่แปด
ถ้าผ่านประตูที่หกและเจ็ดไม่ได้อาจจะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายรุนแรง แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่
แต่ประตูที่แปด ประตูสื่อ* ลำพังแค่ชื่อก็บอกแล้วว่า ถ้าการฝ่าประตูล้มเหลวย่อมหมายถึงการตาย
เพราะเช่นนี้ เมื่อซ่งจงและผู้ฝึกยุทธ์ก่อนหน้านั้นจึงต้องมั่นใจมากพอก่อนจะเริ่มฝ่าประตู!
“และโจวตงที่อยู่ที่ประตูที่ห้าและยังมีเคล็ดกายาเหล็กอยู่ในมือก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับประตูที่หก ด้วยนิสัยขี้ขลาดเช่นนั้น เขาคงไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่านี้แล้ว!”
ฟางหยวนส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย
ผู้ที่มีตำรายุทธ์อยู่ในความครอบครองแต่ไม่กล้าฝึกนั้นเป็นคนโง่เขลาที่สุดในโลก
แต่พูดจริง ๆ แล้ว โจวตงเป็นหัวหน้าตระกูลโจว สถานะตระกูลจะสูงขึ้นหรือต่ำลงล้วนขึ้นอยู่กับเขา เขาจึงไม่สามารถเอาตัวเองไปเสี่ยงเช่นนั้นได้
แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายก็คือ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความสามารถมากกว่าที่คิดเอาเปรียบเขาก็คือต้องยอมอ่อนข้อให้
“อย่างไรก็ตาม ตามที่ผู้คิดค้นวิทยายุทธ์นี้กล่าวไว้ในตำรา และจากการสังเกตของตัวข้าเอง สามประตูวิกฤตแม้จะดูน่ากลัวไปนิด แต่ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธ์มี พลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์มากพอ ก็สามารถรับมือได้ไม่ยากนัก!”
เพราะเช่นนี้ ฟางหยวนจึงวางความมั่นใจทั้งหมดไว้กับปุ๋ยวิญญาณ
เขาต้องเก็บเกี่ยวใบชาและข้าวเอาไว้เพื่อเพิ่มค่าสถานะทั้งสามให้อยู่ในระดับสูงกว่าเดิมเพื่อให้สามารถผ่านประตูวิกฤตทั้งสามได้ในความพยายามเพียงครั้งเดียว
“ใช่แล้ว ไปกันวันนี้เลย!”
ฟางหยวนยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นสะพายหลังและเรียกฮวาหูเตียวมาก่อนจะมุ่งหน้าออกจากหุบเขาไป
เมื่อเขามาถึงบริเวณที่ตระกูลโจวตั้งค่ายเอาไว้ ก็พบว่าโจวเหวินซินหายตัวไปแล้ว
‘เมื่อวันก่อนคนรับใช้ของตระกูลโจวเอาข่าวมาบอกว่าซ่งจงนั้นไม่ได้เสียสติไปจริง ๆ ทำให้เหล่าโจวรู้สึกโล่งใจขึ้น คุณหนูโจวจึงกลับบ้านอย่างเสียไม่ได้หลังจากได้รับประสบการณ์แสนทรมาน ก็ดี ปัญหาน้อยลงไปอีกหนึ่ง!’
ฟางหยวนในชุดเสื้อคลุมตัวนอกสีเขียวถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างไรเสีย ซ่งจงและเหล่าโจวก็มาจากสำนักเดียวกัน ซ่งจงนั้นสูญเสียไปและไล่แก้แค้นศัตรูเก่า ๆ อย่างดื้อดึง จึงไม่แปลกถ้าเขาจะรามือจากการจัดการกับเหล่าโจว
เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักกุยหลิงก็จริง แต่ไม่ได้ไร้พ่าย
“ร่องรอยที่ข้าทิ้งไว้นั้นไม่สลักสำคัญเลยจริง ๆ ตราบใดที่ข้าไม่ได้แสดงความสามารถออกไป โดยเฉพาะวิชาฝ่ามือทรายดำ ใครจะมาสงสัยข้ากัน….?”
ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด
ตระกูลโจวอยู่รอดปลอดภัยเท่าไหร่ เขาก็ปลอดภัยด้วยเท่านั้น
แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พัฒนาขึ้น เหตุการณ์นี้ก็ไม่นับเป็นอย่างไรได้แล้ว
“หนูเตียว นี่เป็นโอกาสที่แกจะได้เปล่งประกายแล้ว!”
ฟางหยวนลูบหัวหนูเตียวเบา ๆ ทั้งคู่พุ่งตัวเข้าไปในป่าแล้วหายลับไป
…
เมืองชิงเย่
“พวกสวะไร้ค่า!”
ซ่งจงตวาดเสียงลั่น ซ่งซานกระอักเลือดออกมาและถูกเหวี่ยงปลิวไปหลายจั้งก่อนจะตกลงบนพื้น
“ข้าต้องการรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ฝึกวิชาฝ่ามือทรายดำได้ถึงระดับสุดยอดในมณฑลนี้ ข้าให้เวลาเจ้าตั้งมาก แต่เจ้ากลับหามาได้เพียงเท่านี้…”
ซ่งจงเดินไปข้างหน้าช้า ๆ ขณะมองไปที่ร่างโชกเลือดของซ่งซาน และยังคงรักษาบุคลิกเดิมเอาไว้
“ไว้ชีวิตข้าด้วย อาจารย์!”
ซ่งซานงอตัวคารวะซ้ำ ๆ
“ฝ่ามือทรายดำมีการฝึกฝนกันอย่างกว้างขวางและยังมีการเปลี่ยนแปรไปตั้งมาก ซ่งซานคิดว่า…”
“ผัวะ!”
คำพูดของซ่งซานถูกตัดกลางคันจากเท้าหนึ่งเตะเข้าที่หน้าอก
“เจ้าจะพูดว่าเป็นความผิดของอวี้เจว๋งั้นรึ? ที่เขามีสายตาไม่ดีพองั้นรึ?”
“ซ่งซานไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”
ซ่งซานกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด เขาไม่กล้าแม้แต่จะครางออกมาสักเสียง
“…แน่นอนว่าอวี้เจว๋ไม่ได้พลาดตรงไหน แต่เป็นเพราะพวกคนรับใช้ที่รีบร้อนหนีไปด้วยความกลัว บางทีพวกมันอาจจะได้ยินผิด หรือบางที… ได้โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิดเถิดอาจารย์!”
“ฮึ่มม ไปซะ!”
หลังจากเสียงตะคอกของซ่งจง ซ่งซานก็ตะเกียกตะกายออกไปจากห้องโถงด้วยสภาพน่าสมเพช ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายเมื่อเขาพ้นสายตาผู้อื่นออกมา
“อาจารย์!”
หลังจากซ่งซานออกไป ลูกศิษย์หญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาคารวะซ่งจง
“ข้าทำตามที่ท่านสั่งและเตรียมการเรียบร้อยแล้ว โจวตงผ่อนการระวังตัวลงและเรียกลูกศิษย์กลับมา…”
“ดีมาก!”
ซ่งจงสงบลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินข่าว แต่ท่าทางบ้าคลั่งก็ยังไม่หายไปทั้งหมด
“รอให้ลูกชายคนสำคัญของมันกลับมาก่อน พวกเราจะจัดการกับพวกมันในคราวเดียว!”
“แต่อาจารย์ ตระกูลโจวเป็นหนึ่งในพวกเรา แล้วนอกจากนี้ ก็ยืนยันได้แล้วว่าระหว่างที่อวี้เจว๋จากพวกเราไป โจวตงกำลังพักฟื้นหลังจากถูกพิษร้ายแรง เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อกับการตายของอวี้เจว๋…”
ลูกศิษย์หญิงมองซ่งจงอย่างไม่แน่ใจ
“…แล้วอย่างไร?”
ซ่งจงหรี่ตามองนาง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? พวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่มันถูกพิษ และโจวตงก็มีการติดต่อกับผู้อาวุโสฝ่ายมันและบอกพวกเขาว่าข้าเป็นผู้ทรยศ… พวกเราจำเป็นต้องจัดการกับลูกแกะนี่เพื่อแสดงอำนาจและบอกผู้อื่นที่เหลือว่าข้าไม่ได้เล่นด้วยได้ง่าย ๆ!”
ลูกศิษย์หญิงได้ยินก็เงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง
“นี่เป็นผลเสียต่อสำนัก”
“เหอ ๆ..”
ซ่งจงแค่นเสียง
“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ตระกูลโจวจะย่อยยับลงไป เป็นเพราะพวกกลุ่มอันธพาลต่างหาก ตราบเท่าที่เราไม่ทิ้งหลักฐานไว้เบื้องหลัง ใครจะกล้ากล่าวหาข้าผู้อาวุโส?”
“ท่านบ้าไปแล้ว!”
ลูกศิษย์หญิงตัวสั่น นางเข้าใจแล้วว่าอาจารย์ของนางนั้นบ้าคลั่งไปแล้วจริง ๆ หลังการตายของบุตรชายที่รักยิ่ง
“อวี้เจว๋…”
ซ่งจงไม่สนใจผู้อื่นรอบตัว พึมพำออกมาเบา ๆ
“ทุกคนที่เจ้าเคยไม่ชอบจะไม่มีทางหนีพ้น ทั้งหมดที่เจ้าเคยชอบ บิดาจะส่งไปให้เจ้าทั้งหมด…”
ขณะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เงาดำก็ขยับวูบวาบบนใบหน้าของซ่งจงคล้ายปิศาจกำลังเริงระบำกลางกองไฟ
TL note: ประตูสื่อ* สื่อ (死) คำนี้ในภาษาจีนแปลว่า ตาย