Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 27: ทลายหมู่บ้าน
เห็นสภาพของโจวเหวินซิน ฟางหยวนก็ย่นคิ้ว หมุนตัวเดินกลับเข้าหุบเขาไป ดื่มชาของตนต่อ
ด้วยนิสัยไร้เหตุผลเช่นนาง นางสมควรที่จะได้รับความลำบากแล้ว ให้ที่ดีสุดก็คือนางทนต่อไปไม่ไหวแล้วจากไปเองอย่างเต็มใจ
มีอะไรให้น่าสงสารกัน?
ฟางหยวนไม่ได้รู้สึกสงสารนางแม้แต่น้อย
ภายในหุบเขา ฟางหยวนตัดฟืน จุดไฟ ต้มโจ๊กและชงชา กลิ่นหอบลอยอวลในอากาศไปจนถึงทางเข้าหุบเขา โจวเหวินซินทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นหอม ท้องของนางร้องโครกเสียงดัง
นางเดินตรงไปที่ทางเข้าหุบเขาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็หยุดยืนตัวแข็งแค่ตรงนั้น ไม่กล้าก้าวต่อไปแม้สักก้าว
โจวเหวินซินอาจจะไร้เหตุผลแต่ไม่ได้โง่ นางรู้ว่าถ้านางไม่ทำตามที่ฟางหยวนเตือนไว้ว่าห้ามเข้าไปในหุบเขา ไม่มีผู้ใด แม้แต่บิดาของนาง จะช่วยชีวิตนางไว้ได้
นอกจากนี้ นางยังจำเมื่อตอนที่ผู้คุ้มกันของนางถูกเงาสีขาวโจมตีเมื่อตอนที่นางเผชิญหน้ากับฟางหยวนครั้งก่อน นางจะกล้าไม่เชื่อฟังได้อย่างไร?
นางเมินกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากหุบเขาและกินเสบียงแห้ง ๆ ที่นางมีต่อไป
ภายในหุบเขา
ฟางหยวนและฮวาหูเตียวต่างถือชามเล็ก ๆ ในมือ ทานโจ๊กข้าวหยกแดง และไม่ได้คิดจะยื่นมือช่วยโจวเหวินซิน
ข้าววิญญาณนั้นมีคุณประโยชน์นักแม้จะเป็นแค่โจ๊กที่ฟางหยวนทำขึ้น ไม่ว่ามนุษย์หรือหนูเตียว ต่างก็ให้ค่าข้าววิญญาณนี้นักและไม่มีความตั้งใจจะแบ่งปันมันให้ผู้อื่น
“แค่ข้าวหยกมุกของข้านั้นก็ไม่ธรรมดา เพียงแค่กินเข้าไปก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกายนัก…”
ฟางหยวนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะถอนหายใจ “ชาวิญญาณเกือบจะหมดแล้ว ข้าวหยกแดงก็ด้วย… ช่างน่าเจ็บปวดนักที่ข้าต้องดื่มเพียงชาธรรมดาทุกเช้า และถ้าข้าววิญญาณหมดลงด้วย ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน?”
“กีกี๊!”
ฮวาหูเตียวยกเท้าหน้าทั้งคู่ขึ้น ราวกับว่ามันเห็นด้วยกับประโยคนั้น
“คืนนี้ ปัญหาทุกอย่างจะแก้ได้ด้วยปุ๋ยวิญญาณ!”
ฟางหยวนมองฮวาหูเตียว “ตอนที่ข้าขอให้เจ้าพาข้าไปที่นั่นเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ยอมทำ แล้วดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้ข้าเป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 4)] และข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของข้าคงจะพอให้พาเราไปที่นั่นอย่างปลอดภัย?”
“กีกี๊?”
ฮวาหูเตียวเลียข้าวเม็ดสุดท้ายในชามโจ๊กของมันก่อนจะยอมวางชามลง แล้วขยับตัวไปที่ที่โล่ง ๆ
“โอ้? เจ้าต้องการประมือกับข้า?”
ฟางหยวนกระตือรือร้นขึ้นมาและเข้าใจได้ว่าฮวาหูเตียวไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาเก่งขนาดไหน พวกเขาจำต้องลองประมือเพื่อยืนยัน
“เข้ามา!”
ตั้งแต่สังหารซ่งอวี้เจว๋ ฟางหยวนก็ตระหนักได้ว่าประสบการณ์การต่อสู้นั้นมีคุณค่ามากกว่าการฝึกตามปกติธรรมดามาก และยินดีที่จะประมือกับฮวาหูเตียว
“ไม่ต้องออมมือให้ข้านะ!”
ฟางหยวนหายใจเข้าลึกและฝ่ามือทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาราวกับหนอน แขนทั้งคู่หนาขึ้นกว่าเดิม
‘นี่คือปกติเมื่อพลังภายในของข้าหมุนเวียนอยู่ในร่าง และตอนนี้มันก็มีผลต่อสภาพร่างกายภายนอกของข้าด้วย?’
ส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นจากเคล็ดฝ่ามือทรายดำก็คือฝ่ามือ แขน หน้าอก และช่วงท้อง ส่วนแผ่นหลัง ขา และศีรษะ มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
เขาไม่มีทางเลือก ฝ่ามือทรายดำเป็นเคล็ดวิชาระดับล่างที่ไม่ได้เน้นเรื่องการป้องกัน การที่แขนแข็งแกร่งขึ้นนั้นก็ดีพอแล้ว
“ซี่!”
สำหรับฮวาหูเตียวนั้น มันรู้สึกเกรงกลัวขึ้นนิด ๆ หลังจากเห็นรูปร่างของฟางหยวนเปลี่ยนแปลงไป
ฝุ่บ!
ฮวาหูเตียวใช้อุ้งเท้าชกใส่ฟางหยวนด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าเกิดเป็นเงาสีขาววูบผ่าน
“ชี่! ชี่!”
กรงเล็บของมันเร็วและคมราวกับมีด
“ดี ไม่ต้องออมมือ!”
ฟางหยวนผลักฝ่ามือของตนออก
เขาเคยสู้กับฮวาหูเตียวเพียงครั้งเดียว คือตอนที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันใต้แสงจันทร์เมื่อแรกพบ ฮวาหูเตียวในตอนนั้นยังไม่ฉลาดเท่านี้ และฟางหยวนตอนนั้นก็ไม่รู้จักวิทยายุทธ์
ตอนนี้ ทั้งคู่ล้วนมีการพัฒนาตัวเองขึ้น ทำให้ฟางหยวนตื่นเต้นที่จะได้รับรู้ความสามารถแท้จริงของฮวาหูเตียว
“ทรายดำไร้จำกัด!”
ฝ่ามือขวาของเขากลายเป็นสีดำและมีกลิ่นอ่อน ๆ โชยออกมา ให้ผลสะกดจิตแบบอ่อน ๆ
“ฟ่อออ!”
ฮวาหูเตียวไม่กล้าเผชิญหน้าตรง ๆ กับฟางหยวน มันบิดตัวเป็นรูปร่างคล้ายอักษร ‘已’ และหลบเลี่ยงฝ่ามือของฟางหยวนไปได้อย่างฉลาดก่อนจะม้วนตัวไปด้านหลังฟางหยวน จู่โจมเขาจากด้านหลัง
“ฝ่ามือย้อนกลับ!”
ฟางหยวนหมุนตัวและผลักฝ่ามือออกเป็นอีกกระบวนท่า และฮวาหูเตียวก็ยังหลบเลี่ยงได้โดยง่าย แล้วยังฝากรอยกรงเล็บสดใหม่ไว้บนแขนของฟางหยวนได้อีกด้วย
“หืม? จู่โจมได้เด็ดขาด แต่ป้องกันได้ไม่ดีนัก!”
เมื่อเห็นกระบวนท่าของฮวาหูเตียว ฟางหยวนก็สรุปออกมา
เขาเพ่งไปที่แขนของตน แล้วเปลี่ยนการโคจรพลังภายในมาที่แขนมากขึ้น แผลเล็ก ๆ นี่ไม่นับเป็นอะไรได้ เพียงหดกล้ามเนื้อ เลือดก็หยุดไหล
“ดี! อีกรอบสิ!”
ฟางหยวนตื่นเต้นมากขึ้นขณะลงมือต่อสู้ เขาตวัดฝ่ามือทั้งสองออกจากตัว เกิดเป็นกระแสลมแรงปนพิษหอบหนึ่งที่ทำให้ฮวาหูเตียวต้องถอยร่นไป และไม่กล้าจะก้าวเข้าใกล้ขึ้นมาแม้แต่ก้าวเดียว
‘อืม.. ความสามารถแท้จริงของฮวาหูเตียวนั้นเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 7 และถ้าไม่เพราะข้าฝึกวิชาภายนอก ข้าคงจะแพ้… แต่การป้องกันตัวของข้านั้นไม่ดีนัก ผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่ 4 คนใด ๆ ก็สามารถฝ่าเข้ามาได้ ข้าทำได้แค่ใช้ความเร็วทดแทนการป้องกันที่อ่อนด้อย..’
หลังจากการต่อสู้ยาวนาน ฟางหยวนก็ลมหายใจขาดห้วง และยกมือขึ้น “พอแค่นี้ก่อน!”
เขาจำต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อผลักให้ฮวาหูเตียวถอยร่นไป นั่นใช้พลังภายในของเขาไปเยอะมาก
ถ้าเขายังคงใช้พลังภายในต่อ เขาคงจะแพ้ให้แก่ฮวาหูเตียว
‘ถ้าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่ 5 ข้าคงจะสามารถรับมือต่อได้อีกสักครู่หนึ่ง ถ้าข้าสามารถผ่านประตูทองที่ 5 รวบรวมพลังภายใน เมื่อนั้นข้าก็จะสามารถรับมือได้นานขึ้น และอาจจะสามารถเอาชนะฮวาหูเตียวได้…’
ฟางหยวนกำหมัดแน่น และรู้สึกยินดีกับความก้าวหน้าของตนเอง
เขายังยินดีมากขึ้นอีกเมื่อพบว่าแถบสะสมประสบการณ์ของฝ่ามือทรายดำของเขานั้นเพิ่มขึ้นเป็นช่วงใหญ่ และยิ้มออกมา “ดีมาก ฮวาหูเตียว คราวหน้าพวกเราน่าจะฝึกแบบนี้ทุกวัน!”
“ฟ่อ..”
ตรงกันข้าม ฮวาหูเตียวที่เหนื่อยหอบแลบลิ้นออกมา มันเหนื่อยเป็นที่สุดกับการเพ่งสมาธิในการต่อสู้และรับมือกับวิชาฝ่ามือที่แข็งแกร่ง
“กิกี๊!”
ความก้าวหน้าของฟางหยวนทำให้ฮวาหูเตียวตกตะลึง มันทำสัญญาณบางอย่างด้วยอุ้งเท้า
“พวกเราทำได้ตอนนี้เลยเหรอ?”
ฟางหยวนเข้าใจมันและรู้สึกดีใจเหลือแสน
ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าไปดูว่าปุ๋ยวิญญาณทั้งหมดนั้นซ่อนอยู่ที่ไหนได้แล้วงั้นหรือ?
ถ้าเขามีปุ๋ยวิญญาณให้ใช้อย่างไม่จำกัด ผลิตผลจากต้นชาวิญญาณและข้าววิญญาณก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป และเขาก็จะฝึกวิชาก้าวหน้าได้เร็วขึ้น!
…
มณฑลชิงเย่ หมู่บ้านตระกูลโข่ว
หมู่บ้านนี้นับเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยแห่งหนึ่งในมณฑลนี้ และผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ใช้แซ่ ‘โข่ว’ และแน่นอนว่า ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของปรมาจารย์วิชาฝ่ามือ ผู้คิดค้นวิชาฝ่ามือทรายดำ โข่วเฟิง!
แต่ตอนนี้ ทั้งหมู่บ้านตระกูลโข่ว มีแต่ซากศพไปทุกแห่งหน
ไฟกองโตลุกโพลงสูงหลายจั้ง เผาผลาญสวนในหมู่บ้านราบคาบ ภายในหมู่บ้าน ศิษย์ของสำนักกุยหลิงไร้ซึ่งความเห็นใจ เข่นฆ่าทุกคนที่ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
เทียบกับทั้งมณฑลชิงเย่ การต่อต้านของหมู่บ้านตระกูลโข่วไม่นับเป็นอะไรได้
“คำสั่งของผู้อาวุโสซ่งคือห้ามไว้ชีวิตสักผู้ในหมู่บ้านตระกูลโข่ว!”
“ฆ่า!”
…
ท่ามกลางความโกลาหล ในบ้านหลังหนึ่ง เงาร่างสีดำกระโดดออกไปพร้อมกับสองฝ่ามือสีดำทมิฬเต็มไปด้วยพลัง ศิษย์สำนักกุยหลิงที่เข้ามาในรัศมีล้วนแต่กอบกุมลำคอของตนไว้ ก่อนจะหน้าซีดขาวแล้วล้มลงไปกับพื้น
“ซ่งจง เจ้ากล้า!”
เงาร่างสีดำนั้นเป็นชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่ง “กฎของยุทธภพ ผู้อื่นไร้ความผิด หรือแม้จะมีเหตุอันใด เจ้าก็ควรมาหาข้า เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“กฎของยุทธภพหรือ?”
ซ่งจงผู้เหี้ยมโหดพึมพำ
เขาลอยตัวขึ้นพุ่งเข้าหาชายชราอย่างรวดเร็วราวกับปิศาจ
“ฝ่ามือทรายดำ!”
ชายชราทุ่มการฝึกชั่วชีวิตไว้ในฝ่ามือนี้ ผลักฝ่ามือทั้งสองออก ใช้ฝ่ามือผสมพิษที่ร้ายแรงที่สุด
ผู้อื่นล้วนรู้จักความร้ายกาจของฝ่ามือทรายดำ แต่ส่วนมากล้วนไม่รู้ว่ารูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ามือทรายดำคือเมื่อใช้ร่วมกับพิษ กระบวนท่านี้ของเขาบ่งบอกว่าเขาได้รับการฝึกโดยตรงจากตระกูลโข่ว ชายชราผู้นี้สามารถผ่านประตูชาง มาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 6 ได้ นั่นคือเขาฝึกฝ่ามือทรายดำได้ถึงจุดสูงสุด
“ฝ่ามือทรายดำ ปลดปล่อยพิษ!”
ซ่งจงยังคงใจเย็น ไม่ได้แสดงความตึงเครียด และวาดมือขวาเป็นวงกลมวงหนึ่ง
ควับ!
ชายชรารู้สึกตะลึงเมื่อฝ่ามือขวาของซ่งจงปะทะเข้ากับมือซ้ายของตน พลังรุนแรงและพิษทำลายแขนทั้งสองข้างของตน เขากระอักเลือดออกมาก่อนจะล้มคว่ำลง
“คนที่สามารถฝึกฝ่ามือทรายดำจนบรรลุระดับที่ 6 ได้ เจ้านับว่ามีพรสวรรค์ ช่างน่าสงสารที่เจ้าไม่สามารถรับรู้ได้อีกแล้วว่าหากผ่านประตูทองที่ 6 ไปได้ สิ่งที่อยู่หลังประตูนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร!”
ซ่งจงกล่าวต่อ “เมื่อคนผู้หนึ่งเผชิญหน้ากับประตูชาง คนผู้นั้นต้องเผชิญกับความเจ็บปวด! เมื่อคนผู้หนึ่งถึงประตูจิง คนผู้นั้นจะได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจ! ประตูสื่อนั้นยิ่งเลวร้ายกว่า ถ้าไม่สามารถผ่านประตูนี้ได้ ย่อมหมายถึงความตาย! สามประตูวิกฤตที่บรรลุถึงได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และข้าได้ผ่านประตูทองที่เจ็ด ประตูจิงได้แล้ว กำลังภายในของข้า เมื่อรวบรวมแล้วนั้น แกร่งราวเหล็กกล้า พิษอันอ่อนด้อยของเจ้า ต่อหน้าข้ายังจะนับเป็นกระไรได้? เมื่อข้าลงมือโต้ตอบ ชีวิตของเจ้าก็แค่เส้นด้ายบาง ๆ เส้นหนึ่ง!”
“ผู้อาวุโสซ่ง… ก่อนนี้ข้าเคยขัดใจท่านก็จริง แต่ข้าไม่คิดว่าข้าควรชดใช้ถึงเพียงนี้!”
ชายชราคิดถึงความตายแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจนัก
“มันไม่ใช่เพราะเจ้าขัดตาข้าเพราะนั่นข้าเข้าใจเจ้า แต่ตอนนี้อวี้เจว๋ไม่อยู่แล้ว ข้ายังต้องห่วงอะไร…”
ซ่งจงบอกเขาด้วยอาการสงบ แต่ชายชรากลัวรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น “ท่านสงสัยข้า? ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้!”
“ไม่ว่าจะใช่เจ้าหรือไม่ ลูกศิษย์ทั้งหมดของเจ้าในตระกูลโข่วล้วนต้องตาย!”
ซ่งจงชี้นิ้วไปที่หน้าผากของชายชรา
แม้จะเป็นผู้ที่สามารถฝ่าประตูทองที่ 6 ได้ และยังฝึกฝ่ามือทรายดำได้ถึงระดับนี้ ยังต้องทอดร่างเป็นศพอยู่บนพื้น
ซ่งจงไม่ได้รู้สึกมีความสุขขึ้นหลังจากการตายของชายชรา กลับรู้สึกสงสัย
“ถ้าสิ่งที่คนรับใช้พวกนั้นพูดเป็นความจริง และอวี้เจว๋ตายตกด้วยพิษจากฝ่ามือทรายดำ แต่ไม่ใช่ฝีมือตาแก่ผู้นี้ ถ้าอย่างนั้นศิษย์คนอื่น ๆ จะยังเป็นคู่มืออวี้เจว๋ได้อีกหรือ? ข้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”