Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 17: จับตามอง
“ฝ่ามือทรายดำ!”
ที่ในหุบเขาเร้นลับ ชายผู้หนึ่งส่งฝ่ามือขวาออกไปอย่างรวดเร็วและทิ้งรอยฝ่ามือชัดเจนไว้บนกระดานไม้
“พลังของข้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว? ไม่เลวเลย!”
ฟางหยวนเก็บฝ่ามือและรู้สึกตื่นเต้นเมื่อแถบระดับการฝึกฝนของเขาขยับมาเกินครึ่งหนึ่งแล้ว
เขาคุ้นเคยกับการฝึกฝนมากขึ้น เขาลุ่มหลงไปกับความรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นหลังการฝึกฝนทุกครั้ง
“ถ้าค่าสถานะของผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้เพิ่มขึ้นยากเหมือนค่าสถานะของการดูแลพืช ข้าน่าจะสำเร็จ [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)] ได้โดยง่าย!”
“แน่นอนว่า อาหารการกินนั้นก็สำคัญมาก…”
นี่เป็นตอนบ่ายแล้ว ฟางหยวนกินข้าวหยกมุกเป็นอาหารกลางวัน และถอนหายใจไปขณะกิน
ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดา ๆ คงไม่สามารถหาข้าวหยกมุกปริมาณมากมายแบบเขาได้
แล้วคนผู้หนึ่งจะสามารถทนการฝึกฝนฝ่ามือทรายดำที่ยากลำบากซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไร? นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะเข้าสำนักและเริ่มฝึกฝน มิเช่นนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ
“นอกจากนี้… การฝึกยุทธ์ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย…”
สภาพร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์นั้นจะแข็งแกร่งราวกับหิน ถ้าพื้นฐานวิชาของคนผู้หนึ่งแข็งแกร่งขึ้น เขาก็จะสามารถไขว่คว้าสิ่งดี ๆ ได้ในอนาคต
ฟางหยวนเดาเหตุผลที่เขาสามารถบรรลุวิชาฝ่ามือทรายดำได้อย่างรวดเร็วว่าอาจจะไม่ได้เป็นเพราะการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ของเขา
“อีกไม่นาน ต้นชาของอาจารย์เวิ่นซินก็จะผลิใบเต็มที่ และข้าวหยกแดงก็พร้อมให้เก็บเกี่ยว… ต่อให้อู่จงอยากได้ข้าววิญญาณพวกนี้ ก็ยังมีเหลือเฟือ!”
ฟางหยวนรู้สึกมีความหวัง
วิทยายุทธ์พัฒนาได้เร็วกว่าเมื่อมีพืชวิญญาณพวกนี้
เหตุผลที่ฟางหยวนอยากจะสำเร็จวิชาเร็ว ๆ ก็เพื่อให้ปกป้องตัวเองจากอันตรายในอนาคตได้
“กัมประโดจากสำนักกุยหลิง ซ่งจื๋อเกา?!”
ถ้าเป็นหลินเปิ่นชูหรือพี่น้องตระกูลโจวก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ากัมประโดของสำนักกุยหลิงผู้นี้คิดเป็นศัตรูกับฟางหยวน ฟางหยวนนั่นต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว
แม้ว่าเขาจะดูไม่อิหนังขังขอบกับใครเขา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาคอยจับตามองเขาได้ง่าย ๆ
“ยังต้องใช้ความพยายามอีกมากเพื่อทำเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ให้สำเร็จ!”
อนาคตของเขา วิทยายุทธ์ของเขา ล้วนขึ้นอยู่กับพืชวิญญาณพวกนี้
…
กลางดึก
มีเงาร่างหลายเงาปรากฏตัวขึ้นที่รอบนอกหุบเขา
“กัมประโดซ่งบอกว่าเป็นที่นี่?”
ผู้ชายในชุดสีดำคนหนึ่งมองไปรอบ ๆ แล้วสบถเบา ๆ “สภาพแวดล้อมที่นี่ช่างน่าลำบาก มีแต่คนเถื่อนเท่านั้นนั่นแหละที่จะอยู่ที่นี่ได้!”
“เป็นที่นี่แน่นอน ไม่ผิดไปได้หรอก!”
นายพรานที่แบกง่ามเหล็กอันใหญ่ไว้เดินมาข้าง ๆ เขาและพูด “ข้าเคยมาที่นี่มาก่อนเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสัตว์กับสมุนไพรกับศิษย์ของอาจารย์เวิ่นซิน…”
เขาถอนหายใจไปด้วยขณะพูด
“ทำไม? เรื่องเก่าในอดีตทำให้เจ้าลังเลที่จะทำงั้นรึ?”
หัวหน้า ผู้ชายในชุดดำคนนั้น หัวเราะ
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร? สิบเหรียญทองเพียงพอให้ซื้อชีวิตของพวกชาวบ้านบนเขาสิบคน จัดการกับเด็กผู้หนึ่งนั้นง่ายราวกับปอกกล้วย”
นายพรานหัวเราะท่าทางชั่วร้าย “ความเห็นของข้าคือ ทำไมจะแค่แอบจับตามองมัน พวกเราควรจะบุกเข้าไปฆ่ามันตรง ๆ จากนั้นพวกเราก็ทิ้งซากเอาไว้ในป่าให้ถูกกัดกินจนเหลือแต่กระดูก!”
“ข้าก็เห็นด้วยนะ แต่กัมประโดซ่งอาจจะไม่ชอบใจนัก เราถูกสั่งมาว่าให้ปล่อยให้มันถูกทำลายเอง ให้ชาวเมืองเหยียดหยามประณามมัน เมื่อนั้นพวกเราจึงจะลงมือ”
ชายในชุดดำพูดเสียงต่ำ “ใครให้เจ้าเด็กน่าสงสารนั่นเข้ามาขวางทางรักของกัมประโดซ่งกันเล่า?”
“ทางรัก?”
คนอื่นรอบ ๆ ประกอบด้วยชาวบ้านหลายคน นายพรานและพวกหัวขโมยที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่ จ้องมองไปที่หัวหน้ากลุ่มที่ปิดบังอะไรเอาไว้แต่ไม่มีใครกล้าถามต่อ
“ก็อย่างที่บอก ภารกิจของพวกเราวันนี้คือสังเกตสถานการณ์ภายในหุบเขา และดูว่าเจ้าเด็กนั่นปิดบังหรือซ่อนอะไรเอาไว้หรือเปล่า!”
หัวหน้ากลุ่มพูด “ที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าอย่าเหลือร่องรอยของพวกเราเอาไว้เล่า!”
“เข้าใจแล้ว!”
พวกมันบางคนหัวเราะเสียงชั่วร้ายก่อนจะเข้าหุบเขาไปด้วยกัน
รอบด้านมืดสนิท แม้จะมีแสงจันทร์ส่อง แต่การมองเห็นก็ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คนพวกนี้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองเพื่อป้องกันการถูกจู่โจม
รั้วของหุบเขานี่ไม่ได้แข็งแรงนัก แล้วพวกมันก็แค่ต้องรับมือกับคนผู้เดียว ดังนั้นพวกมันจึงค่อนข้างผ่อนคลาย
“อืม… นี่เหรอ หุบเขาสันโดษ? ก็ดูเป็นที่ที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตนะ…”
“มีทั้งสวนดอกไม้และน้ำพุ ก็ปกติทั่วไปนะ ไปดูที่ด้านหลังซิ…”
พวกมันแยกกันไป แล้วก็พบเทือกสวนที่ด้านหลังหุบเขา
“ดูเหมือนจะมีอะไรสักอย่างที่ด้านหลังพุ่มไม้นั่น!”
ผู้ที่สังเกตออกนั้นเป็นทั้งนายพรานและหัวขโมยผู้มีประสบการณ์
“โอ๊ะ?”
หัวหน้ากลุ่มเดินไปข้างหน้าและพบทางเดินเล็ก ๆ ที่ด้านหลังพุ่มไม้ เขารู้สึกยินดีมากเมื่อพบทางเล็กนี่และพูด “ไปดูเร็วเข้า! ระวังตัวด้วย เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก ขนาดผู้คุ้มกันของตระกูลโจวที่มาที่นี่คราวก่อนยังแพ้ให้กับมัน…”
เขาพูดได้แค่ครึ่งเดียวตอนที่ได้ยินเสียงกัดดังกร้วมและเสียงร้องดังขึ้นกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
พวกมันมองไปที่พื้นโดยทันทีและพบสัตว์ประหลาดสีดำตัวหนึ่ง สัตว์ประหลาดสีดำที่พุ่งเข้ามากัดขาของหัวหน้ากลุ่ม
“กับดัก!”
“บ้าเอ๊ย!”
สถานการณ์กลายเป็นวุ่นวายขึ้นทันที
ก่อนหน้านี้คนพวกนี้แอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกมันจะถูกค้นพบหรือถ้ากรีดร้องขึ้นมากลางดึกเช่นนี้ในเมื่อเสียงกรีดร้องของพวกมันคงจะก้องไปทั่วทั้งหุบเขา
“ไม่จริงน่า…”
พวกมันมองหน้ากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
แม้ว่าจุดประสงค์ของภารกิจคือเข้ามาสังเกตการณ์ พวกมันก็ต้องทำอะไรสักอย่างเมื่อถูกจู่โจม
พวกมันไม่เชื่อข่าวลือ
จะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถจัดการกับพวกมันทั้งกลุ่มได้?
เด็กนี่โหดเหี้ยมพอที่จะวางกับดัก พวกมันต้องระวังมากขึ้น
“ฟ่อ!”
“ฟ่อ!”
แต่พวกมันก็ไม่ได้คิดว่าหนูเตียวขาวตัวหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นแทนที่จะเป็นเจ้าเด็กนั่น!
เป็นผู้พิทักษ์หุบเขา ฮวาหูเตียว ที่ออกหมัดใส่พวกมันเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ในตอนนั้น ขนของฮวาหูเตียวตั้งชันและดูไม่เป็นมิตร
ก็สิ่งที่อยู่ในไร่นั่นคือชีวิตของฮวาหูเตียว มันจะทนให้ไร่สวนถูกจับตามองโดยผู้อื่นอยู่ได้อย่างไร?
“นั่นอะไรน่ะ?”
“หนูเตียว?”
“มันตัวใหญ่มาก!”
นายพรานเตือน “ทุกคนระวังนะ หนูเตียวกลายพันธุ์ตัวนี้น่าจะเป็นของไอ้เด็กนั่น…”
“เฮอะ.. ก็ไม่นับว่ากระไรอยู่ดี ก็แค่สัตว์ป่า ไม่ได้แตกต่างไปจากสุนัขป่าหรอก”
หนึ่งในพวกมันหัวเราะก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปทันที
ประกายแสงสีขาวบาดตาแวบขึ้นที่ตรงหน้ามัน
“เกิดอะไรขึ้น ต้าเฉิง?”
เมื่อเห็นต้าเฉิงนิ่งไป หนึ่งในพวกมันก็ผลักตัวเขาเบา ๆ ร่างของต้าเฉิงแยกออกเป็นสองส่วน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกตัดผ่าครึ่งตัวโดยฮวาหูเตียวตั้งแต่เมื่อไหร่!
“ปิศาจ.. ที่นี่มีปิศาจ!”
ฉากนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนกลัวแทบตาย
“หนูเตียวนี่ไม่ใช่หนูเตียวธรรมดา มันเป็นสัตว์วิญญาณ เป็นตัวประหลาด!”
หนังศีรษะของนายพรานชาหนึบ เขาคิดถึงตำนานของสัตว์วิญญาณขึ้นมาในทันที
จากสิ่งที่เกิดขึ้น หนูเตียวนั่นสามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์! ด้วยรูปร่างและความสามารถ หนูเตียวตัวนี้ย่อมเป็นสัตว์วิญญาณเป็นแน่
“หนีเร็ว!”
พวกมันที่เหลือมองหน้ากัน จากนั้นก็รีบหนี ทิ้งหัวหน้าของพวกมันเอาไว้เบื้องหลัง
พวกมันไม่มีทางเลือก นายจ้างของพวกมัน ซ่งจื๋อเกา เป็นแค่กัมประโด จะมีอำนาจแค่ไหนกันเชียว? หัวหน้ากลุ่ม ผู้ชายในชุดดำเป็นคนเดียวที่เป็นลูกน้องโดยตรงของซ่งจื๋อเกาที่นี่ ที่เหลือล้วนถูกจ้างมา
กลุ่มแบบนี้จะทำงานสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อไม่มีปัญหาให้พบเท่านั้น
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวเคลื่อนที่ช้าลงอย่างจงใจ และไล่ตามนายพรานราวกับพบของเล่นให้เล่น
“บ้าชะมัด!”
นายพรานมองฮวาหูเตียวแล้วพยายามฟาดมันด้วยง่ามเหล็กอันใหญ่ของตน
นายพรานพลาด และรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากมือขวาของตน ฟันคมเรียงเป็นแถวปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในตอนนั้นเอง เลือดก็สาดกระจายไปทั่วบริเวณ…
…
“เสียงนั่นจะฆ่าข้าตายแล้ว นี่มันกลางดึก ทำไมพวกมันไม่ปล่อยให้ข้านอนหลับดี ๆ กัน?”
ฟางหยวนหลับไม่ลงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาเป็นระยะ
เขาคว้าเสื้อคลุม อ้าปากหาวขณะออกมาจากบ้าน “ขโมยรึ? ออกมาขโมยของข้าที่ในที่แบบนี้ไม่ลำบากเกินไปหน่อยหรือ…”
แม้จะพูดเช่นนั้น ทรัพย์สินชิ้นใหญ่ของเขาก็คือไร่ของเขาและเขาก็เป็นกังวล เขาก้าวเท้าเร็วขึ้นไปทางด้านหลังหุบเขา
“นี่…”
เป็นภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง เลือดสาดกระจายไปทั่ว ฟางหยวนทั้งพูดไม่ออกทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน “นี่เจ้าทำอะไรลงไป ฮวาหูเตียว?! นี่ข้าจะจัดการทำความสะอาดทั้งหมดที่เจ้าทำเละเทะไว้เสร็จเมื่อไหร่กัน!!”
“กีกี๊!”
กรงเล็บของฮวาหูเตียวยังเต็มไปด้วยเลือด มันวิ่งวนอยู่รอบ ๆ ตัวหัวหน้ากลุ่ม และทำท่าไม่รู้เรื่อง
“ไม่ต้องทำเป็นใสซื่อต่อหน้าข้า เจ้าจะต้องช่วยข้าจัดการเรื่องเละเทะนี่พรุ่งนี้!”
ฟางหยวนเดินวนดูซากศพก่อนจะมาที่ตัวหัวหน้าที่ยังคงหอบหายใจอยู่
ชายโชคร้ายผู้นี้ถูกหักขาแต่ฮวาหูเตียวก็ไว้ชีวิตเขา ช่างโชคดีนัก
“อย่า… อย่ากินข้า!”
แต่ชายคนนี้ก็หวาดกลัวเกินไปแล้ว เขาหลั่งน้ำตาเมื่อฟางหยวนเดินมาถึงตรงหน้าราวกับพบผู้ช่วยชีวิต “ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าเถอะนะท่าน! ข้าได้รับคำสั่งจากซ่งจื๋อเกา ข้าจะสารภาพทุกอย่าง!”
น่าสงสารนัก!
ถูกสัตว์ร้ายกัดกินและตายโดยไร้ที่กลบฝัง เป็นการตายที่ทรมานจิตใจเกินไปสำหรับคนผู้หนึ่ง