Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 15: พัฒนา
ภายในหุบเขาลึก
ตอนเช้าตรู่ ฟางหยวนหยิบหม้อเหล็กออกมาต้มน้ำพุ เติมทรายละเอียดและสมุนไพรลงไป รอให้ส่วนผสมเดือด
“ฝ่ามือทรายเหล็กต้องใช้สมุนไพรเฉพาะ ให้สมุนไพรเหล่านั้นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย…ร่วมกับการออกท่าและเคล็ดวิชา ก็จะให้คนผู้หนึ่งสามารถทลายภูผา กลายเป็นไร้พ่ายได้…”
ฟางหยวนตรวจสอบตำราทั้งสามยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งได้รับการตรวจสอบโดยฮั่นโจว ตอนนี้ก็ถึงเวลาฝึกแล้ว
“ในยุทธภพ มีระดับการฝึกตนรวม 12 ประตูทอง การฝึกฝ่ามือทรายดำถึงระดับสูงสุดนั้นทำให้ผู้ฝึกไปถึงระดับสูงที่สุดที่ประตูทองที่ 5..”
นั่นเป็นขีดจำกัดของฝ่ามือทรายดำ ซึ่งก็เป็นความแตกต่างระหว่างวิทยายุทธ์ธรรมดากับวิชาเวทย์นั่นเอง
“เคล็ดกรงเล็บอินทรียิ่งแย่กว่าอีก ฝึกแล้วไปได้ถึงแค่ประตูทองที่ 3 หลังจากนั้นต้องมีการฝึกจิตแบบพิเศษ ถึงอย่างนั้น ต่อให้ได้มา มันก็เพียงพอให้ฝึกต่อได้ถึงประตูทองที่ 8 เท่านั้น ซึ่งในสำนักก็ไม่นับว่าแย่…”
ฟางหยวนเรียบเรียงข้อมูลที่ได้จากตำราของเขาอย่างระมัดระวัง
“ยังมีเคล็ดลมปราณอย่างหยาบ ซึ่งที่น่าสนใจก็คือว่าข้าเกรงว่าแม้แต่ผู้คิดค้นเคล็ดวิชาเองก็ไม่รู้ว่าเคล็ดนี้จะไปได้ถึงระดับใด คนผู้นั้นไม่สามารถผ่านประตูทองที่ 6 ประตูชาง และผลก็คือเสียชีวิตไป…”
ฟางหยวนถอนหายใจ
ทุกระดับของ 12 ประตูทองนั้นซับซ้อนและมีอุปสรรคที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
“จากทั้งหมด 12 ประตูทอง ข้ารู้จักแค่ 8 ประตูแรก ไค ซิว เชิง ตู่ จิ่ง ชาง จิง สื่อ! แล้วในทั้งหมดนี้ยังแบ่งเป็นระดับย่อย สามประตูแรก ไค ซิว เชิง เมื่อผ่านมาได้ จะเพิ่มความสามารถของคนผู้นั้น ถ้าผ่านไม่ได้ ก็ไม่ได้เกิดปัญหาใด พื้นฐานของวิทยายุทธ์คือสองประตูถัดมา ตู่ และ จิ่ง ยากขึ้นมาอีกนิด แต่หากผ่านสองประตูนี้ไปไม่ได้ ผลเสียที่เกิดขึ้นต่อร่างกายก็ยังไม่ร้ายแรง สามประตูให้หลังนี่สิ ถ้าหากผ่านไปไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องรับผลสะท้อนที่เกิดขึ้น อาจจะพิการหรือถึงแก่ชีวิตได้! โดยเฉพาะประตูที่แปด ประตูสื่อ หรือประตูตาย ต้องผ่านให้ได้ภายในการพยายามครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นอาจจะถึงตายได้!”
การฝึกตนไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
“แปดประตูแรกก็ยากขนาดนี้แล้ว สี่ประตูสุดท้ายนั้นว่ากันว่าเป็นคนละระดับกันเลย ไม่มีใครรู้ว่า อู่จง ที่เหนือขึ้นไปจากสี่ประตูสุดท้ายนั้นคือขอบเขตระดับไหนกันแน่…”
ฟางหยวนถอนหายใจเบา ๆ
“ตำนานว่าไว้ มีเส้นทางสู่การฝึกตนหลากหลายเส้นทาง มีอาจารย์ที่มีความสามารถสูงส่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอย่างไม่อาจจะจินตนาการและเหลือเชื่ออีกมากมาย…”
ในตอนนี้เองที่ฟางหยวนได้จุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิต
แม้ว่าเขาเองจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานนัก แต่ความคิดที่ว่า เป็นเซียน ไม่แก่ไม่ตาย มีความสุขและมีอิสระ ก็ไม่เลวเลย
“แล้วข้าเองก็ควรจะต้องมีกำลังปกป้องตนเองด้วย!”
เมื่อทรายอบสมุนไพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทรายละเอียดที่เดิมเป็นสีขาวงดงามก็เปลี่ยนเป็นสีดำ อวลอบไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ฟางหยวนหาผ้าหยาบมาค่อย ๆ ห่อทรายนี้เอาไว้อย่างระมัดระวัง
“เคล็ดกรงเล็บอินทรีไม่รวมการฝึกจิตและกำลังภายใน อย่างมากก็ไปถึงแค่สามประตูทอง ซึ่งเป็นแค่ระดับพื้นฐาน…”
“เคล็ดลมปราณอย่างหยาบที่มีผู้คิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้มีผู้ฝึกมากมาย ผู้คิดค้นเองก็ไม่สามารถผ่านประตูตายได้ …เพราะอย่างนั้นประตูทองที่ห้าก็คงไกลสุดที่ไปได้แล้ว…”
ตามที่บอกในตำราและการคาดเดาของฟางหยวน สามประตูแรกนั้นผู้ฝึกยุทธ์มักจะเก่งพอที่จะผ่านไปได้เป็นส่วนใหญ่
ผู้ที่สามารถผ่านประตูทองที่สี่และห้าได้นั้นมีน้อย และมักจะร่ำรวยหรือมีตำแหน่งทางสังคมสูง
ผู้ที่สามารถผ่านประตูชาง หรือประตูทุกข์ได้นั้นสามารถเรียกได้ว่ามีความสามารถและเป็นอัจฉริยะในสำนัก
“แปดประตูแรกก็ยากขนาดนี้แล้ว อีกสี่ประตูที่เหลือและยังระดับอู่จงที่น่าจะอยู่เหนือขอบเขตเหล่านี้ไปอีก…”
ฟางหยวนถอนหายใจยาว ตระหนักดีว่าที่สำนักกุยหลิงสามารถอยู่เหนือใครในแถบนี้ได้นั้นได้ขึ้นอยู่กับอาวุธ
แค่อู่จงผู้เดียวก็เพียงพอที่จะกดทุกสิ่งไว้แทบเท้า!
“โลกช่างกว้างใหญ่ เทือกเขาชิงหลิงเองก็แค่มุมหนึ่งบนโลกนี้ ข้าต้องฝึกฝนและพัฒนาตัวเองถ้าต้องการออกไปผจญภัยและทำความเข้าใจโลกที่ข้างนอกนั่น…”
แม้ว่าปกติฟางหยวนจะเฉยชาและออกจะขี้เกียจ แต่เมื่อเขาตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาก็สามารถทุ่มเททุกความพยายามเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้
“ณ เวลานี้ ฝ่ามือทรายดำนี่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับข้า!”
ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือวิชาที่สามารถพาเขาผ่านแต่ละระดับไปได้ ที่จะพาเขาไปหาวิชาที่จะเหมาะสมกับเขามากขึ้น
“เฮ้อ..”
มองถุงทรายที่อยู่ตรงหน้าแล้วฟางหยวนก็สูดหายใจลึก “รับฝ่ามือ!”
ปัง!
ฝ่ามือข้างซ้ายของเขาทิ้งรอยเอาไว้บนถุงทราย เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หลังมือเป็นระยะ
“การฝึกวิทยายุทธ์นี่ช่างยากลำบาก ตอนที่ท่านอาจารย์สั่งให้ข้าฝึกเมื่อตอนนั้น ข้าก็มักจะหลีกเลี่ยงเสมอ…”
สิบฝ่ามือ!
ห้าสิบฝ่ามือ!
หนึ่งร้อย!
ห้าร้อย!!
ในที่สุดฟางหยวนก็ถอนมือทั้งคู่กลับมาหลังผ่านไปหนึ่งพันฝ่ามือ มองที่รอยแตกยับบนฝ่ามือตัวเอง ยังรู้สึกปวดแสบอยู่ แต่ก็รู้สึกถึงความเย็นจากสมุนไพรที่ซึมเข้าสู่ฝ่ามือทั้งสอง
“เฮ่ยย.”
ฟางหยวนไม่กล้าละเลยฝ่ามือทั้งสองของตน จุ่มมือทั้งคู่ลงในถังน้ำที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
“เมื่อฝึกวิชาฝ่ามือทรายดำ คนผู้นั้นต้องไม่ฝืนฤทธิ์ของสมุนไพร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการรักษาสุดท้าย ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นทุพพลภาพแล้ว”
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฟางหยวนก็เทน้ำที่เปลี่ยนเป็นสีดำทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยถังใบใหม่ที่มีน้ำสะอาด
“โชคดีที่สมุนไพรนั้นสามารถหาได้ง่ายและมีในหุบเขาของข้าเป็นจำนวนมาก..”
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวที่นั่งหาวหวอดมองดูอยู่ด้านข้างมาเป็นครึ่งวันจู่ ๆ ก็วิ่งเข้ามาแล้วทำจมูกฟุดฟิดใส่น้ำสมุนไพรที่เททิ้ง มันทำท่าเสียดายก่อนจะเดินออกไป
ท่าทางของฮวาหูเตียวทำให้ฟางหยวนนึกถึงท่าทางของมนุษย์
“เอาละ ฮวาหูเตียว อย่าวุ่นวายไป ข้าจะเตรียมเนื้อย่างให้เจ้า!”
ฟางหยวนหัวเราะหึก่อนจะมองที่มือทั้งสองข้าง
หลังจากแช่มือในน้ำแล้ว ความปวดแสบก็ลดลง ฝ่ามือรู้สึกเย็น รอยแตกเริ่มดีขึ้น เศษผิวหนังตายเริ่มลอกหลุด
“ตามที่ในตำราว่าไว้ เมื่อฝ่ามือทรายดำฝึกถึงจุดสุดยอดแล้ว ฝ่ามือผู้ฝึกจะเปลี่ยนเป็นเรียบลื่นและขาวเนียนกว่าฝ่ามือหญิงสาวเสียอีก แต่เมื่อใช้วิชา ฝ่ามือจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า สามารถทลายภูผา และยังสามารถเพิ่มความรุนแรงโดยการเพิ่มการใช้พิษใส่ศัตรูได้ด้วย..”
“จากวันนี้ไป ข้าต้องใช้ 3 ชั่วยามในการฝึกฝ่ามือทรายดำ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะพอให้ผ่านประตูทองแรกได้หรือไม่…”
ฟางหยวนอดรู้สึกจนปัญญาไม่ได้เมื่อมองที่ค่าสถานะของตัวเอง
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่วิทยายุทธ์จะได้รับการรับรองหรือจะได้รับเลือกโดยระบบนี้
“ถ้าข้าสามารถสำเร็จวิชาฝ่ามือทรายดำได้ ก็น่าจะรู้ได้ว่าจะฝ่าประตูแรกได้หรือไม่สินะ”
ฟางหยวนคิด ลึก ๆ ก็รู้สึกดีกับตัวเอง
…
“พี่รอง ทำไมเรายังต้องมาที่นี่อีก?”
ที่ปากทางเข้าหุบเขา โจวเหวินซินและคุณชายรองตระกูลโจวเดินช้า ๆ เข้ามาในหุบเขาด้วยกัน โจวเหวินซินดูกระวนกระวายและหวาดกลัวนิด ๆ
“ในที่สุดก็มีผู้ที่จัดการกับน้องสาวข้าได้..”
คุณชายรองตระกูลโจวยิ้มและเดินนำไป “ก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่แยกแยะถูกผิด ก็ถูกต้องแล้วที่เจ้าต้องมาขออภัยมิใช่หรือ..”
ตระกูลโจวร่ำรวยและมีอำนาจ ของสำคัญอย่างเช่นสมุนไพรจะไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ใดก่อนจะไปถึงปากของผู้เฒ่าตระกูลโจวได้อย่างไร?
แม้แต่ผู้ดูแลหลินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หลังจากทั้งสองฝ่ายมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหาใด เหล่าโจวปฏิเสธที่จะรับยาถ้าต้องรบกวนผู้อื่นมากเกินไป
“ถ้าเช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเราจึงยังต้องมาหาคนผู้นั้นกัน… เขาก็แค่คนธรรมดาที่ไม่รู้วิทยายุทธ์ด้วยซ้ำ…”
โจวเหวินซินยังพูดไม่ทันจบประโยคตอนที่ภาพของฟางหยวนปรากฏขึ้นในใจของนางและทำให้ขาของนางสั่น พูดต่อไม่ได้
“เขาอาจจะไม่รู้วิทยายุทธ์ แต่เขาก็มีความสามารถในด้านอื่น… ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ ยังกล่าวกันว่ามีผู้ฝึกเวทย์และผู้ใช้คาถาที่ผู้ฝึกยุทธ์ผ่านแปดประตูทองยังต้องให้ความเคารพ..”
คุณชายรองตระกูลโจวมีสีหน้านิ่งเฉย “ข้าเห็นแผลของรื่อเจี๋ยติ่งแล้ว มันดูแปลกมากจริง ๆ ตามที่เจ้าบอก แม้ด้วยสายตาของเจ้ายังมองเห็นแค่ประกายสีขาวผ่านไปเท่านั้น นี่เป็นฝีมือระดับนักรบวิญญาณ..”
เมื่อคิดถึงปาฏิหาริย์ที่ฟางหยวนใช้เมื่อวันนั้น โจวเหวินซินก็พูดไม่ออก
“จำไว้ว่าวันนี้ห้ามวู่วามอีก เข้าใจใช่ไหม?”
คุณชายโจวพูดด้วยท่าทางจริงจัง “เพื่อประโยชน์ของท่านพ่อของพวกเรา”
ไม่มีสมุนไพรหรือแร่ใดมีผลต่อสภาพตอนนี้ของเหล่าโจวแล้ว อาจจะมีแค่ปรมาจารย์ระดับวิญญาณในตำนานแล้วที่จะสามารถดึงเขากลับมาได้
“ขะ.. ข้าเข้าใจแล้ว”
โจวเหวินซินได้รับการตามอกตามใจมาแต่วัยเยาว์ แต่ก็เข้าใจความสำคัญของเรื่องคราวนี้ จึงได้แต่ก้มศีรษะลงตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ฟางหยวนสอนบทเรียนแก่นาง เงาร่างนั้นก็ประทับอยู่ในใจของโจวเหวินซิน แม้ไม่มีคำสั่งจากพี่รองของนาง นางก็ไม่กล้าก่อเรื่องเป็นแน่อยู่แล้ว
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เข้ามาถึงในหุบเขา
คุณชายรองตระกูลโจวเดินวนรอบหุบเขาไปรอบหนึ่งก่อนจะตะโกน “ข้าโจวเหวินอู่กับโจวเหวินซินแห่งตระกูลโจวขอพบคุณชายฟาง!”
เสียงดังชัดเจนสะท้อนไปมาทั่วหุบเขา
“หือม์?”
ภายในหุบเขา ฟางหยวนที่กำลังฝึกวิชาอยู่เงยหน้าขึ้นมา “คุณชายรองตระกูลโจว เสียงนี้… คิดไม่ถึงเลยว่าเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน และยังมีระดับสูงด้วย ข้าไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ระดับประตูใด…”
ตอนนี้ฟางหยวนเองยังอยู่หน้าประตูแรก แต่ยังไม่มีพลังมากพอที่จะฝ่าผ่านไป
ฟางหยวนไม่ได้รู้สึกกลัว ถ้าถูกจู่โจม เขาก็มีฮวาหูเตียวซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ถ้าเขาเอาชนะไม่ได้ จากที่ตั้งของหุบเขาและอุโมงค์ลับ เขาก็สามารถหนีได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงที่ด้านหน้ามองเห็นโจวเหวินอู่และโจวเหวินซิน ฟางหยวนก็ทำหน้าไม่พอใจ “เป็นเจ้าทั้งคู่อีกแล้ว มาเพราะเรื่องครั้งก่อนใช่หรือไม่?”
“คุณชายฟางอย่าเข้าใจผิดไป เป็นน้องสาวของข้าหุนหันพลันแล่นลงมือกับท่านก่อน!”
โจวเหวินอู่ดูจริงใจมากและหันหน้าไป “เหวินซิน!”
“ขะ.. ข้ารู้แล้ว”
โจวเหวินซินค่อย ๆ ขยับมาด้านหน้ามองสบตาฟางหยวน ขาเริ่มสั่นอย่างไม่รู้ตัว
ภายใต้การจับตามองของโจวเหวินอู่ นางพูดกระอึกกระอัก “คุณชายฟาง เรื่องก่อนหน้านี้ ข้าขออภัยท่านจากใจจริงและหวังว่าท่านจะใจกว้าง…”