Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 11: ตำราลับ
ผู้ดูแลหลินเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ ไม่นานหลังจากนั้น ถุงใบเล็ก ๆ ก็ถูกส่งมาที่หุบเขา
บางทีอาจจะเพราะเขารู้สึกละอาย หรือบางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าตำรายุทธ์พื้นฐานนั้นไม่น่าจะก่อปัญหาใดนัก ดังนั้นเขาจึงส่งตำราสามเล่มมาในคราวเดียว นั่นทำให้ฟางหยวนแปลกใจ
เขานั่งลงบนก้อนหินสีเขียวมรกตก้อนหนึ่ง มีฮวาหูเตียวอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ พลิกเปิดแต่ละหน้าของตำราอย่างระมัดระวัง
“ฝ่ามือทรายดำ?”
ฟางหยวนเปิดตำราแล้วกวาดตาทั่วเล่มอย่างรวดเร็ว เขาสังเกตว่า แม้ว่าตำราเล่มนี้จะดูเก่า ตัวอักษรที่เขียนไว้ก็ดูเต็มไปด้วยพลัง และบางส่วนก็เลือนไปบ้าง ที่มุมของแต่ละหน้ามีรอยขาดรุ่ยซึ่งบอกให้รู้ว่าตำรานี้ถูกส่งต่อกันลงมาหลายชั่วคนแล้ว ตำรานี้นับได้ว่าเป็นของเก่า
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าเขาจะส่งเล่มจริงมาให้ข้า ดูเหมือนว่าผู้ดูแลหลินจะไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงข้า…”
ฟางหยวนพยักหน้า
ตำรายุทธ์เช่นนี้จำต้องมีความถูกต้องมากเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะหากมีความผิดเพี้ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดจากการคัดลอกก็อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นตำราเล่มจริงย่อมดีที่สุด
เพียงแค่ถือตำราไว้ในมือ ฟางหยวนก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเพียรพยายามของผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมรวมอยู่ในตำรานี้
“อืม.. แม้ว่าตำรายุทธ์พื้นฐานที่สุดที่แพร่หลายไปทั่วก็ยังกล่าวได้ว่าต่างมีจุดเด่นของตนเอง!”
ตำราอีกสองเล่มก็มีสภาพเช่นเดียวกันกับตำราเล่มนี้ และนี่ทำให้ฟางหยวนรู้ลึกละอายนิด ๆ เขาเรียกร้องตำราที่เป็นที่รู้จักทั่วไปเพียงเพราะว่ามันตรวจสอบได้ง่ายที่สุดเท่านั้นเอง
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่ฝึกวิทยายุทธ์เพียงเพราะมีบางคนหยิบยื่นตำรายุทธ์ให้ เพราะการเรียนวิทยายุทธ์เป็นหนึ่งในหนทางที่ง่ายที่สุดที่คนผู้หนึ่งจะสูญเสียการควบคุมจิตสำนึกของตน
“ดูเหมือนว่า…ข้าจะระแวงผู้อื่นเกินไป…”
ฟางหยวนถอนหายใจยาว “อย่างไรข้ายังมีทักษะทางการแพทย์ ต่อให้ข้าเพียงแต่ศึกษาไม่เคยปฏิบัติ ข้าก็ยังสามารถระบุสาเหตุของโรคได้ เมื่อเทียบกับวิชากำลังภายใน วิชากำลังภายนอกนั้นดีกว่า มันค่อนข้างยากที่จะไปผิดทาง ต่อให้มีกับดักอยู่ด้านใน…”
แม้ว่านี่จะเป็นความรู้จากเรื่องอื่น แต่มันก็สามารถปรับมาใช้พิสูจน์ข้อสงสัยที่คล้ายกันได้
เขาวางตำราเล่มนั้นลง แล้วเปิดอีกสองเล่มที่เหลือออกดู
“เคล็ดกรงเล็บอินทรี? ดูเหมือนว่าคนจากสำนักกุยหลิงคนนั้น อินทรีหน้าเหล็ก ใช้เคล็ดวิชานี้ เขาน่าจะมีเล่มที่เป็นตำราลับของเคล็ดวิชานี้ และนั่นน่าจะแข็งแกร่งกว่าตำราฉบับที่เผยแพร่ทั่วไปเล่มนี้…”
นอกจากตำราทั้งสามเล่ม ที่สองเล่มเป็นวิทยายุทธ์ภายนอก และอีกเล่มสุดท้ายเป็นเคล็ดวิชาที่ไร้ชื่อเรียก มันสอนวิธีการฝึกฝนร่างกาย เพิ่มความทนทานต่อการถูกทุบตี และเคล็ดลมปราณอีกเล็กน้อยด้วย ตามที่ผู้เขียนบอก เมื่อฝึกสำเร็จ เพียงกลั้นใจเฮือกหนึ่งก็สามารถรับการโจมตีจากอาวุธธรรมดาได้
ในกระเป๋า ยังมีกระดาษชิ้นเล็ก ๆ อีกชิ้น ที่ด้านบนนั้นระบุที่มาของตำราทั้งสาม
“ฝ่ามือทรายดำ เป็นตำรายุทธ์ฉบับที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดในเขตมณฑลชิงเหอ”
“เคล็ดกงเล็บอินทรีจากชาวหมู่บ้านเมิ่งหยวน เป็นวิชายุทธ์พื้นฐานที่สุด แต่ผู้ฝึกจำต้องมีวิชากำลังภายในแบบพิเศษเพื่อที่จะฝึกเคล็ดนี้ถึงระดับสูงสุดได้”
“เล่มสุดท้ายคือชุดเคล็ดลมปราณระดับพื้นฐานที่สุด ไม่สิ มันเป็นแค่เคล็ดลมปราณอะไรสักอย่างและวิธีรับการทุบตีจากศัตรู และยังไม่มีชื่อเรียก ก็เรียกมันว่า ‘เคล็ดลมปราณอย่างหยาบ..’”
…
ฟางหยวนตระหนักว่าตำราทั้งสามนี้เป็นที่แพร่หลายทั่วไปที่สุดจริง ๆ นั่นแหละ ไม่มีเล่มไหนที่จะนับได้ว่าล้ำค่า
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิชายุทธ์พื้นฐานเพียงไร มันก็ถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ความคิดคำนวณมากมายถูกใส่ลงไป คนทั่วไปคนไหน ๆ ที่สามารถฝึกวิชายุทธ์ใดก็ได้ ก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นมันก็ยังคู่ควรที่จะเรียกว่าตำรายุทธ์
ใช้โสมแดงอายุ 60 ปีแลกตำราเหล่านี้มาถือว่าเป็นการค้าที่ไม่ขาดทุน
“เมื่อคิดถึงว่าตำราพวกนี้มีสภาพดีถึงเพียงนี้… ผู้ดูแลหลินก็ยังคงมีความจริงใจอยู่”
ฟางหยวนถอนหายใจและเริ่มศึกษาตำราแต่ละเล่มโดยละเอียด
โดยไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนวัน พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง เหลือเพียงแค่ปลายแสงที่มองเห็นได้ที่ขอบฟ้า
“กี๊!?”
“กิกี๊?”
ฮวาหูเตียวเห็นฟางหยวนจรดจ่อกับการศึกษาตำราพวกนั้นก็สงสัย มันไม่เข้าใจสักตัวอักษรที่เขียนไว้บนตำราและดังนั้นมันจึงยอมแพ้ที่จะพยายามอ่านต่ออีก ฮวาหูเตียววิ่งกลับเข้าไปในป่า และไม่นาน ก็ลากเอากระต่ายป่าตัวใหญ่กลับมาแล้ววางไว้ตรงหน้าฟางหยวน
“ฮ่าฮ่า… เจ้านี่รู้แต่เรื่องกินจริง ๆ”
ฟางหยวนปิดตำราเล่มสุดท้าย เคล็ดลมปราณอย่างหยาบ ลง มองไปที่ฮวาหูเตียวแล้วหัวเราะออกมา
ท้องฟ้าเริ่มมืด
ที่ถัดจากกองไฟ ฟางหยวนถลกหนังกระต่าย ปรุงรส แล้วย่าง เขาฉีกขากระต่ายย่างข้างหนึ่งออกมาแล้วโยนส่วนที่เหลือให้ฮวาหูเตียวที่อดรนทนไม่ไหวแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เขาได้อ่านจากในตำรา
‘โลกของวิทยายุทธ์ดูเหมือนว่าจะมีระดับสูงกว่าโลกธรรมดา… ฝ่ามือทรายดำและเคล็ดกรงเล็บอินทรีนั้นเป็นวิชากำลังภายนอกเพียงอย่างเดียว สามารถใช้ยาช่วยในการฝึกได้ กลับกัน การฝึกกำลังภายในนั้นต้องมีเคล็ดวิชาและรูปแบบลมปราณที่เหมาะสม หรือกระทั่งการเพ่งจิต… นอกจากชนิดของวิชายุทธ์แล้ว ยังมีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ซึ่งก็คือ 12 ประตูทอง’
คำ ‘12 ประตูทอง’ นี้ถูกกล่าวถึงซ้ำ ๆ ในตำราทั้งสามเล่ม ฟางหยวนทุ่มเทใคร่ครวญจุดนี้ และที่สุดก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร
“ตามหลักวิทยายุทธ์ ร่างกายของมนุษย์เรามีความสามารถที่จะพัฒนาได้ไม่จำกัด แต่ว่า ยังมีกำแพงทางจิตมากมายที่จำกัดการใช้พลังขั้นสูงสุด ดังนั้น จุดประสงค์ของการฝึกวิทยายุทธ์ก็คือเรียนรู้วิธีการทำลายกำแพงเหล่านั้นเพื่อปลดปล่อยความสามารถของคนผู้นั้นออกมา!”
ตามที่อธิบายไว้ในตำราเหล่านี้ ทั้งหมดมี 12 กำแพง นั่นเป็นเหตุให้พวกมันถูกเรียกว่า 12 ประตูทอง
ทุกครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทำลายกำแพงทะลุผ่านประตูเหล่านี้ได้ประตูหนึ่ง ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นก็จะเพิ่มขึ้น ยิ่งทำลายกำแพงผ่านประตูได้มากขึ้น คนผู้นั้นก็จะน่าเกรงขามมากขึ้น
หลังจากผ่านทั้ง 12 ประตูได้ คนผู้หนึ่งก็จะบรรลุถึงระดับ ‘อู่จง’!
แม้ภายในสำนักกุยหลิงเอง ก็มียังแค่คนเช่นนั้นอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“กำแพงทั้ง 12 ในร่างกายของมนุษย์… ดูเหมือนกับ 12 จุดชีพจร 8 เส้นเลือดในวิชาแพทย์เลย หรือนั่นหมายถึงว่าการฝึกวิทยายุทธ์ก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของจุดชีพจรในร่างกายมนุษย์ใช่หรือไม่?”
“กำแพงทั้ง 12 แทน 12 ระดับ และเพื่อที่จะบรรลุถึงระดับอู่จง ทุก ๆ กำแพงจะต้องถูกทลายลง! ข้านึกไม่ออกเลยว่าเหลยเยว่จะเก่งขนาดไหน!”
หลังจากเข้าใจถึงความยากในการฝึกวิทยายุทธ์ ฟางหยวนก็เริ่มสงสัย
ความประทับใจของเขาต่อวิชายุทธ์ของเหลยเยว่นั้นไม่สูงถึงขนาดนั้น
“ในตอนที่ข้ายังไม่เข้าใจวิทยายุทธ์นัก แต่ท่านอาจารย์ควรจะรู้ การหมั้นหมายนั่นรีบเร่งเกินไปสักนิดจริง ๆ…”
เมื่อเขาคิดถึงอาจารย์เวิ่นซิน ฟางหยวนก็ถอนหายใจ
อาจารย์เวิ่นซินปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี และทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองทั้งนั้น ความเสียดายเดียวก็คือท่านด่วนจากไปเร็วเกินไป
ถ้าท่านยังอยู่แล้วเห็นผู้ดูแลหลินทำเช่นนี้ ท่านจะทำอย่างไรกันนะ?
หลังจากคิดดูแล้ว กระต่ายย่างในปากเขาก็พลันไร้รสชาติ
ฟางหยวนยืนขึ้น เก็บกวาดสถานที่ และเตรียมชาภายใต้แสงจันทร์
ขณะทำพิธีชงชา ฟางหยวนก็ระลึกถึงอาจารย์เวิ่นซิน และนี่เป็นวิถีของเขาที่จะเก็บอาจารย์ไว้ในความทรงจำ
“ซี่!?”
ฮวาหูเตียวดูจะเข้าใจฟางหยวน และในเวลาเดียวกันก็เหมือนว่ามันรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกของฟางหยวน และจึงไม่ดูร่าเริงเหมือนครั้งก่อน ๆ
ในหุบเขาลึก ไม่มีทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและพระอาทิตย์ก็มาเยือน
ฟางหยวนตื่นเช้า และเช่นเคย ดื่มด่ำกับชายามเช้าแล้วเข้าไปทำงานในไร่
ในแปลงปลูกข้าวหยกแดง ต้นข้าวโตสูงถึงระดับเอวแล้ว เริ่มติดเมล็ดที่ปลายยอดของต้นทำให้ลำต้นเริ่มโค้งลง
ฟางหยวนละลายปุ๋ยพืชวิญญาณในน้ำพุแล้วรดให้พืช กลิ่นอ่อน ๆ อวลในอากาศ
“กิกี๊!”
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวกระโดดไปมารอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
แม้ว่าข้าวหยกแดงต้นเล็ก ๆ นี่จะไม่ดึงดูดความสนใจของมัน แต่ข้าวหยกแดงที่พร้อมเก็บเกี่ยวทำให้มันตื่นเต้น
“จำไว้นะ ห้ามขโมย!”
ในเรื่องนี้ ฟางหยวนเตือนมันอย่างเข้มงวดและชงชาแก้วใหญ่ให้มันดื่มมาก่อนเพื่อให้มันระงับใจไว้
“ก่อนหน้านี้ พวกเราไม่เคยปลูกพืชเยอะเพียงนี้ ดังนั้นมันคงจะดีถ้าเราสามารถเก็บเกี่ยวได้มากกว่า 10 ชั่ง แต่หลังจากนั้น พวกเราสามารถปลูกให้มากขึ้นอีก และสามารถขยายแปลงออกไป…”
ฟางหยวนตื่นเต้น
ความเร็วในการติดผลและเติบโตของข้าวหยกแดงนั้นเร็วกว่าที่คาดเอาไว้
น่าจะเป็นเพราะปุ๋ยพืชวิญญาณที่ฮวาหูเตียวนำมา แล้วก็ [การดูแลพืช] ของเขาด้วย ทำให้การเติบโตเร็วขึ้น
“ไม่ต้องห่วง ฮวาหูเตียว เมื่อพวกเราเก็บเกี่ยวแล้ว ข้าจะให้เจ้ากินได้เต็มที่เลย อย่างไรเสียก็ต้องนับว่าเป็นเพราะเจ้าพบปุ๋ยพืชวิญญาณ!”
ฟางหยวนลูบหัวฮวาหูเตียว พลางปลอบมัน “แล้วก็ ชาวิญญาณ มันพร้อมให้เก็บเกี่ยวเป็นครั้งที่สองแล้ว…”
เขายิ้มและรู้สึกมีความสุขกับผลผลิตมากมายของตัวเอง
ทุกวันขณะเดินตรวจไร่ไปมา ฟางหยวนจะหยุดที่กระท่อมแล้วพลิกตำรายุทธ์ที่วางไว้บนโต๊ะ
“ข้าท่องจำตำราทั้งสามได้แล้ว แล้วก็เปรียบเทียบกับ [การแพทย์] ของข้า และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ… ข้าควรจะเริ่มฝึกได้แล้วหรือไม่?”
ฟางหยวนจินตนาการเห็นตัวเองพยายามออกท่าทาง แต่ก็แข็งใจส่ายหน้ากับตัวเอง “ไม่มีทาง! มันยังไม่ปลอดภัย! ข้าเป็นคนขี้ขลาด! แผนเดียวที่มีก็คือเข้าเมือง จ่ายเงินเสียหน่อย ซื้อเอาตำราพวกนี้เล่มอื่น ๆ มาเทียบดู หรือส่งมันให้ใครสักคนลองฝึกดูก่อน…”
ตำรายุทธ์ไม่ใช่ของธรรมดา และเพราะอย่างนั้นฟางหยวนจึงไม่มีความมั่นใจที่จะฝึก
“เจ้าโจรน้อยอยู่ด้านในนั่น!”
“จับมันไว้ อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”
“เร็วเข้า!”
…
ทันใดนั้น มีเสียงดังเอะอะมาจากด้านนอก ทำให้ฟางหยวนงุนงง
“อะไรกันนั่น?”
เขาเปิดประตูออกแล้วเห็นผู้ชายกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาในบ้านของเขาอย่างเกรี้ยวกราด โจวเหวินซินยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนท่าทางภาคภูมิ
“เจ้าโจรน้อย!”
ความเกลียดชังทั้งของเดิมและของใหม่ที่โจวเหวินซินมีต่อฟางหยวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อนางมองเห็นเขา เสียงของนางเปลี่ยนเป็นแหลมขึ้นอีก “เจ้าดูหมิ่นข้า และตอนนี้ยังให้ยาปลอมแก่บิดาข้า! วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”
เพียงการโบกมือครั้งเดียวของนาง ผู้ชายหลายคนก็พุ่งเข้าไปหาฟางหยวน ล้อมเขาไว้