Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1804 ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1804 ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่
ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เข้าสู่โลกผนึกเก้ากระถางแห่งนี้ ใครบ้างไม่ระมัดระวังสอดส่องทุกย่างก้าว กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะฝ่าฝืนกระบวนผนึก นำพาเคราะห์ทำลายล้างมาหาตน
ทว่าคนผู้นั้นกลับอวดดีและโอหังถึงเพียงนี้ ไม่เห็นกระบวนผนึกในสายตา ทะลวงเข้าไปโดยตรง ทำให้หลายคนต่างโกรธยิ่งนัก
“ผิดปกติ!”
และตอนที่เห็นรุ้งเทพที่แปลงจากร่างของหลินสวินไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ เคลื่อนผ่านกระบวนผนึกลายมรรคแน่นขนัดอย่างง่ายดาย สีหน้าของหลายคนก็เปลี่ยนไปแล้ว
“น่าชังนัก นี่เป็นเจ้าสารเลวคนไหน ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ”
ชื่อหลิงจื่อสีหน้าอึมครึม ร้อนใจดั่งไฟลน “เร็ว ทลายผนึกเต็มกำลัง แม้ต้องเสียสมบัติบางส่วนก็ต้องพุ่งเข้าไปให้เร็วที่สุด!”
เขาเริ่มเร่งปฐมาจารย์สลักลายมรรคข้างกาย ในเวลาเดียวกันก็เริ่มใช้พลังยุทธ์ทลายผนึกพร้อมกับราชันอริยะที่ติดตามเคลื่อนไหวมากับตน
เป็นที่รู้กันดีว่าวาสนาใหญ่ซึ่งอยู่กลางเทือกเขาเก้ากระถาง ตั้งอยู่ในพื้นที่แกนหลักของโลกที่ปกคลุมด้วยพลังผนึกนี้
ชื่อหลิงจื่อจะยอมให้คนอื่นชิงไปก่อนได้อย่างไร!
“เปลี่ยนแผน มุ่งหน้าเต็มกำลัง!”
“เร็ว!”
“เอาหนอนวิญญาณบินที่เลี้ยงไว้ออกมาให้หมด ใช้มันทำลายผนึก!”
ขณะเดียวกันในพื้นที่ที่แตกต่างกันไปของโลกซึ่งปกคลุมด้วยพลังผนึกน่ากลัวนี้ บุคคลพลิกฟ้าอย่างสุ่ยปี้อวิ๋น ลี่โยว เลี่ยตงจั้น เซียวปู้ตู้ ต่างตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ เริ่มลงมือเต็มกำลัง
บางคนเรียกหุ่นสัตว์หลากหลายรูปแบบ มากมายแน่นขนัดออกมา ใช้ความได้เปรียบในด้านจำนวนหุ่นทำลายผนึก มุ่งหน้าเต็มกำลัง
บางคนเรียกพืชพรรณแปลกประหลาดออกมา พลันเกิดเป็นเถาวัลย์กิ่งก้านมากมายประหนึ่งมือที่นับไม่ถ้วน พุ่งไปยังพื้นที่แตกต่างกันของกระบวนผนึก
บางคนเรียกหนอนวิญญาณที่เลี้ยงอยู่ออกมา…
บางคนควบคุมวิญญาณอาฆาตวีรบุรุษบางส่วนเปิดทาง…
วิธีสารพัดล้วนถูกสำแดงออกมา
เห็นได้ชัดว่าบุคคลชั้นยอดที่มาจากเก้าโลกใหญ่ต่างเตรียมตัวมาก่อน เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไว้แล้ว
ใครก็ไม่สามารถทิ้งวาสนาครั้งนี้ได้ง่ายๆ หรือพูดอีกอย่าง พวกเขามั่นใจในการเคลื่อนไหวครั้งนี้!
“เร็ว ต้องเร็วเท่านั้น!”
ในโลกผนึกกว้างใหญ่นี้ การประลองไร้รูปนี้ปะทุขึ้นอย่างสิ้นเชิง
และในบริเวณแกนหลักของโลกที่ปกคลุมด้วยพลังผนึกนี้ ตำหนักเทพที่สูงตระหง่านหลังหนึ่งตั้งอยู่ สูงถึงร้อยจั้ง สร้างจากสำริดแรกกำเนิดทั้งหลัง เรืองรององอาจ
ตรงหน้าตำหนักเทพ เงาร่างสง่างามร่างหนึ่งเอามือไพล่หลัง ผมดำพลิ้วไหว กำลังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจ้องมองตำหนักเทพสำริดเก่าแก่หลังนี้
หลินสวินไปถึงคนแรก
ประตูใหญ่ตำหนักเทพปิดสนิท บนนั้นสลักสรรพสัตว์ สุริยันจันทราและดารา แม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่งไหลลงมาจากฟ้า ม้วนตัวอยู่กลางภูเขาแม่น้ำและสรรพสิ่ง…
เงาร่างกำยำสายหนึ่งยืนหันหลังให้ทุกคนอยู่บนแม่น้ำนั่น หลอมเก้ากระถาง กำราบไว้ในเก้าทิศทางของโลกนี้…
หรือนี่คือ ‘จักรพรรดิอวี่ ’ บรรพบุรุษต้นตระกูลอวี่
หลินสวินเคยได้ยินอวี่ชิงหยางพูดว่า ประวัติศาสตร์ของตระกูลอวี่สามารถเท้าความไปถึงต้นสมัยบรรพกาล ซึ่งก็คือหลังสิ้นสุดสมัยดึกดำบรรพ์
ดังนั้นตระกูลอวี่นับว่าเป็น ‘เผ่าจักรพรรดิบรรพกาล’ ที่สมชื่อ
จักรพรรดิอวี่ผู้นี้ ย่อมต้องเป็นบุคคลชั้นเลิศคนหนึ่งซึ่งแจ้งมรรคในสมัยต้นบรรพกาล
เขาเคยเก็บพลังกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิดของเก้าโลกใหญ่ นำมาสร้างศาสตร์จักรพรรดิเก้ากระถางในแดนลับที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำเก้าแคว้น
ตรงหน้า บนประตูตำหนักเทพสำริดนี้ปรากฏภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้หลินสวินมีความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
ไม่นานหลินสวินก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
เงาร่างของอวี่อวิ๋นเหอ อวี่อวิ๋นเฟิง อวี่อวิ๋นหลงปรากฏในที่นั้น ตอนที่เห็นตำหนักเทพสำริดเก่าแก่แห่งนี้ ทั้งสามต่างเผยสีหน้ายากจะเชื่อ
ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่!
นี่คือสถานที่แห่งวาสนาที่บรรพบุรุษของพวกเขาทิ้งเอาไว้!
เพียงแต่เพิ่งผ่านไปไม่นาน หลินสวินกลับมาถึงที่นี่ได้ไวขนาดนี้เชียวหรือ
หลินสวินกล่าว “ข้าใช้จิตรับรู้สัมผัสแล้ว บนประตูตำหนักเทพนี้สั่งสมความลึกลับ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์บางส่วนของตระกูลอวี่ของพวกเจ้า พวกเจ้าลองหยั่งรู้ดู”
“พี่หลินเดาไม่ผิด ในสายตาของคนนอก วาสนาในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สำหรับทายาทตระกูลอวี่อย่างพวกเรา จะสามารถหยั่งรู้ความลับ ‘แผนภาพเก้ากระถางจักรพรรดิอวี่ป้องกันน้ำ’ ที่บรรพบุรุษผู้สร้างตระกูลทิ้งไว้ในประตูบานนี้ได้หรือไม่ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
อวี่อวิ๋นเหอเผยความลับออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่ทำให้ในใจอวี่อวิ๋นเฟิง อวี่อวิ๋นหลงต่างกังวลขึ้นมา กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าหลินสวินจะหวั่นไหวกับสิ่งนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่อาจจัดการได้ง่ายๆ
หลินสวินเหลือบมองทั้งสองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากข้าจะแย่ง พวกเจ้าขวางได้หรือ”
ทั้งสองอึดอัดขึ้นมา อักอ่วนไม่หยุด
“รีบหยั่งรู้เถอะ อย่าเสียเวลา”
หลินสวินไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพียงหมุนตัวหันหลังให้ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ มองไปยังโลกที่ปกคลุมด้วยพลังผนึกไกลๆ
พวกอวี่อวิ๋นเหอเองก็รู้ว่าเวลากระชั้นชิด ต่างโคจรมรดกตระกูลสงบใจหยั่งรู้
“หืม?”
ไม่นานในกระบวนผนึกที่อยู่ห่างออกไปเกิดคลื่นระลอกหนึ่ง เงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ผู้นำคือพวกสุ่ยปี้อวิ๋นซึ่งมาจากโลกใหญ่วารีเร้น
ยามเห็นหลินสวินรวมถึงพวกอวี่อวิ๋นเหอที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สุ่ยปี้อวิ๋นขมวดคิ้วงาม พูดอย่างประหลาดใจ “เงาร่างที่เปลี่ยนเป็นรุ้งเทพพุ่งปราดเข้ามานั่น… คือเจ้าหรือ”
นางจำหลินสวินได้อย่างลึกซึ้ง
นอกแม่น้ำเก้าแคว้น หลินสวินเคยใช้มือเดียวกำราบจางไป๋หรง และประชันกับราชันอริยะคนหนึ่งโดยไม่เสียเปรียบ ทำให้นางสะท้านสะเทือนนัก
เพียงแต่สุ่ยปี้อวิ๋นกลับคิดไม่ถึง ว่าเงาร่างที่พุ่งทะลวงอากาศ บินทะยานในกระบวนผนึกค่ายกลใหญ่เป็นชั้นๆ ราวกับหักทำลายไม้ผุนั่น จะเป็นหลินสวิน
นี่เหนือความคาดหมายของนางอย่างสิ้นเชิง
หลินสวินเงียบมองพวกเขาคราหนึ่ง ราชันอริยะสองคน ปฐมาจารย์สลักลายมรรคหนึ่งคน และมกุฎมหาอริยะสี่คนรวมสุ่ยปี้อวิ๋น
ตามความเข้าใจตื้นเขินที่หลินสวินมีต่อโลกต้าอวี่ ขบวนนี้เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถกวาดล้างขุมอำนาจแห่งหนึ่งได้แล้ว
สุ่ยปี้อวิ๋นเอ่ยปากเรียบๆ “ทุกท่าน ไม่ว่าพวกเจ้าจะมาก่อนหรือไม่ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ถอยไปโดยดี”
ในคำพูดแฝงความข่มขู่อยู่รางๆ
พวกอวี่อวิ๋นเหอเครียดขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ดันมาถึงไวขนาดนี้ สายตาพลันมองไปยังหลินสวินทันที
หลินสวินพูดโดยไม่หันหลังด้วยซ้ำ “มีข้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องอื่น พวกเจ้าตั้งใจหยั่งรู้ก็พอแล้ว”
“นี่คือพูดดีๆ ไม่ฟังใช่ไหม”
ดวงตาคู่ใสของสุ่ยปี้อวิ๋นเย็นเยียบ
นางในฐานะคนที่ ‘ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน’ ของโลกใหญ่วารีเร้น ยามเดินเหินในโลก แม้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเก่าแก่ยังต้องให้เกียรตินางสามส่วน
ท่าทีของหลินสวินในตอนนี้ทำให้นางไม่ชอบใจมาก หรือเจ้าหมอนี่ดูไม่ออก ว่าเขาคนเดียวไม่มีทางขวางพวกเขาทั้งกลุ่มได้
“คุณหนู เวลากระชั้นชิด ควรลงมือได้แล้ว”
ชายชราผมเงินที่อยู่ข้างๆ สุ่ยปี้อวิ๋นพูดเสียงแหลมเล็ก ในแววตาเผยไอสังหารอย่างไม่มีปกปิด
ทว่าตอนนี้เอง เสียงรุนแรงระลอกหนึ่งดังขึ้นในกระบวนผนึกค่ายกลใหญ่ที่อยู่ไกลๆ อีกครั้ง ที่ตามมาติดๆ ก็คือคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
เงาร่างของผู้นำล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงแพรวพราว ร่างสูงโปร่ง ปีกคู่หนึ่งกะพริบระยับ แผ่ลายมรรคอัคคีออกมาปรอยๆ
ชื่อหลิงจื่อ!
ขบวนของเขาก็มาแล้ว
ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างสะบักสะบอมไม่มากก็น้อย เห็นได้ชัดว่าตอนทลายผนึกเจอความยากลำบากไปไม่น้อย
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ทำลายอานุภาพของพวกเขาไป
“ถือว่าเจ้าโชคดี”
สุ่ยปี้อวิ๋นมองหลินสวินด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง ไอสังหารในใจเกิดการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ พุ่งเป้าไปยังพวกชื่อหลิงจื่อ
เมื่อเทียบกับพวกหลินสวิน กลุ่มของชื่อหลิงจื่อต่างหากที่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่นางให้ความสำคัญ
แม้มาจากคนละโลก แต่สุ่ยปี้อวิ๋นเองก็เคยได้ยินว่าชื่อหลิงจื่อมีพลังมากแต่กำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น ถูกมองเป็นอันดับหนึ่งในหมู่มกุฎมหาอริยะของโลกใหญ่ขุมอัคคี
สวบ!
เงากระบี่ที่ราวกับวารีเร้นปรากฏด้านหลังสุ่ยปี้อวิ๋น ปลายกระบี่ซัดสาด ประกายคมคลุมเครือ ชี้ไปที่ชื่อหลิงจื่อที่เพิ่งมาถึง
“หึ! ในโลกภายนอกข้าคร้านจะประลองกับเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่ากลัวเจ้า!”
ชื่อหลิงจื่อนัยน์ตาหดรัด เขาเองก็สังเกตเห็นพวกหลินสวินแล้ว แต่มองข้ามไปตรงๆ เห็นได้ชัดว่ามีความคิดเช่นเดียวกับสุ่ยปี้อวิ๋น ไม่คิดว่าพวกหลินสวินจะเป็นภัยคุกคาม
ตูม!
เขายกมือขึ้น ทวนศึกเปลวเพลิงเล่มหนึ่งปรากฏ หมอกอัคคีอบอวล กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจ
ในเวลาเดียวกันผู้แข็งแกร่งข้างกายชื่อหลิงจื่อและผู้แข็งแกร่งข้างกายสุ่ยปี้อวิ๋นต่างเตรียมพร้อมลงมือ ไม่ปกปิดจิตต่อสู้ของตน
สถานการณ์ตึงเครียด!
หลินสวินรวมถึงพวกอวี่อวิ๋นเหอที่อยู่ด้านหลังกลับไร้คนเอ่ยถึง…
ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ปะทุขึ้น เพราะในกระบวนผนึกไกลออกไปเกิดคลื่นรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มที่เงาร่างกำยำโดดเด่นคนหนึ่ง กล้ามเนื้อทั่วตัวขยาย ราวกับหล่อขึ้นจากน้ำสำริดอย่างไรอย่างนั้น แผ่พลังน่ากลัว เป็นลี่โยวผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดแห่งโลกใหญ่คมทอง
ชั่วพริบตาชื่อหลิงจื่อและสุ่ยปี้อวิ๋นต่างหรี่ตา ข่มกลั้นความอยากลงมือ สถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่การเผชิญหน้าของสองกลุ่มแล้ว แต่เป็นสามกลุ่ม
แต่ไม่นานสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เลี่ยตงจั้นแห่งโลกใหญ่เขาเซียนเขียว
เซียวปู้ตู้แห่งโลกใหญ่คลื่นขาว
เหล่าบุคคลชั้นยอดที่มาจากคนละโลกพาผู้ติดตามข้างกายพุ่งมา ชั่วขณะเดียวหน้าตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่แห่งนี้ก็มีผู้กล้ารวมตัวกัน วีรบุรุษเรียงราย สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
“ดูท่าเจ้ากับข้าจะยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ตอนนี้”
ชื่อหลิงจื่อสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วเก็บทวนศึกเปลวเพลิงลง
สุ่ยปี้อวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา เงากระบี่เย็นเยียบด้านหลังหายไปแล้ว
“คนเมื่อครู่นั่นก็คือเจ้าหรือ”
แววตาลี่โยวดุจสายฟ้า มองไปยังหลินสวินที่อยู่ไกลๆ น่ากลัวอย่างที่สุด
คนอื่นๆ ในบริเวณนั้นมองไปเช่นกัน สีหน้าไม่เป็นมิตร
ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้าสู่โลกที่ปกคลุมด้วยพลังผนึกจากเส้นทางต่างๆ กัน การแข่งขันระหว่างกันยังไม่ถึงกับดุเดือด ทุกสิ่งล้วนมีระเบียบ
แต่การปรากฏตัวของหลินสวินก็เหมือนโยนหินก้อนหนึ่งลงไปในน้ำนิ่ง ปั่นป่วนแผนการทั้งหมดของพวกเขาอย่างที่สุด
อีกทั้งเพื่อให้มาถึงที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด ระหว่างทางพวกเขาล้วนพบเจอความสูญเสียไม่มากก็น้อย สมบัติของผู้แข็งแกร่งบางส่วนถูกทำลาย ผู้แข็งแกร่งบางคนได้รับบาดเจ็บ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายผู้แข็งแกร่งบางส่วนยิ่งปรากฏสถานการณ์สิ้นชีพ!
นี่ทำให้ในใจพวกเขาล้วนโกรธเคืองอย่างที่สุด ไม่พอใจอย่างมาก เดิมทีหากไม่มีคนก่อกวน พวกเขาจะพบเจอการสูญเสียได้อย่างไร
ชั่วขณะเดียวบรรยากาศพลันกดดัน เหล่าผู้กล้าในที่นั้นต่างพุ่งเป้าไปที่หลินสวินรางๆ
ตอนนี้หลินสวินยังคงยืนเงียบอยู่ราวกับไม่ใส่ใจ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักนิด ไร้คลื่นลมใดๆ
ทว่าใครก็ดูออก ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นเพื่อคุ้มครองพวกอวี่อวิ๋นเหอ
“ทำไมไม่พูด เมื่อครู่นี้เจ้าพุ่งชนในกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ องอาจมากมิใช่หรือ” ลี่โยวเสียงเย็นเยียบ
เพียงแต่หลินสวินที่เผชิญกับการซักไซ้บีบคั้นของเขากลับไม่ได้สนใจ เพียงยืนอยู่อย่างนั้น ท่าทางเหมือนไม่เห็นทุกคนในสายตา
……………………..