ตอนที่ 13 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (1)
“เป็นเกียรติที่ได้พบคุณครับ ผมชอน บยองกุก ผมเป็นพ่อค้างานศิลปะ”
แฮจินรู้ว่าบยองกุกไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นโจรปล้นสุสาน แต่พ่อค้างานศิลปะนี่มัน… เขาถึงกลับต้องกลั้นหัวเราะ
“พ่อค้างานศิลปะ? งั้นเธอขายวัตถุโบราณประเภทไหนบ้าง?”
บยองกุกอายุ50กว่าแล้ว แต่ซองจุนพูดกับเขาราวกับว่าตัวเขาเป็นหัวหน้า
“ผมขายพวกเครื่องเคลือบของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเป็นหลัก นอกจากนี้ผมก็ยังขายเครื่องปั้นดินเผาและศิลาดลสีขาวของเกาหลีอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วผมจะขายวัตถุโบราณของทางตะวันออกมากกว่าวัตถุโบราณของตะวันตก”
“หืมม… ฉันเคยได้ยินเรื่องของพ่อค้างานศิลปะที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในประเทศนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อของเธอ”
เขาเป็นผู้นำของฮวาจินซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีดังนั้นเขาจึงมีเสน่ห์มาก คำพูดพวกนั้นอาจฟังดูหยาบคาย แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเขามันจึงฟังดูเหมือนบยองกุกจำเป็นต้องแนะนำตัวเอง
แฮจินกังวลว่าบยองกุกอาจจะท้อแท้ แต่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดบยองกุกกลับยิ้มและพูดต่อ
“สมาชิกสภาคิม มันบกที่ได้รับเลือกติดต่อกัน 5 สมัยเคยกล่าวถึงเครื่องลายครามสีขาวที่มีคนมอบให้เขาเมื่อปีที่แล้วอย่างภาคภูมิใจ จริงๆเครื่องลายครามที่ว่าเคยอยู่ในมือของผม น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมขายมันให้กับใคร แต่ผมเดาว่าคุณลิมน่าจะสามารถหาคำตอบได้”
ถ้ามานึกดูให้ดี ตัวบยองกุกเขาเคยจัดการกับคนที่มีอำนาจมากที่สุดในจีนรวมถึงแก๊งอย่างไทรแอดด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะไม่กลัวคนอย่างซองจุน
“ฉันจำมันได้ มันเป็นเครื่องลายครามที่ขาวราวกับหิมะ”
“ใช่ครับคุณลิม ของชิ้นนั้นมีมูลค่ามากกว่าห้าพันล้าน”
“ใช่ จริงด้วย การพัฒนาพื้นที่บริเวณยงอินซึ่งเคยเชื่องช้ากลับเสร็จในพริบตา พื้นที่กรีนเบลท์ประมาณ 17,000 ตารางเมตรถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย บริษัทไหนเป็นคนรับงานก่อสร้างนี้?”
ลี มินซองตอบอย่างรวดเร็ว
“เป็นพย็องฮวาคอนสตรัคชั่นครับ”
“หืม.. ดังนั้นเป็นโอ จามินจากพย็องฮวาคอนสตรัคชั่นนี่เองที่ซื้อเครื่องลายครามนั่นจากเธอ”
เมื่อครั้งที่มีข่าวลือออกมาว่าได้มีคนรวยใช้เงินไปหลายแสนล้านเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ข่าวจริงที่ออกมากลับบอกว่าพวกเขาให้เงินประมาณสิบหรือหลายร้อยล้านเท่านั้น คิดว่าเจ้าหน้าที่จะรับความเสี่ยงสำหรับเงินจำนวนนั้นหรือไม่?
ดังนั้นเมื่อนักธุรกิจจะติดสินบนพวกเขามักจะใช้วัตถุโบราณมากกว่าเงินเพราะวัตถุโบราณไม่สามารถติดตามได้ทำให้ถูกยอมรับได้ง่ายกว่า
“ฮ่าฮา ผมไม่สามารถพูดชื่อของเขาออกมาดังๆได้ แต่ผมเป็นคนขายเครื่องเคลือบชิ้นนั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาดูวัตถุโบราณที่เธอเอามากัน”
บยองกุกค่อยๆวางกล่องของเขาลงและเปิดมันอย่างระมัดระวัง
“หืมม… งั้นเธอรู้ไหมว่ากาน้ำนี้ใช้ยังไง?”
บยองกุกมองไปที่แฮจิน เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เนื่องจากเขาใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาไปกับการขุดค้นวัตถุโบราณแทนที่จะเรียนหนังสือ
แฮจินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดแทนบยองกุก
“ในช่วงศตวรรษที่ 13 ชาวโครยอชอบดื่มชาโดยใช้วิธีชอมดา ในการชงชาด้วยวิธีแบบชอมดานั้นเราต้องใส่ผงชาที่นิ่มและบดดีแล้วลงในถ้วยชาแทนกาน้ำชาเพื่อให้มันเหนี่ยวเหมือนครีมจากนั้นจึงเทน้ำร้อนลงไปและคนพวกมันให้เข้ากันเพื่อให้เป็นฟอง ส่วนกาน้ำอันนี้มีไว้สำหรับใส่น้ำร้อน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซองจุนมองมาแฮจิน เขามองไปที่แฮจินเมื่อพวกเขาเข้ามาครั้งแรกก็จริง แต่ตอนนี้เขากำลังมองเขาอย่างที่ควรจะเป็น
“จริงเหรอ? ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องนี้ดี เธอเป็นใคร?”
“เขาเป็นหลานชายของผม”
บยองกุกตอบแทนเขา แต่ซองจุนขมวดคิ้ว
“หลานชายไม่ใช่คำตอบที่ฉันต้องการ และฉันก็ไม่ชอบเวลามีคนมาขัดฉันด้วยเข้าใจไหม?”
การจ้องมองที่เฉียบคมของเขาทำให้บยองกุกทำได้แค่ก้มหน้า
“ผมชื่อปาร์ค แฮจิน ผมเป็นผู้ประเมินวัตถุโบราณ”
“เธอดูเด็กเกินกว่าจะเป็นผู้ประเมิน เธออายุเท่าไหร่กัน?”
“ปีนี้ผมอายุ31”
“31… นั่นก็ยังเด็ก”
“งั้นเหรอ? แต่ผมไม่สนใจที่จะเป็นลูกเขยของคุณ”
ซองจุนไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนั้น เขาเอียงศีรษะไปด้านหลังและหัวเราะ
“ฮ่าฮาฮา! เธอกล้าหาญมาก โอเค ได้ ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะให้เธอแต่งงานกับลูกสาวของฉัน ตราบใดที่เธอทำหน้าที่ได้ดีฉันก็ไม่ติดอะไร ไม่ว่ายังไงครั้งนี้ฉันก็ผิดเอง”
“ท่าน…”
มินซองพยายามขัดจังหวะพวกเขาเมื่อเขาเห็นว่าซองจุนขอโทษคนที่อายุน้อยกว่ามาก แต่ซองจุนยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขา
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงมันเกิดขึ้นได้”
แม้แต่บยองกุกก็ยังประหลาดใจกับคำตอบที่กล้าหาญของแฮจินจนเขาต้องหันไปมอง เขารู้ว่าแฮจินมีความภาคภูมิใจในตัวเองและดื้อรั้น แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้
แฮจินเองก็รู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะสิ่งที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ เขาคงไม่มีมั่นใจต่อหน้าชายผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในเกาหลี
“อา! เธอเป็นคนมีอารมณ์ขัน ดี ถ้าอย่างนั้นเธอคิดว่าของชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่?”
“ลุงของผมจะเป็นคนต่อรองเรื่องราคา ส่วนผมมีหน้าที่แค่ประเมินเท่านั้น”
“ไม่ ไม่ ฉันอยากฟังราคาประเมิน รวมถึงราคาจริงของมันด้วย”
“ถ้าของชิ้นนี้เป็นของคุณ ผมคงบอกราคาคุณได้ แต่ผมมาที่นี่เพื่อช่วยผู้ขายเกรงว่าผมคงจะทำอย่างนั้นไม่ได้”
แฮจินไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นใบหน้าของซองจุนจึงเริ่มแข็ง
“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่มีทางเลือก บอกราคามา”
น้ำเสียงของซองจุนเย็นชาไม่เหมือนตอนที่พวกเขาเพิ่งเจอกัน บยองกุกเครียดและพูดราคาที่เขาคิด
“ผมคิดแค่สามพันล้านครับ”
แฮจินเคยบอกกับบยองกุกตอนที่พวกเขาอยู่ที่โรงแรมว่าของชิ้นนี้มีมูลราวสองพันล้าน แต่การที่เขาบอกว่ามันราคาสามพันล้านนั่นหมายความว่าเขาไม่คิดจะลดราคามันจนเหลือสองพันล้าน
มันไม่เหมือนกับการขายกางเกง การลดราคาจากสามพันล้านจนเหลือสองพันล้านมันหมายความว่าเขากำลังเยาะเย้ยซองจุน ดังนั้นราคาที่เขาจะได้มันจึงไม่ต่ำกว่า 2.5 พันล้าน
แฮจินรู้ว่าบยองกุกเป็นคนกล้าหาญแต่ก็ไม่มากนัก ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็ดูเหมือนเป็นคนละคน
ซองจุงไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขาสบกับแฮจิน หลังจากจ้องตาที่สงบของแฮจินแล้วเขาก็หันกลับมา
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ เอามันกลับไป”
แฮจินประหลาดใจที่เห็นซองจุนไม่ยอมเจรจา ด้านบยองกุกก็ดูจะตกใจเช่นกัน
“โอเคครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ”
บยองกุกเริ่มห่อศิลาดลอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าซองจุนจะไม่ซื้อมัน
ซองจุนไม่คิดเลยว่าบยองกุกจะยังทำตัวใจเย็นได้ขนาดนี้
เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “เธอไม่คิดว่าสามพันล้านสำหรับสิ่งนี้มันมากเกินไปหรือ?”
“ฮ่าฮา ผมเดาว่ามันคงจะได้พบกับเจ้าของที่แท้จริงในสักวันหนึ่ง”
นั่นฟังดูแปลก มันฟังดูเหมือนว่าเขาจะหาคนโง่คนอื่นมาซื้อได้ในสักวันหนึ่ง แต่เมื่อมองอีกมุมมันก็อาจจะหมายความว่า ‘คุณไม่รู้คุณค่าของศิลาดลชิ้นนี้’ ได้เช่นกัน
แฮจินเฝ้ามองบยองกุกจากด้านหลังอย่างเงียบๆ เขารู้สึกประทับใจ
เขาได้เห็นความกล้าหาญและทักษะของบยองกุกเวลาที่เขาต้องรับมือกับผู้ที่เป็นศูนย์กลางอำนาจโดยไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุโบราณ
“ดังนั้นเธอจะบอกว่าฉันไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง?”
“น่าแปลกที่วัตถุโบราณแต่ละชิ้นจะมีเจ้าของที่แท้จริงของมัน ดังนั้นผมจึงเข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่ชอบศิลาดลชิ้นนี้ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ”
ทั้งคู่รู้ว่าซองจุนไม่ได้ถามเพราะแคร์ความรู้สึกของบยองกุก ซองจุนรู้ว่าบยองกุกอยากจะลองเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตามการยั่วยุใครบางคนคงไม่ได้ผลนักหากอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย
“ฮะ! นี่เธอคิดว่าฉันโง่งั้นเหรอ? เธอกล้าถึงขนาดเอาของแบบนี้มาเพื่อเอาเงินสามพันล้านจากฉัน?”
บยองกุกส่ายหัวขณะมองอย่างเสียใจ
“ถ้าท่านคิดอย่างนั้นมันก็น่าจะถูกแล้ว มันเพียงแค่เรามีมุมมองเกี่ยวกับคุณค่าของมันที่แตกต่างกัน ซึ่งผมเข้าใจได้”
ถ้าบยองกุกพยายามเถียงว่าซองจุนผิด เขาคงจะไล่แฮจินและบยองกุกออกจาบ้านทันที แต่น้ำเสียงชของบยองกุกฟังดูเหมือนเสียใจมากใขณะที่เขาลุกขึ้นจนซองจุนอดคิดไม่ได้ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?’
“งั้นก็ลาก่อนนะครับคุณลิม”
บยองกุกลุกขึ้นพร้อมกับกล่องและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้กับซองจุนที่เริ่มถามคำถามอื่นกับเขา
“ลาก่อน แต่… เธอจะขายมันให้ใคร?”
“ฮ่าฮา คุณช่างรอบคอบจริงๆ แต่โปรดอย่ากังวลไปเลยครับ ผมมีคนที่ผมนัดไว้อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ สุดท้ายนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาที่นี่”
ในขณะที่ซองจุนบอกเปป็นนัยว่าบยองกุกอาจจะเริ่มการเจรจาต่อไปได้ อย่างไรก็ตามบยองกุกกลับทำตัวแปลกๆและพยายามตัดขาดกับซองจุนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ซองจุนไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้เพราะเรื่องราคา
ท้ายที่สุดเขาก็โกรธ
“งั้นขอให้เธอโชคดีกับการขายเจ้าสิ่งนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครยอมจ่ายเงินสามพันล้านเพื่อมันหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่คิดว่าประเทศนี้จะเต็มไปด้วยคนโง่”
แฮจินกำลังจะจากไปพร้อมกับบยองกุก แต่คำพูดสุดท้ายของซองจุนทำให้เขาขุ่นเคือง เขาจึงต้องการให้อีกฝ่ายจ่ายราคาสำหรับสิ่งนั้น ดังนั้นเขาจึงจุ่มนิ้วลงในน้ำและใช้เวทมนตร์ของเขา
อาการเวียนหัวและคลื่นไส้กลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่มันไม่ปวดเท่าครั้งแรก ตอนนี้เขาสามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว
เขาหยุดระหว่างทางไปที่ประตูหน้า และมองไปที่ภาพวาดสิงโตที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังฝึกมัน
บยองกุกพบว่ามันแปลกเมื่อเห็นเขาจ้องภาพวาดและลากนิ้วด้วยมือของเขา จากนั้นความเงียบก็ถูกทำลายลง
“ภาพวาดผืนนี้สวยมาก ขอถามได้ไหมครับว่าซื้อจากที่ไหน?”
แฮจินถามอย่างสบายๆขณะมองไปที่ภาพวาด ซึ่งมันทำให้ทุกคนหันมามองเขา
จากนั้นพวกเขาก็ได้เสียงผู้มาใหม่ดังขึ้น
“จากแฮวิชิแกลเลอรี่ แต่นายล่ะเป็นใคร?”
แฮจินหันไปตามเสียงที่พูดออกมา มันเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่อายุประมาณ20 ปีกำลังเดินลงมาจากบันได
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบคลาสสิกมาพร้อมด้วยผิวขาวไร้ที่ติและสายตาที่หยิ่งผยอง เธอนั้นแต่งหน้าแม้ว่าเธอจะอยู่บ้านก็ตาม ตัวแฮจินไม่ได้มีความรู้เรื่องแฟชั่นมากนัก แต่ชุดที่เธอใส่มันดูแพงมากแม้กระทั่งกับเขา เห็นได้ชัดเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนสำคัญ
“ผมเป็นผู้ประเมินวัตถุโบราณ”
“อ๋อ… เป็นหนึ่งในคนที่มาขายของใช่ไหม?”
ริมฝีปากเธอโค้งงอเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย เธอคิดว่าแฮจินและบยองกุกเป็นเหมือนพ่อค้าเร่
“ใช่ พวกเรามาที่นี่เพื่อขายบางอย่าง”
“ดูเหมือนนายจะเสร็จธุระที่นี่แล้ว ทำไมนายถึงยังอ้อยอิ่งอยู่แถวนี้อีก? หรือว่านายเสียใจจนไม่อยากจะจากไป?”
ซองจุนเพิ่งหันมามองแฮจิน เขาอยากรู้คำตอบของเขา
“ภาพวาดผืนนี้มันไม่ใช่ของผม ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ธุระของผม …แต่ผมรู้สึกแย่นิดหน่อย”
“อะไรนะ? นายกำลังจะบอกว่านายรู้สึกแย่กับพวกเรา?”
เธอมองแฮจินจากล่างขึ้นบน สีหน้าเธอราวกับจะถามว่า ‘นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?’
เธอไม่เหมือนอึนแฮที่อย่างน้อยก็เคารพผู้อื่น
“ผมแค่ไม่สามารถปล่อบให้คุณรู้สึกแย่กับภาพวาดนี้หลังจากที่ซื้อมามันแล้ว”
ในตอนนั้นเองซองจุนก็ลุกขึ้น
“ลองพูดอีกทีสิ”
Chapters
Comments
- ตอนที่ 21 ภาพสองภาพ (2) พฤศจิกายน 6, 2021
- ตอนที่ 20 ตุลาคม 29, 2021
- ตอนที่ 19 ตุลาคม 22, 2021
- ตอนที่ 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ตุลาคม 15, 2021
- ตอนที่ 17 ตุลาคม 9, 2021
- ตอนที่ 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1) ตุลาคม 9, 2021
- ตอนที่ 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3) ตุลาคม 9, 2021
- ตอนที่ 14 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 13 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 12 ก้าวแรกในฐานะผู้ประเมินวัตถุโบราณ (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 11 ก้าวแรกในฐานะผู้ประเมินวัตถุโบราณ (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 10 Ma Won’s Ume Flower Seowon (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 9 Ma Won’s Ume Flower Seowon (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 8 งามใหม่ (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 7 งานใหม่ (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 6 ใช้เวทมนต์ (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 5 ใช้เวทมนตร์ (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 4 มันอยู่ในสายเลือด (3) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 3 สายเลือดไม่สามารถปฏิเสธได้ (2) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 2 สายเลือดไม่สามารถปฏิเสธได้ (1) กันยายน 24, 2021
- ตอนที่ 1 ภายในห้องหินที่ไหนสักแห่ง ….(อารัมภบท) กันยายน 24, 2021
MANGA DISCUSSION