Another Monster - ตอนที่ 9.2 คาร์ล ชูวัลด์ 2
– เราเปลี่ยนหัวข้อพูดซักหน่อย, พ่อของคุณเป็นยังไงบ้าง? ช่วงก่อนเกิดเหตุเขาเริ่มทำตัวเข้าสังคมผิดปกติและไปพบปะกับผู้คน แต่ตอนนี้เขากลับไปสู่วิถีสันโดษแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขาค่อนข้างแก่แล้ว บางคนบอกว่าเขาอาจป่วยหนัก
“ใช่ ผมเป็นห่วงเขาเหมือนกันในช่วงที่เขากำลังพักฟื้นอยู่ แต่ไม่เลย, พ่อสบายดี พ่อไม่ได้พบปะกับผู้คนเยอะเหมือนที่เขาเคยทำ แต่ผมคิดว่าเขากลายเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพมากขึ้น เมื่อเร็วๆนี้เขาชอบพูดว่าแนวคิดที่ขัดแย้งกัน พวกชีวิตและความตาย, ความดีและความชั่ว, ความงดงามและความอัปลักษณ์, สวรรค์และนรก นั้นล้วนตรงกันข้ามกันในรูปแบบที่ราวกับทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน แต่ผมคิดว่าเขาเลือกที่จะอยู่ด้านสว่างแล้ว”
– คุณเคยพบกับดร.เทนมะไหม?
“เคยครับ, แต่ก็แค่ไม่นาน ที่จัตุรัสสถานีเดรสเดน ผมบอกข้อความจากพ่อของผมที่นอนป่วยอยู่บนเตียงให้เขาฟัง ในตอนนั้น… ผมไม่รู้ว่าเขาคือดร.เทนมะ”
– คุณมีความประทับใจแรกพบอะไรบ้างไหม?
“เขาออกแนวเหมือนกับพวกมรณสักขี [TL: ในที่นี้หมายถึงผู้ยอมทรมานแต่ไม่ยอมละทิ้งความเชื่อของตัวเอง] อดทนเหมือนกับเป็นนักพรตผู้ปฏิบัติตน”
– แล้วข้อความที่คุณชูวัลด์ฝากบอกล่ะ?
“ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร สะพานเชด็อค… กบสามตัว… ถ้าปีศาจที่นายไล่ตามอยู่เป็นฝาแฝด, แม่ของฝาแฝดยังมีชีวิตอยู่ที่ปราก…”
– ทำไมพ่อของคุณถึงได้รู้ข้อมูลพวกนี้เกี่ยวกับโยฮันกัน?
“เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญทั้งหมด หลังจากแม่หายตัวไป, พ่อก็ตามหาตัวเธออย่างบ้าคลั่ง จริงๆแล้วแม่เป็นผู้ถูกเนรเทศจากเชกโกสโลวาเกีย เธอมาอาศัยที่นี่แบบผิดกฎหมาย ครั้งนึงเธอเคยบอกเขาเกี่ยวกับลักษณะของบ้านในปรากที่เพื่อนของเธออาศัยอยู่… ใกล้กับสะพานเชด็อคและป้ายรูปกบสามตัว”
“กลายเป็นว่าเพื่อนของแม่ก็ถูกตามล่าจากรัฐบาลด้วยเหมือนกัน พ่อเลยคิดว่าเมื่อแม่จากไป, เธอคงจะไปหาเพื่อนของเธอ และเขาก็หาที่นั่นจนพบในปี 1980 ผู้หญิงที่เปิดประตูออกมาต้อนรับคนนั้นมีลูกแฝดสองคน พ่อและผู้หญิงคนนั้นคุยกันเรื่องความทรงจำของพวกเขาเรื่องของแม่ และหลังจากนั้นเขาก็กลับ เด็กแฝดคู่นั้นก็นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่ที่นั่นด้วย”
– แต่เขาสรุปได้ยังไงกันว่าโยฮันคือหนึ่งในเด็กแฝดคู่นั้น?
“ก็… พ่อรู้เรื่องการตายของแม่จากหนังสือพิมพ์ เขาจ้างนักสืบให้ตามสืบชีวิตของแม่ว่าเป็นยังไงตั้งแต่ตอนที่แม่หายตัวไปในปี 1977 เมื่อแม่… เอ่อ เลิกทำงานในปี 1992 แม่ก็อาศัยอยู่ที่ออฟเฟนบาคในรัฐเฮสเซิน ในช่วงเวลานึง แม่ก็มีเพื่อนร่วมแฟลตอยู่คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 18 ปี… สามเดือนก่อนที่แม่จะตาย แม่ก็ส่งจดหมายไปหาเพื่อนคนนั้น เนื้อหาในนั้นเกี่ยวกับผมหลังจากที่เราแยกจากกันและเพื่อนเก่าของเธอที่พยายามจะหนีจากเชกโกสโลวาเกียด้วยกัน เพื่อนคนนั้นหนีข้ามพรมแดนไม่พ้นจนท้ายสุดก็แต่งงานและมีลูกแฝด เธอเขียนเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เธออาศัยอยู่ด้วย เขียนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำให้เธอนึกถึงเพื่อนเก่าคนนี้มากแค่ไหน”
– เข้าใจล่ะ, นั่นอธิบายได้เยอะเลย และนั่นก็ถึงตอนที่เรื่องราวย้ายไปที่ปราก อ้อ, แล้วก็ งานนี้ที่คุณพูดถึงน่ะ งานที่คุณอ่านหนังสือให้พ่อของคุณฟัง… หนังสือประเภทไหนที่คุณอ่านให้เขาฟังเหรอ?
“อา ใช่… พ่อของผมชอบวรรณกรรมกรีกและละติน สำหรับผม, มันเป็นแค่การหาหนังสือเล่มที่เท่านี้จากทางซ้ายของชั้นที่เท่านี้ตามที่เขาสั่งเฉยๆ และผมก็จินตนาการว่ามันคงเป็นแบบเดียวกันหมดกับทุกคนที่ทำงานนี้ แต่ผมเชื่อว่าโยฮันเป็นคนเดียวที่เขาถามว่า ‘เธออ่านหนังสืออะไร?’ “
– น่าสนใจมาก แล้วคุณชูวัลด์ได้บอกคุณไหมว่าโยฮันตอบว่าอะไร?
“นี่คือก่อนที่เราจะรู้ว่าโยฮันคือใคร ดังนั้นความทรงจำผมมันเลยเลือนลาง… ผมจำได้ว่าพ่อหัวเราะขำเมื่อเขาตอบ ผมคิดว่าเขาคงประหลาดใจที่โยฮันอ่านหนังสือ’ทั่วไป’แบบนั้นด้วย แต่โยฮันก็อ่านมัน, ผมลืมชื่อหนังสือเล่มนั้นไปแล้ว แต่เขาบอกว่ามันเป็นหนังสือที่ดี”
– คุณสามารถไปถามพ่อของคุณได้ไหมว่าชื่อหนังสือเล่มนั้นคืออะไร? จากพวกหนังสือภาพและกลุ่มอ่านหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีของโยฮัน มันอาจจะสำคัญก็ได้ มันเป็นไปได้รึเปล่าที่หนังสือเล่มนั้นจะเป็นหนังสือนิทานภาพ?
“เท่าที่ผมจำได้ มันไม่ใช่นะ”
– มีบอกไว้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่โยฮันเลือกที่จะไม่ปรากฏตัวบน”ฉาก”อย่างที่เคยเป็น ก็คือการที่เขาได้ไปเห็นหนังสือภาพที่ชื่อ”ปีศาจไร้ชื่อ”เข้า คุณอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นรึเปล่า?
“ผมไม่ได้อยู่ เอ่อ, จริงๆก็อยู่ แต่ผมไม่ได้อยู่กับเขาตอนเขาหมดสติ หนึ่งในบรรณารักษ์อยู่ที่นั่นพอดีและเธอเห็นปฏิกิริยาของเขา เพื่อนผมที่ชื่อ ลอตเต้ แฟรงค์น่าจะบอกคุณเรื่องนี้ได้ดีกว่าผม”
หน้าร้อนของปี 1997, ในฐานะเลขาของชูวัลด์ โยฮันได้แวะไปที่หอสมุดฟรีดริช เอ็มมานูเอลที่มหาวิทยาลับมิวนิค มีการนัดประชุมกันหลายครั้งเพื่อวางแผนงานฉลองการบริจาคหนังสือครั้งใหญ่ ในขณะที่กำลังเดินผ่านโซนหวงห้ามที่มีไว้ให้นักศึกษาโดยเฉพาะ, โยฮันก็เจอกับหนังสือภาพเล่มหนึ่งที่ตกจากชั้นหนังสือ ขณะที่กำลังเปิดหนังสือ โยฮันก็เริ่มร้องไห้และหมดสติไป หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า”ปีศาจไร้ชื่อ” หนังสือภาพจากเช็กที่เขียนโดยเอมิล เชเบ้ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โมราเวียแห่งปราก
หลังจากจุดๆนี้เองที่แผนการของเขาได้เปลี่ยนไป…
– อย่างสุดท้าย, ผมมีคำถามเกี่ยวกับไฟไหม้หอสมุดในครั้งนั้น ตามกำหนดการคุณควรจะไปร่วมงานกับพ่อของคุณ แต่ก่อนงานจะเริ่มได้ไม่นาน คุณก็กลับมาที่บ้าน มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?
“พ่อขอให้ผมกลับไปเพื่อไปเอาเอกสารบางอย่างให้เขา ผมคิดว่ามันเป็นคำขอที่แปลกๆ แต่ผมก็ฟังเขา ผมมาเรียนรู้หลังจากนั้นว่าเขาเข้าใจแล้ว เขารู้ว่าโยฮันพยายามจะเอาชีวิตเขา และเขาทำแบบนั้นเพื่อช่วยชีวิตผม”
– แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังตัดสินใจเผชิญหน้ากับความตายของตัวเองอย่างงั้นเหรอ?
“ใช่ เย็นวันก่อนงานเลี้ยง จิตแพทย์ที่ชื่อดร.ไรช์ไวน์มาหาพวกเรา เขาบอกเราถึงความน่าสงสัยของโยฮัน เขาพูดถึงความตายของอดีตคนขับรถ, แม่บ้าน และเพื่อนดูนกที่พ่อชอบและพูดว่าโยฮันเกี่ยวข้องกับการตายของพวกเขาอย่างไร พ่อเชื่อจิตแพทย์คนนั้น บางครั้งพ่อก็รู้สึกสงสัยความสมบูรณ์แบบไร้ที่สิ้นสุดของโยฮัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไป… ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่าพ่อรู้สึกว่าเขาต้องทดสอบชะตาของตัวเอง พ่อรู้สึกได้ว่าตัวเองแก่ขึ้นเรื่อยๆ พ่อเพิ่งพบกับลูกชาย, พบเจอความสุข, ธุรกิจกำลังดำเนินไปด้วยดี และเขารู้สึกว่าเขาสามารถลงจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาไม่อยากจะวิ่งหนีจากอสูรกายอย่างโยฮัน เขาอยากจะเดิมพันกับโชคชะตาของตัวเอง ถ้าเขารอดชีวิตมาได้ เขาสามารถจะไปทำอย่างอื่นได้ นั่นแหละคือชายที่พ่อเป็น…”
ณ มิวนิค ใกล้กับมหาวิทยาลัย สถานที่ที่แผนของโยฮันเปลี่ยนทิศไปอย่างกระทันหัน เขาจะเคยเงยหน้ามองเห็นภาพแบบเดียวกันนี้กับผมไหมนะ…?
– ตอนนี้คุณคงจะเกลียดแค้นโยฮันสำหรับเรื่องทั้งหมดนี่แน่
“จริงๆแล้ว… ตอนนี้ผมไม่อยากจะพูดแบบนี้เพราะมันทำให้ผมดูเหมือนคนโง่ แต่ผมคิดว่าผมยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงๆ บางเวลา, ผมพบว่าตัวเองนอนขดตัวบนเตียง ตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว แต่ผมไม่รู้ว่าผมสามารถพูดว่าผมเกลียดเขาได้มั้ย… มันคือบนดาดฟ้าของตึกเรียนนั่นที่ผมเปิดใจครั้งแรกให้กับโยฮัน… ตอนอาทิตย์ตก”
“ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง, ผมพบว่าตัวเองเล่าถึงสิ่งที่ผมโหยหาให้โยฮันฟัง ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการย้ายจากบ้านรับเลี้ยงเด็กที่นึงไปอีกที่นึง, ดังนั้นแนวคิดของยามเย็นที่กำลังจะมาถึง ยามที่แสงไฟเริ่มเปิดและครอบครัวกลับมารวมกันที่บ้านพร้อมกับกลิ่นอาหารเย็นที่อบอวล… มันเป็นภาพล้ำค่าที่ผมเก็บไว้ในหัวใจ ระหว่างที่ผมพูด, เขาก็เดินทรงตัวบนกำแพงตรงขอบหลังคา เมื่อโยฮันหันมาหาผม… เขากำลังร้องไห้”
“ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เชื่อว่าน้ำตานั้นจะเป็นของปลอม มันไม่ใช่การเสแสร้งและออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ ผมคิดว่าเหตุการณ์นี้ที่ผมได้พบเจอช่วยห้ามไว้ไม่ให้ผมเกลียดโยฮันอย่างจริงจัง”
ผมรู้เรื่องซุบซิบบางเรื่องเกี่ยวกับแม่ของคาร์ล แต่ผมตัดสินใจว่าถ้าเขาไม่พูดถึงเธอ ผมก็ไม่คิดจะไปถามเขา ตราบที่เขาเคารพพ่อของเขาและรักแม่ของเขา, ข้อมูลพวกนั้นก็ไร้ความจำเป็น ผมถามเขาว่าเขากดดันไหมที่ต้องรับช่วงต่ออาณาจักรของชูวัลด์ คำตอบของเขาฟังดูไม่แยแสอย่างน่าประหลาด “ผมเคยคิดอย่างนั้น, แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ถ้าผมไม่มีความสามารถที่จะทำมันพ่อคงไม่วางใจมอบมันให้ผม และผมไม่โง่ขนาดจะอยากรับช่วงต่ออะไรบางอย่างที่ผมรับมือไม่ไหวหรอกนะ”
ผมกล่าวคำขอบคุณและตัดสินใจว่านั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ เมื่อเขาไปส่งผมที่ประตู เขาก็เอ่ยขึ้นมา “ผมจะถามพ่อเรื่องชื่อหนังสือที่โยฮันชอบให้ แต่มันคงต้องเป็นตอนที่พ่ออารมณ์ดีนะครับ”
ผมขอบคุณเขาสำหรับความลำบากและออกมาจากบ้านของชูวัลด์