Another Monster - ตอนที่ 7 รูดี้ กิลเลน
บทที่ 7: Rudi Gillen
(มิถุนายน ปี 2001; ปารีส)
ดร.กิลเลนเป็นผูู้เกี่ยวข้องในคดีนี้เพียงคนเดียวที่เขียนหนังสือเรื่องของโยฮันออกมา หนังสือของเขา “เส้นทางสู่อสูรกาย” ติดอันดับหนังสือขายดีเกือบทั่วทั้งยุโรป และไม่นานมานี้ ชื่อของเขาก็อยู่ในรายชื่อผู้เสียภาษีสูงสุด 50 อันดับแรกของเยอรมนี ศาสตราจารย์กิลเลนผู้กำลังยุ่งอยู่กับการทัวร์บรรยายรอบโลก ได้กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ของอังกฤษว่าเมื่อเรื่องน่าตื่นเต้นนี้ซาลง เขาวางแผนจะกลับไปทำงานศึกษาจิตวิทยาอาชญากรตามเดิม
ผมพบกับดร.กิลเลนที่คาเฟ่บนถนนโบนาปาร์ตริมฝั่งแม่น้ำแซนน์ ดร.กิลเลนผู้กำลังกลับจากการบรรยายที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ปรากฏตัวตรงตามเวลา 4 โมงที่นัดไว้ เขาทักทายผมอย่างรวดเร็ว และในระหว่างที่เขานั่งลง เขาก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงพกพาออกจากกระเป๋าใบใหญ่ของเขาแล้วยิ้ม “ไม่ต้องสงสัยว่าคุณจะมองว่าแปลกที่ผมอัดเสียงทั้งๆที่คุณเป็นคนสัมภาษณ์ แต่ผมจะพูดไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้านี่” เขามีใบหน้าที่เป็นสุข แต่ว่ามีแววตาที่คมกริบ เขาแต่งกายในชุดสูทอาร์มานีและผมก็ได้กลิ่นโคโลญด้วย
เขาจ้องมองมาที่ผมแล้วพูด “เริ่มได้เลยครับ”
– ผมจะตรงเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ความคิดของคุณในตอนที่จู่ๆ เคนโซ เทนมะก็ปรากฏตัวที่ออฟฟิศของคุณที่ฮัททิงเงินเป็นแบบไหน?
“ก็ค่อนข้างจะตกใจ เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเพื่อนกัน และผมรู้ว่าเขาคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของคดีนั้น, และกำลังหลบหนีอยู่… ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม”
– แล้วในตอนที่เทนมะอธิบายเกี่ยวกับชายที่ชื่อโยฮัน แล้วขอคุณให้วิเคราะห์ทางจิตวิทยาล่ะครับ?
“เทนมะเอาข้อความ 2 ข้อความจากโยฮันมาให้ผมดู ‘ดูผมสิ, ดูผมสิ อสูรกายในตัวผมเติบโตขึ้นมาขนาดนี้แล้วนะ’ และ ‘ช่วยด้วย! อสูรกายในตัวผมจวนจะระเบิดอยู่แล้ว!’ เขาเชื่อว่าโยฮันมีอาการของโรคหลายบุคลิก”
– แล้วคุณคิดว่ายังไงครับ?
“ว่าโยฮันนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง และคิดว่าถ้าไม่เทนมะโกหกเรื่องทั้งหมดก็ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ”
– เป็นข้อสรุปเดียวกับที่สารวัตรลุงค์เก้จาก BKA ได้ข้อสรุป
“จริงๆแล้ว, ผมตัดสินใจเชื่อเทนมะในตอนท้ายที่สุดและขอความช่วยเหลือจากคุณลุงค์เก้ แต่เขาก็ไม่ได้จริงจังกับคำพูดผม ไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อย้อนกลับไปมองสถานการณ์ตอนนั้น”
– ผมขอคิดว่า การที่คุณเป็นจิตแพทย์นั้น คุณน่าจะมีมุมมองในเรื่องนี้ที่แตกต่างไปจากทางนักสืบ
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือ เขาพยายามเดาการกระทำของอาชญากรเพื่อจะจับเขา ส่วนผมก็มองเข้าไปในหัวใจของคนเหล่านั้นที่เขาจับมาได้เพื่อไขปริศนาจิตใจของมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณลุงค์เก้นั้นพิเศษก็คือ เขาสนุกไปกับการตามล่าอาชญากรผู้ชาญฉลาดและเข้าไปต่อสู้ทางความคิด, เหมือนกับการเล่นหมากรุก สิ่งที่เขาทำคือการแข่งขัน… การดวลกัน”
– นั่นเป็นการประเมินที่ค่อนข้างจะรุนแรงเลยนะ แล้วเมื่อคุณเชื่อว่าโยฮันมีตัวตนอยู่จริงๆแล้ว, คุณคิดว่าเขาเป็นโรคหลายบุคลิกตามที่เทนมะกล่าวอ้างหรือเปล่า?
“ผมคิดอย่างนั้น, หลังจากที่ผมศึกษาข้อความที่เขาเอามาให้ผมดู”
– งั้น, โรคหลายบุคลิกคือการที่มีตัวตนหลายๆตัวตนอยู่ภายในจิตใจของคนๆหนึ่ง
“ถูกต้อง, เท่าที่เรารู้ การถูกทารุณในวัยเด็กคือสาเหตุหลักของสิ่งนี้, แต่ผมชอบอธิบายด้วยการอุปมาถึง ‘ไฟฉายในห้องมืด’ ห้องมืดเป็นตัวแทนของจิตใจมนุษย์ มันมีอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างอยู่ในนั้น, และล้วนเหมือนกันสำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ตัวตนของเราจะเปลี่ยนไปขึ้นกับตำแหน่งที่คุณส่องไฟฉาย ถ้าผมย้ายจุดที่แสงไฟส่องเพียงเล็กน้อย ผมสามารถกลายเป็นคุณได้ ในกรณีของโรคหลายบุคลิก, คนๆนั้นไม่ชอบจุดที่แสงไฟของตัวเองส่องไปและต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะย้ายลำแสงของตัวเอง ดังนั้นเขาเลยแค่ออกไปซื้อไฟฉายมาเพิ่ม, และเปิดพวกมัน… นี่คือการที่บุคลิกอื่นๆถือกำเนิดขึ้น”
– แต่ใน “เส้นทางสู่อสูรกาย”, คุณปฏิเสธความคิดที่ว่าโยฮันเป็นโรคหลายบุคลิกนี่
“ถูกต้องแล้ว ยิ่งผมพัวพันกับคดีนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจถึงหนังสือภาพ, อดีตของโยฮัน และท้ายสุดคือตัวตนของเขามากขึ้นไปด้วย ข้อความนั้นของเขามีไว้เพื่อทำให้เราสับสน… ผมเชื่อว่าเขาเพลิดเพลินกับการทำให้เราสับสน แต่ถ้าไม่ได้พบกับโยฮันโดยตรง ผมก็คงไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้”
– คุณคิดว่าโยฮันเป็นอะไรกันแน่?
“ชายที่สามารถดำดิ่งเข้าไปในจิตใจของฆาตกรทางเพศได้ หรือไม่แน่ เขาอาจจะสามารถเข้าไปในจิตใจของมนุษย์คนใดเลยก็ได้ นักล้างสมองที่สามารถควบคุมจิตใจของผู้อื่น แต่สิ่งที่เขาแสวงหานั้นไม่ใช่ความสุขจากการฆ่าผู้อื่น เขาอยากจะกวาดล้างโลกทั้งใบ… นั่นคือสิ่งที่นำพาความสุขมาให้เขา”
– เขาทำยังไงกันแน่ถึงแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้?
“ด้วยการยอมรับในคุณค่าของพวกเขา ด้วยการไม่เกลียดในการกระทำของพวกเขา และด้วยการสอนพวกเขาว่าพวกเขานั้นไม่ได้เดียวดายในโลกใบนี้ พวกเขามีความสุข คิดว่าตัวเขาเองได้พบกับเพื่อนแท้แล้ว, คนๆเดียวในจักรวาลที่เข้าใจพวกเขา หรือในทางตรงกันข้าม, โยฮันอาจจะดูถูกพวกเขา ด่าว่าการกระทำทุกอย่างของพวกเขาและลากพวกเขาไปยังหลุมมืดมิดของความโดดเดี่ยวทางจิตใจและพังทลาย หลังจากทำอะไรพวกนั้น เขาก็แค่ขอร้องเรื่องง่ายๆอย่างหนึ่ง แค่ช่วยฆ่าคนเลวต่ำช้าคนหนึ่ง, แค่นั้นเลย…”
– โยฮันฆ่าทุกคนที่จำเขาได้ ทีละคนทีละคน ทำไมคุณถึงคาดว่าเขายอมปล่อยให้เทนมะและนายพลวูลฟ์มีชีวิตรอดล่ะ?
“ผมคิดว่าโยฮันก็ต้องการใครบางคนเหมือนกัน ผมไม่สามารถพูดในส่วนของนายวูลฟ์คนนี้ได้ เพราะผมไม่เคยพบเขา แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจเหตุผลในกรณีของเทนมะนะ อย่างแรกเลย เทนมะช่วยชีวิตของโยฮัน… เทนมะไม่ปฏิเสธผู้คน เขามองหาด้านที่น่ายกย่องของคนอื่นๆและชื่นชมพวกเขา เขายอมรับผู้คนในสิ่งที่พวกเขามีค่า แต่เขาก็ไม่มีทาง ไม่เลย ที่จะขุดคุ้ยอะไรจนลึกเกินไป อย่างไรก็ตาม, เมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำแล้ว เขาก็จะตามติดคนๆนั้น เขาจะไม่ปล่อยคนๆนั้นไป สำหรับโยฮันแล้ว, การที่เทนมะรักหรือเกลียดเขานั้นมันไม่ได้แตกต่างกันเลย มันคือความจริงที่ว่าเทนมะจะจำ… จดจำและไล่ตามเขา นั่นแหละที่สำคัญมากสำหรับเขา”
– มีการบอกไว้ว่าโยฮันได้รับการศึกษาแบบพิเศษในเยอรมนีตะวันออกและเชกโกสโลวาเกีย แล้วเด็กคนอื่นๆที่ได้รับการดูแลแบบเดียวกันล่ะ? คุณคิดว่ามันจะมีปีศาจตนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นมั้ย, โยฮันคนที่ 2 หรือว่า 3 น่ะ?
(ข้อความบน) ดร.กิลเลน ผู้เป็นจิตแพทย์ยุโรปที่โด่งดังที่สุดในขณะนี้ เขามีกำหนดการที่จะไปกล่าวปราศรัยที่ญี่ปุ่นในเดือนหน้าตามคำสั่งของสำนักพิมพ์
(ข้อความล่าง) เขาจะมีเทปคาสเส็ตนี้อยู่ข้างตัวเขาเสมอ
“ผมไม่เชื่ออย่างนั้นนะ มันอาจจะมีคนแบบคุณกริมเมอร์, ผู้ที่ออกเดินทางเพื่อตามหาความทรงจำของตัวเอง… และมันอาจจะจริงที่เด็กบางคนโตไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านมืดของวงการการเมืองและวางแผนชั่วร้าย แต่ประเทศในคำถามของคุณนั้นก็ล่มสลายไปแล้ว, ไม่มีใครที่จะสั่งพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าถึงแม้คุณจะได้รับการศึกษาแบบเดียวกับโยฮัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะคิดและทำสิ่งที่เลวร้ายพวกนี้ด้วยตัวของคุณเอง ถ้ามันจะมีอะไรที่อันตรายล่ะก็ มันคงเป็นการที่พวกเขาบังเอิญไปพบเจอกับโยฮันนี่แหละ แต่ตอนนี้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”
– ตอนนี้โยฮันก็กำลังอยู่ในอาการโคม่าจริงๆเหรอครับ…?
“นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับการบอกมา”
– ถ้าเขาตื่นขึ้นมา คุณอยากจะวิเคราะห์จิตใจของเขามั้ย?
“ในฐานะของนักวิชาการ, แน่นอนอยู่แล้ว ผมสนใจ แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก จากมุมมองของเขา ผมคงเป็นคนประเภทที่จะโดนล้างสมองได้ง่ายที่สุด”
– โดนล้างสมองได้ง่ายที่สุดเหรอ?
“คุณรู้ไหมว่าทำไมผมที่มีชื่อเสียงในด้านการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาของฆาตกรต่อเนื่อง? เพราะว่าผมคล้ายกับพวกเขามากไงล่ะ, ดังนั้นผมเลยเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดี เหตุผลที่ผมสนใจพวกเขาเพราะผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวผมเองให้มากกว่านี้ ผมเชื่อว่าสารวัตรลุงค์เก้ก็คงพูดเหมือนกัน ทุกๆคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นยกเว้นเทนมะ ต่างก็หลงใหลในตัวโยฮัน พวกเราต่างก็เหมือนกับเขาในทางใดทางหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขาที่จะควบคุมเรา”
เมื่อเทนมะมาหาเขาและขอความช่วยเหลือ ดร.กิลเลนกำลังง่วนอยู่กับการวิเคราะห์จิตใจของนายปีเตอร์ ยูร์เกนส์ ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเด็กสาวไปถึงสิบเอ็ดคน สิ่งที่กิลเลนพบว่าน่าสนใจคือ เหยื่อรายที่สิบสอง เทเรเซีย เคมพ์ [Note: ในมังงะเหยื่อคนนี้ชื่อ ฮันนา เคมพ์ หรือคุณนายเคมพ์] สตรีวัย 52 ปีที่เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าข่ายรูปแบบการฆ่าของยูร์เกนส์เลย ยูร์เกนส์ยืนยันว่าฆ่าผู้หญิงคนนี้ตามคำขอร้องของเพื่อน แต่กิลเลนไม่เชื่อเขา หลังจากที่กิลเลนแจ้งตำรวจเรื่องการมาหาของเทนมะแล้ว กิลเลนก็ได้ไปยังบ้านของคุณนายเคมพ์ที่ถูกทิ้งไว้ สิ่งที่เขาพบที่นั่นคือหลักฐานของชายที่เทนมะเล่าให้เขาฟัง — การมีตัวตนอยู่ของโยฮัน การฆาตกรรมเทเรเซีย เคมพ์ เป็นส่วนหนึ่งของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องคู่รักวัยกลางคน
ดร.กิลเลนที่ละอายใจที่ตัวเองวางกับดักเทนมะได้รีบกลับไปและช่วยเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของตำรวจ
หลังจากนั้น, เมื่อเขาได้ทราบว่าอาจารย์และที่ปรึกษาที่เขาเคารพ ดร.ไรช์ไวน์ ได้เข้ามาพัวพันกับคดีโยฮันเช่นกัน กิลเลนจึงได้เริ่มทำงานอย่างมุ่งมั่นเพื่อที่จะนำชื่อเสียงของเทนมะกลับคืนมา
คุณควรจะไปที่มิวนิคต่อ, ดร.กิลเลนบอกกับผม และเขาเขียนช่องทางติดต่อของดร.ไรช์ไวน์มาให้ เมื่อเขาบอกว่าเขาต้องไปลอนดอนวันพรุ่งนี้เพื่อไปออกรายการช่อง BBC ผมก็ถามเขาว่าเขาคิดจะออกสื่อไปอีกนานแค่ไหนกัน
ดร.กิลเลนพูดออกมาอย่างช้าๆและเลือกใช้คำพูดอย่างรอบคอบ “ตอนนี้ผมมีเงินมากพอจะใช้ชีวิตได้แล้ว, ดังนั้นผมหวังว่าจะได้กลับไปทำงานวิจัยเร็วๆนี้” และรอยยิ้มอันเจ็บปวดทอดยาวไปทั่วใบหน้าของเขา
“แต่ผมไม่รู้เลยว่าสังคมจะชอบฟังเรื่องของฆาตกรต่อเนื่องขนาดนี้”