Another Monster - ตอนที่ 4.1 ลุงค์เก้ 1
บทที่ 4: Heinrich Lunge ไฮน์ริช ลุงค์เก้ [Note: ผมแปล Lunge เป็น ลุงค์เก้ตามมังงะ ถ้าเป็นในเน็ตฟลิกจะเป็นลุงเงอ]
(พฤษภาคม ปี 2001; บรัสเซลส์)
ด้วยความสัตย์จริง อดีตสารวัตรไฮน์ริช ลุงค์เก้ เป็นคนที่ขอสัมภาษณ์ได้ยากยิ่ง เขายังคงปฏิเสธที่จะพูดคุยกับผู้คนและองค์กรส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องราวของโยฮัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เกิดจากเกียรติยศหรือหน้าที่ใดๆต่ออดีตที่ทำงานเก่าของเขาที่ BKA ไม่มีใครคนใดที่ทุ่มเทและรับใช้ BKA แล้วถูกหักหลังไปมากกว่าลุงค์เก้อีกแล้ว
ในปี 1995 สารวัตรลุงค์เก้กำลังสืบสวนคดีของโยเซฟ โบลต์ซมันน์ สมาชิกรัฐสภาของเยอรมันที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหญิงโสเภณีชื่อเอริก้า เลมเซอร์ เขาเป็นนักสืบที่แท้จริงและเยี่ยมยอดที่สุดในหน่วยงาน แต่หลังจากพยานคนสำคัญฆ่าตัวตาย ทั้งตัวของโบลต์ซมันน์เองและผู้บังคับบัญชาของลุงค์เก้ต่างก็ต้องการให้ปลดเขาจากการสืบสวน ดังนั้นลุงค์เก้จึงพบว่าตัวเองไม่มีคดีให้สืบสวน จุดๆนี้เองที่ลุงค์เก้ได้ลาพักร้อนยาวจากการทำงาน และมุ่งความสนใจไปที่คดีของโยฮันอย่างเต็มที่
เมื่อเขาไขคดีของโยฮันหลังจากใช้เวลาถึงสามปีเต็ม สารวัตรลุงค์เก้ก็ได้รับเกียรติยศกลับคืนมาและเขาก็ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของ BKA อีกครั้งหนึ่ง การกระทำแรกของเขาหลังจากที่กลับมาคือการรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมเลมเซอร์ใหม่ ความพยายามของเขาส่งผลและเขาต้อนโบลต์ซมันน์จนจนมุม แต่โชคยังคงช่วยโบลต์ซมันน์และเขาก็รอดจากการถูกฟ้องไปได้
อย่างไรก็ตาม โบลต์ซมันน์ก็สูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสูญเสียตำแหน่งของเขาในการเลือกตั้งครั้งถัดมา ในตอนนี้ เขาก็กำลังถูกสอบสวนอยู่, แต่เป็นในคดีหลบเลี่ยงภาษีแทน เห็นได้ชัดว่าลุงค์เก้นั้นเอาชนะโบลต์ซมันน์ได้สำเร็จ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาลาออกจาก BKA และได้ทำงานเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยตำรวจรัฐนอร์ดไรน์-เวสต์ฟาเลน ในช่วงเวลานี้เหล่าสำนักพิมพ์และนิตยสารต่างๆก็เริ่มมาเคาะประตูบ้านของลุงค์เก้ด้วยความหวังที่จะได้รู้ถึงเรื่องราวชีวิตของเขา — โดยเฉพาะการเกี่ยวข้องกับคดีโยฮันของเขา — แต่เขาก็ปฏิเสธคำขอร้องทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าข้อมูลทั้งหมดยังไม่ได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
แต่ผมเชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เขาปฏิเสธไม่ยอมพูดถึงโยฮันก็เพราะมีความลับบางเรื่องที่ห้ามไม่ให้เขาแม้แต่จะสนทนาหารือมัน หรือไม่ก็เพราะว่ามีความซื่อสัตย์ภักดีบางอย่างที่ทำให้เขาปิดปากเงียบ
ผมใช้วิธีเล่นนอกกระดานในการหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อเข้าหาเขาและนัดพบกับเขา ลุงค์เก้ในตอนนี้มีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์วิทยาลัยตำรวจรัฐนอร์ดไรน์-เวสต์ฟาเลนและที่ปรึกษาพิเศษด้านพฤติกรรมวิทยาของยูโรโพล(สำนักงานตำรวจสากลยุโรป) — หัวหน้าของหน่วยงานที่ตอนนี้ยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมา
ผมส่งจดหมายไปหาเขา เล่าว่าผมกำลังรวบรวมบทความเกี่ยวกับการโปรไฟล์ลิ่งของยุโรป และเขาก็ตอบรับคำขอของผม การที่เขาจะยอมหรือไม่ยอมเล่าผมเกี่ยวกับจิตใจของฆาตกรต่อเนื่องที่ชื่อกระฉ่อนที่สุดในยุโรปนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะชักจูงให้เขาพูดได้ดีแค่ไหน
———-
ผมพบกับคุณลุงค์เก้ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ที่ๆสำนักงานของยูโรโพลตั้งอยู่ในฤดูร้อนของปี 2001 เมื่อเขาปรากฎตัวที่ห้องของโรงแรม เรดิสัน เอสเอเอส ที่ผมเลือกเป็นสถานที่สัมภาษณ์ เขามีแววตาของสารวัตรผู้ผ่านคดีมามากมายที่บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อในความเป็นนักข่าวของผม, และนั่นจะทำให้ผมไม่มีวันเข้าใจเขาหรือเพื่อนร่วมงานของเขาได้อย่างแท้จริง เขาดูแก่กว่าในรูปที่ผมเห็นในหนังสือพิมพ์หลังจากเหตุการณ์นั้นอย่างเห็นได้ชัด, ผมหงอกเริ่มแซมบนหัวของเขา
– ผมอยากจะเริ่มด้วยเรื่องงานของคุณในปัจจุบัน พวกเขาเล่าว่าคุณกำลังจะสร้างหน่วยโปรไฟล์ลิ่งให้กับทางยูโรโพล
“แผนกพฤติกรรมวิทยาของ FBI อยากให้ยูโรโพลทำตามแนวทางของพวกเขา; พวกเขาเสนอความร่วมมือดีๆให้ แต่พวกเราตำรวจยุโรปเชื่อว่าเราต้องการโปรไฟล์ลิ่งที่มีรากฐานจากแนวทางชีวิตของพวกเราเอง ดังนั้นแล้วทางยูโรโพลเลยมาหาผม ข้อเสนอนั้นใจกว้างมาก และผมคิดว่ามันเป็นงานที่คุ้มค่าคุ้มเวลา”
หลังจากถูกกดดันจากสารวัตรลุงค์เก้ที่ฟื้นคืนชีพและแพ้การเลือกตั้ง โบลต์ซมันน์ถูกสอบสวนโดยตำรวจภายใต้ข้อหายักยอกค่าลิขสิทธิ์อัตชีวประวัติของเขาและค่าปราศรัยสำหรับกองทุนทางการเมืองหนังสือพิมพ์ล้วนแต่ระบุว่าเขาจะถูกดำเนินคดีในศาล
– ทำไมยุโรปถึงต้องการ “โปรไฟล์ลิ่งฉบับยุโรป” ด้วยล่ะ?
“ชาวอเมริกันคิดว่าวัฒนธรรมของพวกเขากับของยุโรปนั้นเหมือนกัน แต่เราไม่คิดอย่างนั้น… แค่นั้นเลย”
– คุณช่วยอธิบายความหมายของโปรไฟล์ลิ่งแบบชัดเจนหน่อยได้ไหม?
“ถ้าจะให้เข้าใจง่าย โปร์ไฟล์ลิ่งคือวิธีสืบสวนรูปแบบหนึ่งที่คนๆหนึ่งจะเข้าไปในจิตใจของอาชญากร เพื่อที่จะคาดเดาว่าเขาหรือเธอจะทำอะไรต่อไปและเมื่อไหร่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือคุณวาดตัวตนของอาชญากรขึ้นมา… ด้วยการใช้ลักษณะเฉพาะของสิ่งที่หลงเหลือจากสถานที่เกิดเหตุ เราจะระบุนิสัย, ไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล, ทัศนคติที่ถูกซ่อนไว้, และสำคัญที่สุดคือตัวตนที่แท้จริงของอาชญากร… คุณจะพบว่ามันมีความสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดในแต่ละคดีของอาชญากรคนเดียวกัน”
– มันเป็นวิธีที่ปรากฎอยู่ในหนังหรือหนังสืออยู่ค่อนข้างบ่อยนะ
“แต่หนังและหนังสือพวกนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนที่จำเป็นในการสร้างโปรไฟล์จริงๆออกมา ตำรวจในความเป็นจริงต้องฝึกฝนการใช้วิธีนี้, ไปพบกับผู้กระทำผิดรูปแบบเดียวกันบางครั้งก็ถามความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ, วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา, และบางครั้งก็หันไปให้วิทยาศาสตร์ช่วยเหลือ”
– แล้วคุณคิดว่าแรงจูงใจของอาชญากรและวิธีการของตำรวจในอเมริกากับในยุโรปแตกต่างกันอย่างละเอียดไหม?
“ใช่ ดังนั้นเราเลยต้องมีวิธีการโปรไฟล์ลิ่งของเราเอง เราไม่มีทะเลทรายเหมือนที่รัฐแอริโซน่ามี และเราไม่มีแกรนด์แคนยอน บ้านของเราส่วนมากแล้วสร้างจากอิฐและหิน ไม่ใช่ไม้ พวกเรามีเมืองจำนวนมากที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีและตึกระฟ้าเพียงน้อยนิด เราไม่ทึกทักไปเองว่าทุกคนพูดภาษาอังกฤษและเราไม่กินแฮมเบอร์เกอร์มากขนาดนั้น เรานิยมฟุตบอลมากกว่าเบสบอล และที่สำคัญที่สุด เราไม่ได้เชื่อว่าเราเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้… และเหล่าฆาตกรต่อเนื่องของยุโรปก็เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมแบบนี้มากกว่าของอเมริกา”
– แต่ในทางปฏิบัติแล้ว FBI นั้นก้าวหน้ากว่ามากในสาขาวิชานี้หนิ?
“ช่างน่าเสียดาย แต่พวกเขาเป็นผู้ริเริ่มมัน แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ FBI จะก่อตั้งหน่วยงานด้านพฤติกรรมวิทยาของตัวเองขึ้นมา มันก็เป็นทางกองทัพสหรัฐเองที่เป็นหน่วยงานแรกที่นำวิธีโปรไฟล์ลิ่งไปใช้งานได้สำเร็จ พวกเขาสังเกตเห็นว่าจิตแพทย์สามารถคาดเดาลักษณะนิสัยของเหล่าอาชญากรได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาเลยหันความสนใจไปที่การทำนายอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ว่ากองทัพสหรัฐ… หรือถ้าจะให้เจาะจงก็คือสำนักบริการด้านยุทธศาสตร์ ได้ว่าจ้างให้จิตแพทย์ชื่อ วิลเลียม แลงเกอร์สร้างโปรไฟล์แรกของโลกขึ้นมาโดยใช้กับชาวยุโรปคนหนึ่ง… อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”
———-
– ทีนี้ผมจะเจาะจงคำถามไปอีกหน่อย ทำไมฆาตกรบางคนถึงฆ่าเพื่อความปิติของตัวเอง? ผมเข้าใจได้นะว่าผู้คนฆ่ากันเพราะความเกลียดชังหรือเพราะแก้แค้น, ฆ่าเพราะอยากขโมยของมีค่า หรือในบางกรณีก็ถึงขั้นฆ่าเพื่อได้มาซึ่งอาหาร แต่การฆ่าคนที่ไม่รู้จักเลยเพื่อความพิสมัย… ผมไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ
“มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ คุณแค่ยังพยายามไม่มากพอ… ฆาตกรที่ฆ่าไม่เลือกและฆาตกรที่ฆ่าเพราะความต้องการทางเพศนั้นปกติแล้วมักจะพบเจอประสบการณ์เลวร้ายในช่วงวัยเด็ก ส่วนมากคือการถูกทารุณด้วยน้ำมือของผู้ปกครองหรือผู้ที่เป็นเสมือนพ่อแม่”
“บ่อยครั้งแล้ว พวกเขาจะเติบโตไปทำแบบเดียวกันกับที่พ่อแม่เขาเคยทำ… พวกนี้คือสิ่งที่คนส่วนมากจะเข้าใจได้ คุณบอกว่าคุณเข้าใจคนที่ฆ่าเพราะเกลียด เหล่าคนที่ฆ่าเพราะความปิติก็ทำการฆ่าด้วยความเกลียดชังพ่อแม่หรือคนที่ทำร้ายพวกเขานั่นแหละ เพียงแต่ว่าในกรณีพวกนี้ เป้าหมายของความโกรธเกลียดของเขาจะเป็นมากกว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง; มันจะขยายไปถึงผู้หญิงทุกคน, หรือเด็กทุกคน, หรือพวกรักร่วมเพศทุกคน”
– นั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้ายโดยผู้หญิง, หรือเด็กๆ, หรือพวกรักร่วมเพศ ทำไมพวกเขาถึงหันความเกลียดชังไปใส่ผู้คนเหล่านี้แทนที่จะเป็นคนที่ทำร้ายเขาจริงๆล่ะ?
“ความโกรธคือรูปแบบของความต้องการจะควบคุมใครบางคนที่ผิดเพี้ยนไป พวกเขายอมแพ้ต่อความโกรธของตัวเอง,เพื่อที่จะควบคุมใครบางคน พวกเขาไม่ต้องการจะแก้แค้นคนที่ทำร้ายเขาหรอก พวกเขาอยากบังคับให้คนอื่นรับรู้ความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เขาได้รับ, เขาอยากจะกุมโชคชะตาของใครบางคนไว้ในมือ, เขาอยากจะรู้สึกถึงความสุขและความปิติต่างหาก ความตื่นเต้นทางเพศก็ผูกมัดอยู่ในสิ่งเหล่านี้… และอาชญากรรมพวกนี้ส่วนมากก็กลายเป็นอาชญากรรมทางเพศ”
– แต่เดี๋ยวก่อน คุณจะบอกว่ามันคือการรวมกันของความเกลียด, ความต้องการที่จะควบคุม และความปั่นป่วนทางเพศน่ะเหรอที่สร้างฆาตกรทางเพศที่ฆ่าตามอำเภอใจขึ้นมาน่ะ?
“ใช่แล้ว มันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่หลายๆครั้ง การทำร้ายที่เหล่าฆาตกรที่ฆ่าเพื่อความปิติได้รับก็คือเรื่องทางเพศ… ในวัยเด็ก, คนเหล่านี้ถูกควบคุมและใช้โดยคนที่ทำร้ายพวกเขาเหมือนกับสิ่งของ แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่, พวกเขาก็ไม่สามารถมองคนอื่นๆเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกันกับเขา… ความเจ็บปวด, ความทรมาน, ความอับอาย, ความเศร้า, ความกลัว พวกเขาเห็นเพียงแต่สัตว์ เหมือนกับหนูตะเภาในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดที่จะกดสัตว์พวกนี้ให้เชื่อฟังก็คือเซ็กซ์”
– ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?
“จุดสุดยอดในเซ็กซ์นั้นสร้างภาพลวงตาในทันทีว่าคุณกำลังดูถูกตัวเองจากจุดที่เหนือกว่า ว่าคุณเป็นผู้ควบคุมบงการชีวิตของคุณเอง… มันทำให้คุณรู้สึกราวกับคุณเป็นพระเจ้า คนที่มาถึงยังจุดนี้นั้นจะสามารถเชื่อได้ว่าพวกเขาควบคุมเหยื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ”
– แล้วมันเปลี่ยนไปเป็นการฆ่าได้ยังไง? เมื่อเป้าหมายของเซ็กซ์สำเร็จแล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าแล้วจริงไหมครับ?
“การควบคุมคนคือการยัดเอามายาของตนเองไปใส่ผู้อื่น ทุกๆคนมีความคิดพิสดารเกี่ยวกับเซ็กซ์ที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ มายาภาพหลอนและความพิสดารของฆาตกรเหล่านี้นั้นบิดเบี้ยวและโหดร้ายอย่างมาก”
– ดังนั้นแล้วการกระทำเพื่อสืบพันธุ์เลยกลายเป็นตรงกันข้าม การฆ่า…
“มนุษย์มีการกำหนดให้การกระทำที่ก่อกำเนิดความปิติเป็นเรื่องต้องห้าม และผมเชื่อว่าพวกการกระทำที่ผู้คนกำหนดให้เป็นข้อห้ามนั้นเป็น… เหมือนกับพิธีกรรมบางอย่าง… ที่มอบภาพหลอนของพลังอันเหนือมนุษย์… ที่สามารถควบคุมคนผู้นั้นและผู้อื่นได้อย่างเบ็ดเสร็จ… เพื่อที่จะเข้าใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้น อย่างแรกคือเซ็กซ์ ถัดมาคือยาเสพติด… คุณคิดว่าอะไรคืออย่างสุดท้ายกันล่ะฮึ?”
– (เงียบ)
“เรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สามารถกระทำได้… คือการฆ่า”
– ผมเข้าใจนะที่คนที่ถูกทารุณกรรมทางกายหรือทางเพศมีโอกาสที่จะกลายเป็นฆาตกร แต่มันมีคนอีกมากที่พบเจอประสบการณ์แบบเดียวกันแต่เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ, และมีฆาตกรบางคนที่แทบไม่ได้โดนทารุณกรรมเลย คุณคิดยังไงกับเรื่องพวกนี้?
“เรื่องนั้น คุณต้องเข้าใจถึงทั้งสองด้านของมนุษย์ อย่างแรก, วิธีการของการทารุณกรรม ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเป็นความรุนแรงหรือเรื่องทางเพศ พ่อและแม่ละเลยลูกของตัวเอง ปฏิเสธฝันของลูก, ดุด่าลูกเพราะทำตัวโง่ หรือใช้ตรรกะของผู้ใหญ่ในการพูดคุยกับเด็กก็เป็นส่วนหนึ่งของการทารุณกรรม การปฏิเสธลูกโดยการไม่ให้การสนับสนุนหรือคำชมเชยเป็นหนทางที่ง่ายที่ทำให้เด็กคนนั้นเชื่อว่าชีวิตของเขานั้นไม่มีค่า แม้แต่เด็กที่ได้รับคำชื่นชมเพียงเล็กน้อยก็มีโอกาสที่จะมีพรสวรรค์ในเรื่องหนึ่งได้ และเด็กๆที่ได้รับกำลังใจตลอดก็จะรู้สึกถึงความกล้า, ประสบความสำเร็จ และเป็นบุคคลที่จะนำพาสังคมได้ เพราะว่าพวกเขาไม่คิดว่าตัวเองไร้ค่า พวกเขาไม่ต้องกำหมัดและต่อสู้กับโชคชะตาหรือโลกใบนี้… ”
“ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจแล้วว่าฆาตกรที่ฆ่าเพื่อปิติของตัวเองและฆาตกรที่ฆ่าไม่เลือกต่างก็หันหน้าเข้าหาความโกรธและฆ่าผู้อื่นเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขานั้นไม่ถูกรักจากพระเจ้า, โชคชะตา หรือว่าสังคม เพื่อที่จะสู้กลับกับศัตรูที่ไม่อาจมองเห็น, มันเลยต้องมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันเป็นอย่างเดียวกับการเตือนโชคชะตาว่า ‘อย่ามายุ่งกับฉันนะ’ “
– แล้วอีกด้านหนึ่งล่ะ?
“สิ่งที่ผมเพิ่งอธิบายคือผลจากตัวแปรภายนอกที่มีต่อคนๆหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของสมการคือความทะเยอทะยานและความฝันที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวของมนุษย์ทุกคน มันอาจจะดูน่าถกเถียงหน่อย แต่ผมคิดว่าเหล่าฆาตกรที่น่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือเหล่าคนที่ล้มเหลวที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีได้นี่เอง”
“ผู้ที่จารึกชื่อของตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่หรือการก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายก็เปรียบเสมือนฝาแฝดที่อาศัยอยู่คนละซีกโลก พวกเขามีสิ่งที่เหมือนกัน… เหล่าคนที่ทำการฆาตกรรมที่คาดไม่ถึงและเหล่าคนที่บรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่างก็มีจินตนาการ ความฝัน และความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อยู่ในหัวใจของพวกเขา และเพราะพวกเขาทั้งคู่แบกรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไว้ในตัว, พวกเขาเลยไม่มีทางจะพึงพอใจได้เลย และพวกเขาจะไม่ยอมแพ้จนกว่าพวกเขาจะเห็นความฝันของตัวเองเป็นจริง ยิ่งความหวังและความปรารถนาในตัวยิ่งใหญ่แค่ไหน โอกาสที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หรือเป็นฆาตกรผู้โหดร้ายก็จะมากขึ้นเท่านั้น”
“สิทธิที่จะมีความฝันนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวของเรามาตั้งแต่เกิด, แต่การที่คนๆหนึ่งจะทำให้ความปรารถนาเหล่านั้นเบ่งบานได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของบุคคลนั้น มันขึ้นอยู่กับการที่ใครบางคนบอกคุณว่าคุณสมควรที่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่”
– คุณคิดว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เข้าข่ายฆาตกรรูปแบบนี้ไหม?
“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ไม่ใช่ฆาตกรที่จะฆ่าเพื่อความปิติส่วนตัว แต่ผมเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหมือนกัน เขาคงจะใช้ชีวิตในวัยเด็กโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ถ้าเขาสามารถบรรลุความหวังตอนเป็นผู้ใหญ่, เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะและประสบความสำเร็จได้ในฐานะศิลปิน เขาคงไม่คิดอยากจะเป็นฟือห์เรอร์ [ท่านผู้นำ] แต่ ณ จุดนี้ในชีวิตของเขา เขายังไม่ได้รับการยอมรับจากใครทั้งนั้น เขาโกรธแค้นโชคชะตาที่ปฏิเสธที่จะทำให้เขาเป็นคนพิเศษ เขาสาบานว่าจะแก้แค้นพระเจ้า”
– แต่ถึงนั่นจะเป็นความจริง เขาก็ดูไม่เหมือนกับฆาตกรทางเพศเท่าไหร่นะ…
“ผู้หญิงที่ฮิตเลอร์มีความสัมพันธ์ด้วยส่วนมากถ้าไม่ฆ่าตัวตายก็พบกับความตายอันแปลกประหลาด… แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เขาดูจะไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นทางเพศที่รุนแรงซักเท่าไหร่”
– ถ้างั้นแล้ว เขาเป็นฆาตกรแบบไหนกันล่ะ?
“เขาเป็นฆาตกรไม่มากเท่ากับที่เขาเป็นนักล้างสมอง เขาจะใช้คนอื่นให้ฆ่าเพื่อเขา… ฮิตเลอร์มีพรสวรรค์ที่จะแทรกซึมไปในจิตใจของผู้อื่นแล้วควบคุมตามที่เขาเห็นสมควร ด้วยพลังนี้ เรื่องต้องห้ามทั้งสามที่ผมพูดถึงเมื่อครู่นี้ — เซ็กซ์ ยาเสพติด และการฆ่า — กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปทันที เขามีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าแล้ว ณ จุดๆนั้น”
– คุณหมายถึงอะไรกัน?
“การควบคุมผู้อื่นแบบเบ็ดเสร็จคือการควบคุมที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้วจริงไหม? ตัวของมันเองนั้นคือพลังอำนาจของพระเจ้า”
– คุณดูเหมือนมีความรู้มากเกี่ยวกับฆาตกรพวกนี้ — ผมหมายถึง นักล้างสมองน่ะ
———-
เมื่อถึงจุดนี้ ผมจำได้ว่าผมสังเกตเห็นนิ้วของลุงค์เก้เริ่มที่จะเคาะโต๊ะราวกับเขากำลังกดเปียโนหรือเครื่องพิมพ์ดีดอยู่ เขายิ้มให้ผมราวกับกำลังมองนักเรียนผู้เงอะงะและพูดออกมา
“ผมคิดว่าในที่สุดเราก็มาถึงเรื่องหลักจริงๆแล้วสินะ คุณเวเบอร์”
ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่าผมกำลังค่อยๆชักนำการสนทนาไปยังเรื่องของโยฮันอย่างดีและเป็นธรรมชาติแล้ว ผมเชื่อว่าผมกำลังจะไปถึงเป้าหมายจริงๆของการสัมภาษณ์ครั้งนี้
ระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบเขาอย่างไร เขาก็พูดว่า “วันที่ 14 พฤศจิกายนของปีที่แล้ว ในซัลทซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย แพทย์เวร, พยาบาล, และแผนกต้อนรับของคลีนิคฉุกเฉินโรงพยาบาลเซนต์อูร์ซูล่าถูกฆาตกรรมในคืนนั้น ชายที่ฆ่าพวกเขาฆ่าตัวตายในที่เกิดเหตุ… กุสตาฟ คอทมันน์ เขากำลังเป็นที่ต้องการตัวในข้อหาฆาตกรรมคู่รักเจ็ดคู่แถวเวียนนาด้วยขวาน แปดวันก่อนเหตุการณ์นี้ ชายแก่คนหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยของเมืองถูกฆ่าในสภาพที่เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย ชื่อของชายคนนั้นคือมอลเค่อ… แต่ต่อมาก็พบว่านั่นเป็นชื่อปลอมและชื่อจริงของเขาคือ ยาโรสลาฟ ชาเร็ค — ข้าราชการคนสำคัญของอดีตรัฐบาลเชกโกสโลวาเกียที่ตอนนี้เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจอเมริกา, อังกฤษ และเช็ก”
“ในคืนที่คาดว่าเขาถูกฆ่านั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่โรงพยาบาลเซนต์อูร์ซูล่าตอนกลางดึกเพื่อที่จะให้ช่วยรักษาแผลกระสุนปืนที่แขนจากการที่เขาทำปืนที่พกไว้ป้องกันตัวลั่น แพทย์ที่ดูแลอยู่ได้แจ้งตำรวจเรื่องอาการบาดเจ็บของเขา แต่ชายคนนั้นหายตัวไป เมื่อต่อมาทางตำรวจได้หาความเชื่อมโยงระหว่างชายคนนี้กับชาเร็คโดยการถามว่ามีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในโรงพยาบาลหรือไม่ พวกเขาก็ตกใจที่พยานเหล่านี้คือกลุ่มคนเดียวกับที่ถูกฆ่าโดยมือขวาน”
เขาหยุดพูดและมองมาที่ผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยและราวกับได้รับชัยชนะ
“ตำรวจของออสเตรียคิดว่าการที่พยานทั้งหมดถูกฆ่านั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่คุณไม่เชื่ออย่างนั้น แต่ความเชื่อมโยงแบบไหนกันล่ะที่มีระหว่างชายที่น่าจะฆ่าเพื่อเงินกับชายที่ฆ่าเพื่อความปิติของเขาเอง? ทำไมนายคอทมันน์มือขวานถึงได้ฆ่าเพียงแค่พยานสามคนนี้แล้วฆ่าตัวตาย…?”
“คุณพูดถูกทุกอย่างเลย” ผมยอมรับ
คุณลุงค์เก้เริ่มเคาะนิ้วเร็วขึ้นอีกและเริ่มพูดต่อ
“คุณเริ่มสงสัยว่ามีอะไรที่เหมือนกับเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีตบ้างไหม และคุณก็พบคำตอบทันที ใช่, คดีของโยฮันในปี 1998, ในเยอรมนี”
“ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นจุดศูนย์กลางของการสืบสวนคดีโยฮัน แต่คุณก็หลบเลี่ยงการให้ความเห็นมาได้ บางทีคุณคงจะปิดปากเงียบเพราะเห็นแก่ชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากคดีนี้หรือบางทีมันอาจจะมีความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ที่น่าตกใจเกินกว่าจะเปิดเผยมาได้… ดังน้ัน นี่เลยเป็นวิธีเดียวที่ผมมีเพื่อที่จะเข้าหาคุณ” ผมอธิบายพร้อมถอนหายใจ ซึ่งทำเขาทำหน้าราวกับเขากำลังโดนดูถูกอยู่ แต่คำพูดที่ออกมาหลังจากนั้นทำให้ผมประหลาดใจ
“เหตุผลที่ผมไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับคดีของโยฮันไม่ใช่เพราะความเห็นใจหรือความลับอะไร แต่เพราะผมพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงให้กับคดีนี้ ตรงข้ามกับสิ่งที่ทั้งโลกพูด ถ้าผมไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางของการสืบสวน ผมคงไม่สามารถไขคดีนี้ได้ ผมก็งงงวยและถูกหลอกเหมือนคนอื่นๆให้กับภาพเหมือนที่ชายที่ชื่อโยฮันนั้นกำลังวาดอยู่”
คำพูดหลังจากนั้นทำให้ผมประหลาดใจขึ้นอีก
“โอเค ผมจะตอบคำถามคุณเกี่ยวกับเรื่องของโยฮัน ด้วยการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลของคดีในออสเตรียน่ะนะ”
ผมบอกเขาเกี่ยวกับทุกๆอย่างที่ผมรู้เกียวกับคดีฆาตกรรมของคอทมันน์ที่โรงพยาบาล, ชีวิตของคอทมันน์, ร่างของชายแก่ปริศนาจากสาธารณรัฐเช็กและสิ่งที่ใช้เพื่อปลอมแปลงและรวมถึงชายที่แวะมายังโรงพยาบาลไม่นานหลังจากชายแก่เสียชีวิต — รวมถึงข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยในสื่อ คุณลุงค์เก้นั่งฟังเรื่องราวของผมอย่างเงียบๆ และตลอดช่วงเวลานั้น นิ้วของเขาก็เคาะไปที่คีย์บอร์ดในจินตนาการอย่างไม่หยุด
เมื่อผมพูดจบแล้ว เขาก็ให้สัมภาษณ์ต่อตามที่เขาสัญญาไว้ เรื่องราวของโยฮัน…