Another Monster - ตอนที่ 14 คาเรล รังเก้
บทที่ 14: Karel Ranke
(กรกฎาคม ปี 2001; ปราก)
คาเรล รังเก้คืออดีตผู้บัญชาการของหน่วยตำรวจลับ เขาถูกจำคุกช่วงหนึ่งหลังจากการปฏิวัติกำมะหยี่ แต่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากผ่านไปแค่หกเดือน เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้องมีข้อตกลงลับทางการเมืองสุดซับซ้อนบางอย่างอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ มีคำบอกเล่าว่ารังเก้เป็นคนหลักแหลมอย่างมากแม้ในหมู่ระดับสูงของหน่วยตำรวจลับด้วยกันเองและเขายังรู้ความลับน่าสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับผู้นำของรัฐบาลชุดใหม่ที่พวกเขาพยายามจะปกปิดเอาไว้ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบอบใหม่ได้ รังเก้ย้ายไปทำงานใต้ดินพร้อมๆกับตำรวจลับที่ยังเหลืออยู่และทำงานที่คนส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นงานของมาเฟีย
ข้อความด้านบนที่ได้กล่าวมานี้คือประวัติของคาเรล รังเก้ที่นักสืบซุคให้ผมมา แต่จากการสืบสวนเองของผมพบว่าไม่มีพวกระดับสูงของตำรวจลับที่ชื่อคาเรล รังเก้อยู่ในโลกนี้ เมื่อผมพูดเรื่องนี้กับนักสืบซุค, เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่ชื่อจริงๆอยู่แล้วเพราะเขาต้องเสี่ยงภัยอันตรายอยู่ตลอด ดังนั้นมันจะต้องเป็นชื่อปลอม
หากแต่มองจากอีกมุมหนึ่ง มีข่าวลือมายาวนานว่าอดีตผู้พันรังเก้มีตลาดมืดของยุโรปตะวันออกอยู่ในกำมือและใช้เงินนั้นในธุรกิจสีขาวเพื่อซื้อบริษัทหลายบริษัททำให้เขามีอำนาจเกือบเทียบเท่ารัฐมนตรีทีเดียว บางคนกล่าวว่าเขาสามารถเปิดเผยตัวต่อสาธารณชนตอนใดก็ได้ภายใต้ชื่อจริงๆที่มีมาแต่กำเนิดของเขา
———-
แต่วิธีการในการพบคุณรังเก้บอกผมว่าเขายังคงเป็นชายผู้อาศัยในโลกใต้ดินอยู่ หลังจากขึ้นไปบนรถสีดำที่มาหาที่โรงแรมผมก็ถูกบังคับปิดตาและต้องนั่งรถแบบเสียวสันหลังไปหลายนาทีก่อนที่ผมจะมาลงเอยอยู่ที่ห้องส่วนตัวในภัตตาคารไม่ทราบชื่อ
รังเก้เป็นชายที่น่าเกรงขามผู้มีแสงเย็นยะเยือกในดวงตาลึกของเขา ระหว่างที่ผมกำลังสับสนที่จู่ๆก็ได้การมองเห็นกลับคืนมา เขาก็จ้องผมอย่างหนักแน่นจากอีกฟากของโต๊ะพร้อมกับประสานมือไว้ เขาใส่สูทสีดำกับเน็คไท ส่วนร่างกายที่ดูแน่นก็บ่งบอกถึงภูมิหลังการเป็นทหารของเขา
“ฉันขอโทษถ้าฉันทำให้นายตกใจหรือสับสน เสียใจที่ต้องบอกว่าช่วงนี้สถานการณ์ส่วนตัวของฉันค่อนข้างมีปัญหา ผ้าปิดตานั่นก็เพื่อความปลอดภัยของนาย นายก็รู้” รังเก้ยิ้มให้ผมด้วยดวงตานั้นที่ยังคงประกายหยาบกร้านไว้
“มีนักข่าวน้อยมากที่บ้าพอจะมาขอสัมภาษณ์ฉัน และคนพวกนั้นทุกคนก็เป็นเยอรมัน ฉันสังเกตเห็นว่านายเป็นลูกหลานของคนจากดินแดนป่าเถื่อนเพื่อนบ้านของเราที่ปกครองเรามานานนับร้อยปีแน่นอน… คนแรกที่มาคุยกับฉันเป็นนักเขียนของหนังสือพิมพ์เยอรมันสาขาเช็กเจ้าหนึ่ง บทความของเขาคือสาเหตุที่ทำให้ฉันพบกับดร.เทนมะ และต่อมาก็ได้คุยกับกริมเมอร์ที่เป็นนักข่าวอิสระ แต่สิ่งที่กริมเมอร์ได้ยินจากฉันนั้นเป็นเรื่องไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินว่ากริมเมอร์เคยสัมภาษณ์รังเก้ สิ่งที่ผมเคยได้ยินคือทั้งกริมเมอร์และเทนมะพบกับรังเก้และโน้มน้าวไม่ให้เขาขายเทปที่มีข้อมูลของโยฮันให้กับผู้ว่าจ้างชาวเยอรมันซักคน… ผมเคยได้ยินข่าวลือที่ว่ากริมเมอร์ทิ้งบันทึกที่มีความจริงที่ไม่เคยถูกเปิดเผยเกี่ยวกับคดีของโยฮันที่เขาค้นพบด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน มันน่าจะมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างบันทึกนั้นของเขากับการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นที่ไม่เคยถูกเปิดเผยออกมา แต่กริมเมอร์จะถามรังเก้ว่าอะไรกัน และรังเก้จะตอบเขาไปว่ายังไง…?
———-
– ผมจะเริ่มจากคำถามเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมตำรวจที่เกิดขึ้นในปรากนะครับ มีการบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มเมื่อชาวเยอรมันคนนึงต้องการข้อมูลวิจัยของไรน์ฮาร์ท เบียร์มันน์จากคุณ,โดยเฉพาะเทปเสียงตอนโยฮันถูกสะกดจิตตอนอยู่ที่ 511 คินเดอร์ไฮม์และโยฮันก็ขัดขวางความพยายามของคุณ
“มันก็แค่ธุรกิจ สหายชาวเยอรมันคนนั้นพร้อมจ่ายเงินจำนวนมาก ธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว”
– ใครคือสหายชาวเยอรมันคนนั้นครับ เด็กทารกงั้นเหรอ? หรือนายพลวูลฟ์?
“ฉันขอไม่ตอบแล้วกัน”
– โอเคครับ งั้นคุณคิดยังไงตอนได้ยินเทปนั่น?
“เสียงของโยฮันน่ะเหรอ? หรือสิ่งที่เขาพูด? …ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากเลิกยุ่งกับงานนี้”
– ช่วยเล่าให้ผมทีว่างานของคุณในสมัยที่เป็นตำรวจลับเป็นยังไงบ้าง?
“ทางเทคนิคเราเป็นตำรวจรักษาความปลอดภัยของรัฐ… ฉันหวังว่าอย่างน้อยที่สุดนายจะเรียกพวกเราว่าตำรวจดูแลความสงบภายใน คำว่า”ตำรวจลับ”ฟังดูชั่วร้ายเกินไป ฉันออกนอกเรื่องไป… งานของฉันคือหาตัวและจัดการผู้เห็นต่าง, รีดข้อมูลและบิดเบือนข่าวสาร ฉันรู้ว่าระบอบนี้ซักวันก็ต้องล่มสลาย แต่มันคืองานของฉันและเพราะอย่างนั้นฉันเลยทำมัน”
– ทำไมคุณถึงทำเรื่อง”ไร้มนุษยธรรม”พวกนี้ถ้าคุณรู้ว่าระบอบมันจะล่มสลายอยู่ดี?
“ฟังฉันนะ ฉันเป็นคนที่เชื่อมั่นในคอมมิวนิสต์อย่างสุดหัวใจ ฉันทำสิ่งพวกนี้เพราะฉันรักประเทศนี้ ฉันภูมิใจกับมัน แต่เศรษฐกิจกำลังพังทลายและคนผู้มีอำนาจก็โกงกินกัน มันก็ชัดเจนว่าทุนนิยมและเสรีนิยมจะเป็นผู้ชนะในตอนท้าย แต่ฉันก็ยังต้องปกป้องระบอบอยู่ดี ฉันแค่หลับตาให้กับสิ่งไม่น่าดู นั่นคือคำตอบของฉัน”
– ฟรานซ์ โบนาพาร์ต้าจะรู้สึกแบบเดียวกันกับคุณหรือเปล่า? คุณคิดว่าเขาเป็นพวกรักชาติเหมือนคุณมั้ย?
“ฉันไม่เคยพูดคุยกับเขาเพราะฉะนั้นฉันไม่รู้ ส่วนที่ถามว่าเขาเป็นพวกรักชาติหรือเปล่า, ฉันไม่คิดว่าอย่างนั้น เขาอยากจะควบคุมผู้คนจากด้านบนเหมือนกับว่าเขานั้นคือพระเจ้า”
– คุณรู้เรื่องยศของเขา, หรือผมควรพูดว่า, ตำแหน่งของเขาภายในระบอบนี้ได้ยังไง?
“เขาถูกปกป้องรอบด้านโดยสมาชิกพรรค, กองทัพ, กระทรวงมหาดไทยและตำรวจลับ เขาได้รับการดูแลเป็นพิเศษถึงแม้จะเป็นแค่ผู้หมวดในหน่วยตำรวจลับก็ตาม มีเงินทุนหล่อเลี้ยงเขาตลอดเวลาและเขามีเส้นสายเยอะมากในเยอรมนีตะวันออก… งานวิจัยการปรับเปลี่ยนตัวตนและบุคลิกของเขาเริ่มขึ้นในเยอรมนีตะวันออกแทบจะเวลาเดียวกับในเชกโกสโลวาเกีย… ช่วงต้นยุค 60 เหตุผลว่าทำไมการทดลองที่ 511 คินเดอร์ไฮม์ถึงค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับโครงการเล็กๆที่คฤหาสน์กุหลาบแดงนั่นก็เพราะมันเป็นเป้าหมายระดับชาติสำหรับรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“แต่ก็เป็นเวลานานกว่าฉันจะรู้ว่า 511 คินเดอร์ไฮม์และคฤหาสน์กุหลาบแดงต่างก็มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีเดียวกัน เมื่อโบนาพาร์ต้าเริ่มรวบรวมฐานอำนาจในช่วงกลางยุค 70, ฉันก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนจริงๆของเขา ฉันเริ่มสืบประวัติและรวบรวมข้อมูลเพื่อจะหาจุดอ่อนจนกระทั่งฉันตัดสินใจกลางทางว่าฉันไม่ควรไปยุ่งกับเขา มันเริ่มจะชัดเจนแล้วว่าถ้าฉันยังคิดไปต่อ, ฉันจะถูกลบให้หายไป หลังจากนั้น, ฉันก็แค่มองไปทางอื่น ฉันผลักเรื่องนี้ไปจากสมองและพยายามไม่นึกถึงมันอีกเลย ฉันขอยอมรับ ฉันก็กลัวเขาเหมือนกัน”
– คุณคิดว่าโบนาพาร์ต้ามีอำนาจขนาดนั้นได้ยังไงกัน?
“เหมือนที่ฉันพูดเมื่อกี้ ทางเลือกของเราคือการต่อชีวิตระบอบนี้ออกไป โดยเฉพาะในปี 1977 ที่วาทสลัฟ ฮาเวลกับกฎบัตร 77 ที่เป็นกลุ่มต่อต้านของเขาเริ่มการต่อต้าน ตอนนั้นรัฐบาลใกล้จะถูกโค่นล้มเต็มที แม้กระทั่งหลังจากที่เราจับฮาเวลขังคุก พวกปลุกระดมคนอื่นๆอย่างมาร์ทา คูบิโชวาก็ผุดออกมาเรื่อยๆ มันเหมือนกับเป็นเกมตีตุ่น แล้วลองจินตนาการว่าจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับพลังวิเศษที่จะเปลี่ยนตัวตนของผู้คนและสิ่งที่พวกเขาคิดดูสิ และแน่นอนนายคงจินตนาการได้ว่าพวกระดับสูงจะกระโจนใส่ข้อเสนอนั้นของเขายังไง โครงการเล็กๆของสมาชิกพรรคบางคนที่ค่อยๆพัฒนาตั้งแต่ปี 1965 ได้กลายเป็นโครงการระดับสูงที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอดต่อไปของขั้วอำนาจเก่า”
– ดังนั้นเขาเลยได้รับอนุญาตให้ควบคุมคนอื่นได้ตามที่เขาเห็นสมควร เพื่อการวิจัยของเขา
“ถูกต้อง เป้าหมายจริงๆของงานวิจัยของเขาแตกต่างจากการทำตามเป้าหมายของประเทศทั่วๆไป… ฉันเชื่อว่าเขาอยากจะสร้างมนุษย์ประเภทที่สามารถควบคุมคนอื่นได้ด้วยคำพูด เหมือนกับพระเจ้าหรือมาร แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำตามความต้องการของพรรค, ตำรวจลับและทหารไปด้วย ทั้งหมดที่พวกนั้นต้องทำก็คือปล่อยผู้ที่ทำให้เกิดความไม่สงบไว้กับเขา แล้วเขาจะรีดข้อมูลทั้งหมดที่พวกนั้นต้องการและล้างสมองเหยื่อทดลองคนนั้นด้วย มันเป็นเครื่องมือจัดการพวกนักเคลื่อนไหวเสรีนิยมที่สมบูรณ์แบบ”
– ผมเข้าใจแล้ว และช่วงที่ไม่มีใครสามารถขัดขวางโบนาพาร์ต้าได้อีกก็คือช่วงกลางยุค 70… เวลาเดียวกับการเบ่งบานของกฎบัตร 77 ว่าแต่, เมื่อครู่คุณบอกว่าคุณไปสืบชีวิตส่วนตัวของโบนาพาร์ต้ามา คุณคงจะรู้อะไรบางอย่างก่อนจะถอนตัวแน่ๆใช่มั้ยครับ
“เขาชอบเค้กถั่วแดงและชาดำ เขามีบรรยากาศรอบตัวที่ดูดีและรสนิยมเรื่องเสื้อผ้าก็ดีเช่นกัน… เขามีนามปากกาหลายชื่อในฐานะนักเขียนหนังสือภาพ เขาเป็นจิตแพทย์และศัลยแพทย์สมองรวมไปถึงนักจิตวิทยาด้วย… ชายผู้มีพรสวรรค์หลายอย่าง ฉันตรวจสอบนามปากกาทั้งหมดของเขาทีละชื่อ ในบรรดานามปากกาทั้งหมด เคลาส์ พ็อพเป้ทำให้ฉันเอะใจที่สุด พ็อพเป้ที่เป็นชื่อภาษาเยอรมันนี้เป็นที่รู้จักดีในประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเชกโกสโลวาเกีย โดยเฉพาะชื่อนั้น …นายรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ระหว่างชาวเช็กกับชาวเยอรมันใช่ไหม?”
– รู้ครับ
คุณรังเก้บอกว่าหลังจากที่เขาถูกปล่อยตัว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าร่วมด้านมืดเบื้องล่างของสังคม การพัฒนาของตำรวจลับของอดีตประเทศในสหภาพโซเวียตไปเป็นองค์กรอาชญกรรมนั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรปและเอเชีย
“เกือบทั้งหมด… หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวซูเดเต็นเยอรมันเกือบทั้งหมดถูกขับไล่ ชาวเยอรมันคนใดก็ตามที่ยังอยากอาศัยอยู่ในเช็กต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อภาษาเช็กเพื่อซ่อนตัวในฝูงชน ผู้อพยพชาวเยอรมันหลายคนที่ยังเหลืออยู่ได้ใช้ชื่อที่ดูเป็นภาษาเช็กและหยุดพูดภาษาเยอรมันไปช่วงหนึ่ง แต่มันก็มีบางส่วน,ส่วนน้อยมากที่ยังคงเผยมรดกความเป็นเยอรมันอย่างภาคภูมิ ในช่วงสงครามพวกเขาป่าวประกาศการต่อต้านนาซีและเอกราชของชาวสลาฟ; พวกนักเคลื่อนไหวแปลกประหลาดที่สนับสนุนชาวเช็ก และก็มีพวกศรัทธาแรงกล้าในคอมมิวนิสต์ที่อยากเข้าร่วมกับสหภาพโซเวียต”
“ชาวเช็กเชื้อสายเยอรมันที่ชื่อเทอร์เนอร์ พ็อพเป้เป็นทั้งสองอย่างที่ฉันพูดมา เขาเป็นทั้งพวกต่อต้านนาซี, วีรบุรษผู้ต่อต้านฟาสซิสต์และเป็นคอมมิวนิสต์ และมีคนบอกว่าเขาเป็นมันสมองของพวกก่อความไม่สงบด้วยเช่นกัน ชาวสลาฟจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวเช็กที่ถูกไล่ออกจากเมืองของพวกเขาได้มาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านของชาวซูเดเต็นเยอรมันที่ว่างเปล่าหลังจากถูกขับไล่ แต่ตระกูลพ็อพเป้ยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ที่บ้านเดิมของพวกเขาและมีที่ยืนในสังคม”
“เมื่อสงครามสงบลง, ประเทศนี้ก็ต้องเลือกระหว่างทุนนิยมกับคอมมิวนิสต์ แต่ในช่วงที่มีการทำข้อตกลงมิวนิค, มีแค่สตาลินเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างเชกโกสโลวาเกียเพื่อสู้กับฮิตเลอร์ ประธานาธิบดีเบเนชผู้มีอำนาจในตอนนั้นรู้สึกขอบคุณการสนับสนุนนั้นมาก ดังนั้นเราเลยเลือกเข้าร่วมกับกลุ่มโซเวียตและเรียนรู้ระบบสังคมนิยมที่ไม่คุ้นเคย เทอร์เนอร์ พ็อพเป้มีส่วนช่วยก่อตั้งพรรคทั้งในฐานะอาจารย์และฐานะผู้นำ”
– และเขาก็เป็นที่รู้จักว่าเป็นพ่อของเคลาส์ พ็อพเป้แน่ๆงั้นเหรอครับ?
“ฉันก็บอกนายกริมเมอร์คนนั้นอย่างนี้เหมือนกัน นั่นคือจุดที่ฉันหยุดการสืบสวน ดังนั้นฉันเลยไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกหนึ่งเบาะแสที่น่าเริ่มสืบคือบ้านเกิดของเทอร์เนอร์ พ็อพเป้คือเมืองที่มีชื่อว่า ยาโบลเน็ตซ์ นาด นิโซว ใกล้กับพรมแดนประเทศโปแลนด์”
– เกิดอะไรขึ้นกับเทอร์เนอร์ พ็อพเป้ต่อจากนั้น?
“นายรู้เรื่องการยึดอำนาจของคอมมิวนิสต์ในปี 1948 หรือเปล่า? คณะรัฐมนตรีทั้งหมดลาออกยกเว้นมาซาริคที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ, จากนั้นก็อทวัลด์ที่เป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์ก็ขึ้นมามีอำนาจแทน ประธานาธิบดีเบเนชลาออกและภายในเดือนนั้น มาซาริคที่เป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็เสียชีวิตอย่างน่าสงสัย หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นระบบการปกครองแบบพรรคเดียว ประเทศนี้ถูกบริหารโดยคอมมิวนิสต์ เล่ากันว่าพ็อพเป้เป็นคนวางแผนและดำเนินการเรื่องพวกนี้ทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็หลบหายไปจากสาธารณชน บางคนบอกว่าเขาแพ้เกมการเมืองและหนีไปเยอรมนีตะวันออก; บางคนบอกว่าเขาเลิกกับเมียแล้วถอนตัวจากงานเพราะเรื่องผู้หญิง แต่จริงๆแล้วเขาตายเพราะความเจ็บป่วยที่บ้านเกิดของเขาในโบฮีเมีย แต่มีเรื่องน่าสนใจอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับเขา”
– เรื่องน่าสนใจ?
“มีข่าวลือว่าเขาถูกลูกชายฆ่า… หรืออาจจะถูกผลักดันให้ฆ่าตัวตาย พยาบาลในโรงพยาบาลบอกว่าในคืนก่อนที่เขาจะตาย, เขาดูอิดโรยมากซะจนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครหรือชื่อตัวเองคืออะไร พ็อพเป้อาจจะเป็นวีรบุรุษของชาติภายในพรรคคอมมิวนิสต์ก็จริง แต่ชื่อของเขาถูกลบหายไปจากประวัติศาสตร์ของเช็ก”
– คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโยฮันบ้างมั้ย?
“เขาเป็นคนเช็กนี่ ใช่ไหม? แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรนอกเหนือจากที่รายงานบอกหรอก แต่ก็, ฉันเคยได้ยินเรื่องของอีกงานวิจัยนึงที่โบนาพาร์ต้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มันคือการทดลองที่จะรวมผู้ชายและผู้หญิงชาวเช็กที่ฉลาดและแข็งแรงที่สุดเข้าด้วยกันเพื่อที่จะผลิตสายเลือดสูงส่งของเชกโกสโลวาเกียขึ้นมา ฉันคิดว่าโยฮันกับแฝดของเขาอาจจะเกิดจากสิ่งนี้ก็ได้”
– แต่ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการทดลองที่คุณพูดถึงเมื่อครู่เลย ทำไมคุณถึงคิดว่ามีการทดลองนั้นอยู่จริงๆล่ะครับ?
“ฉันไม่คิดว่าตำรวจลับอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกนะ ฉันมีความรู้สึกว่ากองทัพและส่วนหนึ่งของบริษัทการค้าระดับชาติออมนิโพลเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
– นั่นคงจะเป็นบริษัทที่ต้องสงสัยว่าส่งอาวุธและอาจจะรวมถึงกำลังคนให้กับองค์กรก่อการร้าย
“โบนาพาร์ต้ามีผู้สนับสนุนจากบริษัททุกประเภทแหละ ถ้านายอยากจะรู้มากกว่านี้, ฉันมั่นใจว่ามีกลุ่มคนหลายกลุ่มเลยที่ทำการฟ้องร้องอดีตคณะรัฐบาล ฉันแน่ใจว่าพวกคนจากกฎบัตร 77 คงจะรู้อะไรบางอย่าง ไม่แน่เหยื่อของการทดลองบางคนอาจจะอยู่ในกลุ่มพวกนั้นก็ได้”
———-
รังเก้มองนาฬิกาของเขาแล้วบอกว่าถึงเวลาแล้วและยกเลิกการสัมภาษณ์ทั้งหมดที่เหลือ ผมคิดว่ามันคงเป็นทัศนคติของคนที่เคยชินกับการอยู่ในอำนาจมายาวนาน ก่อนที่ผมจะกลับ, ผมถามเขาว่าเรื่องที่เขาใกล้จะกลับมาปรากฎตัวต่อสาธารณชนนั้นเป็นจริงไหม
“ตราบที่ฉันมีอำนาจ ฉันจะไม่ปรากฎตัวออกไป ถ้าฉันสูญเสียอำนาจไป ฉันก็ปรากฎตัวได้… แต่ฉันจะตาย” เขาจ้องมาที่ผมแล้วพูด
“ยังไงก็ตาม ฉันทำเฉพาะในสิ่งที่ฉันคิดว่ามันเพื่อประโยชน์ของประเทศ ฉันแค่ทำงานของฉัน เวลาที่พูดถึงการกุมชะตาของมนุษย์คนอื่นไว้ในมือ, ฉันไม่เหมือนกับโบนาพาร์ต้า ฉันไม่เคยเพลิดเพลินกับมันซักครั้งเดียว ฉันไม่รู้ว่าฉันจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่… ขอสารภาพว่าฉันเริ่มเหนื่อยกับมันแล้ว เมื่อไหร่กันที่สังคมจะให้อภัยฉัน…? มันเคยมีช่วงเวลาที่ฉันคิดแบบจริงจังว่าถ้าสาธารณรัฐเช็กเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป ความเกลียดแค้นที่มีต่อระบอบเก่าคงจะจางหายไป”
รังเก้ผละมือออกจากกันแล้ววางไว้บนโต๊ะ เขาถอนหายใจเบาๆ “ระบอบของยุโรปตะวันออกวางรั้วไว้ทั่วฝั่งตะวันออก ผลลัพธ์ก็คือวิถีชีวิตและวิธีการให้คุณค่าของเราต่างจากเสรีนิยมของฝ่ายตะวันตกอยู่มาก แล้วคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าอัจฉริยะที่มีความทะเยอทะยานแปลกประหลาดปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่แคบๆภายในรั้วนั่น? พวกเราเหล่าระดับสูงที่ไม่มีพลังของจินตนาการก็จะต้องพึ่งพาพรสวรรค์ของเขาโดยไม่คิดถึงถูกหรือผิดหรือสามัญสำนึก… ไม่ว่าผลลัพธ์ไม่น่ามองแบบไหนจะรอเราอยู่ที่จุดสิ้นสุดของการตัดสินใจนั่นก็ตาม…”
ผมไร้ซึ่งคำพูดจะบรรเทาความเศร้าสุดมืดมิดของรังเก้ วันที่เขาสามารถใช้ชื่อที่เขามีแต่กำเนิดได้อีกครั้งคือวันใดกัน? สิบปีหลังจากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์, บาดแผลนั้นยังคงฝังลึก
ผมถูกปิดตาอีกครั้งและถูกพาตัวไปจากภัตตาคาร