Another Monster - ตอนที่ 10 ล็อตเต้ แฟรงค์
บทที่ 10: Lotte Frank
(มิถุนายน ปี 2001; มิวนิค)
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิวนิค ล็อตเต้ แฟรงค์ ได้เข้าทำงานกับหน่วยงานนักสืบขนาดใหญ่จากทางตอนใต้ของเยอรมันอย่าง Wanz & Wanz แต่ก็ถูกไล่ออกหลังจากผ่านไปหนึ่งปีจากการปะทะกันหลายครั้งกับฝ่ายบริหารในเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน ตอนนี้เธอทำงานในตำแหน่งเล็กๆให้กับบริษัทวิจัยในมิวนิคและวางแผนที่จะเป็นนักเขียน ว่ากันว่านิยายเรื่องแรกของเธอจะเป็นเรื่องราวการหลบหนีที่เกิดขึ้นในยุคกลาง เรื่องของทาสที่หลบหนีจากเจ้านายและพยายามที่จะเป็นไท
เธอมาพบผมที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเขตชวาบิงใกล้ๆกับโรงเรียนเก่าของเธอ เธอแต่งตัวด้วยชุดที่ถ้าดูจากงานของเธอแล้วก็ถือว่าค่อนข้างหยาบ: แจ็กเก็ตสีกรมท่า, เสื้อเชิ้ตตัดเย็บเรียบร้อย, กระโปรงยาวถึงเข่า สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือแว่นตากลมอันใหญ่ และผมบ๊อบที่มีหางเปียอยู่ด้านข้าง เธอเป็นคนที่ร่าเริงและมีเสน่ห์ แฟ้มที่เธอถือไว้ใต้แขนของเธอคือผลสำรวจว่าวัยรุ่นชอบไส้กรอกขาวแบบใดมากกว่ากัน: ต้มหรือว่าย่าง
– มาเข้าสู่คำถามเลยนะครับ ช่วยบอกผมทีว่าคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พวกนี้ได้ยังไงกัน?
“ตอนที่ฉันได้ยินจากสำนักงานนักศึกษาว่าคุณชูวัลด์กำลังรับสมัครนักศึกษาหญิงมาทำพาร์ทไทม์ ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ของฉัน สุดท้ายมันก็กลายเป็นงานทำความสะอาดและซักผ้าและก็อื่นๆพวกนั้นน่ะ”
– โอกาสครั้งใหญ่ของคุณเหรอ?
“ใช่ ฉันสนใจในตัวของผีดูดเลือดแห่งบาเยิร์น ตอนที่ฉันบอกคุณชูวัลด์ว่าฉันอยากจะเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘พฤติกรรมทางด้านจิตใจของคนรวยและผู้มีอำนาจของบาเยิร์นในยุคกลางและปัจจุบัน’ เขาคิดว่ามันตลกมาก เขาอยากจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ฉันศึกษาหรือเปล่า และตอนฉันทำงานที่นั่น ฉันก็สังเกตเห็นนักศึกษาหลายๆคนที่เขาจ้างมาให้อ่านหนังสือให้เขาฟัง… ซึ่งฉันคิดว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะคาร์ล… และโยฮัน… โยฮัน ลีแบร์ท”
– ทำไมคุณถึงสนใจสองคนนี้กันล่ะ?
“อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการอ่านหนังสือ คาร์ลเป็นคนที่ทำได้ห่วยมาก นั่นคือสิ่งที่ชูวัลด์เคยพูดกับเขา! ฉันคิดว่าเขาน่าจะเลิกทำในเวลาไม่นาน ชูวัลด์ชอบทำตัวแย่ๆใส่คนที่มาอ่านหนังสือให้ฟัง แต่เขาไม่เคยไล่ใครออก แต่เป็นพวกคนที่มาอ่านหนังสือให้ฟังส่วนใหญ่นั่นแหละที่เลิกมาหลังจากทำได้ไม่กี่ครั้ง ฉันคิดจริงๆว่าคาร์ลก็คงเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น แต่ถึงแม้หลังจากทุกๆอย่างที่ชูวัลด์พูดกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะทรมานกับความเจ็บปวดทั้งหมดนั้น คาร์ลก็ยังกลับมาในทุกสัปดาห์เหมือนว่ากับว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ในส่วนของโยฮัน… เขาแค่หล่อและสมบูรณ์แบบมากจนทำให้ฉันประหลาดใจว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงๆเหรอ”
– แล้วเอ็ดมุนด์ ฟาห์เรนล่ะ?
“เอ่อ, ก็ยังไงก็ได้ เขาผมบลอนด์และน่ารักดี แต่ก็เป็นประเภท’จะเอาหรือไม่เอา’ เท่าที่ฉันรู้นะ”
– ดังนั้นแล้ว, คุณเลยจับตาดูการกระทำของคุณชูวัลด์ทุกวัน
“ใช่ คาร์ลบอกฉันว่าเขาจะออกไปในเมืองทุกๆคืนวันศุกร์ ดังนั้นพวกเราเลยแอบตามเขาไป”
– และนี่ทำให้คุณรู้จักกับโสเภณีที่รู้จักในชื่อ”ฮินเดนเบิร์กแดง” และรู้ว่ามีชายหนุ่มอีกคนที่อ้างตัวเป็นลูกของชูวัลด์
“ถูกต้องแล้ว เรารู้มาว่าเธอแอบอ้างชื่อของแม่ของคาร์ลเพื่อจะดูดเงินจากชูวัลด์, และเอ็ดมุนด์ ฟาห์เรนคนนั้นก็ก้าวออกมา อ้างตัวว่าเป็นลูกชายที่แท้จริง ฉันกับคาร์ลไปที่หอพักเขาแต่เขาก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว… และหลังจากนั้น มันก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่หยุด”
– คุณก็ได้พบกับอันนาด้วย… ผมหมายถึง, นีน่า ฟอร์ทเนอร์
“ใช่ ฉันเจอเธอที่หอสมุดมหาวิทยาลัย เธอมาที่นั่นทุกวันและค้นคว้าจนถึงเวลาปิด ฉันสงสัยเลยเข้าไปคุยกับเธอ นีน่ากำลังค้นคว้าเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยังไขไม่ได้ในรัฐบาเยิร์นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา แปลกที่มันรวมถึงการฆาตกรรมแม่ของคาร์ล ชูวัลด์ด้วย…”
– จริงๆแล้ว คุณเป็นคนแรกเลยที่ผมได้พูดคุยด้วยที่ได้พูดถึงเรื่องของนีน่า ฟอร์ทเนอร์ คุณช่วยเล่าความประทับใจที่มีต่อนีน่าหน่อยได้ไหม?
“เธอสวยมาก แล้วก็มีผมสีบลอนด์ยาว… ดูๆไร้เดียงสา หรือฉันควรจะพูดว่าเธอดูหลีกเลี่ยงผู้คน… แต่ฉันคิดว่าเธอรู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เรียกร้องอยู่ในตัวเธอ มันดูเกือบจะเหมือนความสิ้นหวังในทางหนึ่งนะ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันพบเธอ เธอทำให้ฉันนึกถึงโยฮัน… แต่ก็มีข้อแตกต่างสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง บางสิ่งที่โยฮันไม่มี… นั่นคือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของเธอ เธอมีสีหน้าของความเป็นมนุษย์ที่วิเศษที่สุดบนใบหน้าของเธอ”
– นี่เป็นคำถามที่ผมสงสัยมากที่สุด… คาร์ลบอกผมว่าคุณรู้เรื่องเป็นอย่างดีในเรื่องที่โยฮันหมดสติตอนอ่านหนังสือภาพ”ปีศาจที่ไร้ชื่อ” คุณช่วยเล่าเรื่องนี้ให้ผมหน่อยได้ไหม?
“อาใช่ เมื่อฉันได้ยินว่าเขาหมดสติ ฉันรีบตรงไปที่โรงพยาบาลทันที โรงพยาบาลรัฐโบเดินไฮม์… โยฮันเข้ารักษาตัวที่นั่นเรียบร้อยแล้ว และฉันก็เจอกับบรรณารักษ์ที่อยู่กับเขาตอนเขาหมดสติ ฉันถามเธอเกี่ยวกับหนังสือที่เขาเห็น และก็แน่นอนว่าเพราะฉันสงสัย ฉันเลยไปหาดูด้วยตัวเอง”
– แล้วคุณคิดว่ายังไง หลังจากที่คุณอ่านมัน?
“ฉันไม่ได้อ่านแค่”ปีศาจไร้ชื่อ” ฉันอ่านทุกอย่างที่เอมิล เชเบ้… เอ่อ, นักเขียนคนนั้นได้แต่ง”
ระหว่งที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็หยิบเอาหนังสือภาพหลายเล่มออกมาจากแฟ้มหนาที่เธอเอาติดตัวมาด้วย “เทพเจ้าแห่งความสงบสุข” โดย เคลาส์ พ็อพเป้, “คนตาโตกับคนปากกว้าง” โดย ยาคอบ ฟาโรเบค, “สวนของฉัน” โดย เอมิล เชเบ้, “บ้านสุขใจ” โดยเฮลมุท ฟอส… บางเรื่องนี้ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ความคิดอย่างเดียวของผมในตอนนี้คือ นี่คือต้นกำเนิดของโยฮันงั้นเหรอ? นิทานพวกนี้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นอย่างที่เขาเป็นในตอนนี้งั้นเหรอ?
“ฉันอ่านทั้งหมดนี้เลย… ภาพวาดพวกนี้มีเอกลักษณ์ คุณจะไม่ค่อยเห็นคนวาดอะไรแบบนี้จริงมั้ย? ปัญหาคือสิ่งที่อยู่ในนั้น ฉันคิดว่าเด็กๆทั่วไปที่ใช้ชีวิตแบบปกติ หนังสือพวกนี้คงจะไม่ได้ผิดแปลกอะไรส่วนมาก แต่ถ้าคุณอ่านหนังสือเหล่านี้ราวกับกำลังเทศนาจากไบเบิลให้พวกเขาฟังล่ะ? ซึ่งเป็นบางสิ่งที่จำเป็นต้องอ่านและเข้าใจอย่างถ่องแท้ มันมีสารบางอย่างอยู่ในนั้น แต่ฉันบอกไม่ได้ว่าคืออะไร ฉันรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายจากมัน แต่ฉันบอกไม่ได้ว่าแบบไหน นอกเหนือจาก”บ้านสุขใจ” หนังสือเล่มอื่นนั้นล้วนมีความเหมือนกันอยู่… ฉันอธิบายไม่ได้ มันมีหลายวิธีมากที่คุณจะตีความมัน มนุษย์อย่างเราๆจะรู้ได้ยังไงกันว่าหนังสือพวกนี้สื่อถึงอะไร?”
(ข้อความทางซ้าย) การสืบค้นอย่างละเอียดของลอตเต้ทำให้เธอได้อ่านหนังสือภาพเกือบทุกเล่มของฟรานซ์ โบนาพาร์ต้า เธอวิเคราะห์สไตล์การเขียนของโบนาพาร์ต้าได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งก็เหมาะสมกับเธอที่มีความรู้อย่างลึกซึ้ง ผมเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์อย่างมากที่จะเป็นนักเขียนนิยาย
(ข้อความทางขวา) คุณแฟรงค์บอกผมว่ามันดีที่ได้เป็นนักเขียน แต่งานนักสืบที่เธอเคยทำก็ให้แนวคิดดีๆในแบบของมันเอง เป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก
ผมพบว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นน่าสนใจมาก หนังสือภาพเหล่านั้นสร้างโยฮันขึ้นมาอย่างไร? ด้วยการทิ้งให้เด็กๆตีความหมายของมันเองหลังจากที่อ่านมัน และไม่ใช่แค่ให้เด็กๆตีความ แต่บังคับอ่านให้พวกเขาฟังในสภาพแวดล้อมที่กดดันและน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ยัดมันเข้าไปในจิตใจของพวกเขาไปสู่ที่ๆจะเติมเต็มพวกเขาไปด้วยความพยาบาทและความไร้ตัวตน นักจิตวิทยาผู้ปราดเปรื่องที่สุดของเชกโกสโลวาเกียคงจะรู้ว่าสิ่งนี้จะสร้างอะไรขึ้นมาบ้าง
– คุณได้เจอกับโยฮันอีกไหมหลังจากที่เขาหมดสติ?
“ก็บางครั้งที่มหาวิทยาลัย… มันเป็นช่วงที่โยฮันและคาร์ลเริ่มทำตัวเหินห่างจากฉัน ฉันลาออกจากงานของคุณชูวัลด์และฉันไม่ได้ไปที่งานเลี้ยงในตอนที่ไฟไหม้ แต่สิ่งนึงที่ฉันสามารถพูดได้คือ หนังสือเล่มนั้นถ้าไม่ได้เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของโยฮัน ก็เปลี่ยนแผนของเขา”
– เปลี่ยนชีวิตของเขา?
“เมื่อฉันถามบรรณารักษ์ถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาหมดสติ เธอบอกว่าเขาแค่ไปเจอกับหนังสือโดยบังเอิญ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดโดยไม่ตั้งใจ หรือเหมือนกับว่า เขาได้ลืมการมีตัวตนของหนังสือเล่มนั้นไป”
– เขาไม่มีความทรงจำเกียวกับมันงั้นเหรอ?
“ใช่ ฉันเชื่อว่าเขาสูญเสียความทรงจำ จนกระทั่งเขาได้เห็นมันอีกครั้ง… และเมื่อเขาเห็น”ปีศาจไร้ชื่อ” เขาก็จำได้ว่าตัวเขานั้นไม่ใช่ ปีศาจ มันอาจจะเป็นตอนนั้นเองที่เขากลับกลายมาเป็นมนุษย์”
โยฮันละทิ้งความปรารถนาในความร่ำรวยของชูวัลด์ไปในกองเพลิงและหายตัวไป เขาจากไปยังสาธารณรัฐเช็กเพื่อเดินทางค้นหาตัวเขาเอง อาจจะเพื่อเติมเต็มชิ้นส่วนความทรงจำของเขาที่ขาดหายไป
– คุณได้เจอกับนีน่าอยู่ไหม หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้หอสมุดน่ะ?
“ฉันไปหาเธอที่โรงพยาบาล เธอบอกว่าดร.เทนมะช่วยชีวิตเธอไว้ หลังจากออกจากโรงพยาบาล เธอไปที่บ้านของดร.ไรช์ไวน์ ที่ๆดร.กิลเลนสะกดจิตเธอ เธอพูดถึงเรื่องดินแดนเทพนิยาย… และกบสามตัว ฉันเข้าใจว่าเธอเองก็มีความทรงจำบางชิ้นส่วนที่ขาดหายไปเหมือนกัน แบบเดียวกันกับโยฮัน วันรุ่งขึ้นเธอก็หายตัวไป ฉันมั่นใจว่าเธอคงจำได้ว่าดินแดนเทพนิยายนี้อยู่ที่ไหน หรือไม่ก็สถานที่ที่โยฮันกำลังมุ่งหน้าไป ฉันเห็นเธออีกครั้งก็เมื่อเรื่องราวทั้งหมดใกล้จะถึงจุดจบ เธอได้ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา… และเธออยู่สภาพที่แย่ มันยากที่จะเข้าไปใกล้ชิดกับเธอ…”
– ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับโยฮัน หลังจากเรื่องราวทั้งหมด?
“ฉันเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัว แต่ฉันก็คล้ายๆกับคาร์ล และฉันก็ไม่ได้ขุดคุ้ยเขาลึกเกินไป… พอมองย้อนกลับมา, มันต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาแน่ๆที่ทำให้สันหลังฉันเย็นวาบ แต่ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าฉันเกลียดหรือโกรธโยฮันเขา”
– คาร์ลก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกสับสนต่อโยฮันเหมือนกัน คุณคิดว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่โยฮันวางแผนจะฆ่าคาร์ลในหอสมุด?
“อืมมม… ฉันไม่คิดงั้นนะ ชูวัลด์รู้ถึงแผนของโยฮันก่อนที่มันจะเกิดขึ้นและก็ยังไปที่งานเลี้ยง… เขาสั่งให้คาร์ลไปจัดการบางอย่างเพื่อที่คาร์ลจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นั่น… และฉันคิดว่าโยฮันคาดการณ์เรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้ว ถ้าเขาอยากจะฆ่าคาร์ลจริงๆ เขาก็สามารถทำก่อนหน้านั้นตั้งนานได้อยู่แล้วล่ะ”
– คุณคิดว่าทำไมคาร์ลหลุดจากการเป็นเป้าหมายของโยฮันมาได้?
“ฉันไม่รู้ว่าโยฮันเป็นคนเจ้าระเบียบและวางแผนเป็นอย่างดีจริงๆรึเปล่า… เขาสามารถได้สิ่งที่ต้องการมาอย่างง่ายดายซะจนเป็นเรื่องง่ายเช่นกันที่เขาจะจบมันตั้งแต่เนิ่นๆ เขาเริ่มเบื่อหน่ายชื่อเสียงและความร่ำรวยก่อนที่เขาจะมีมันเสียอีก”
“แต่สิ่งที่คาร์ลต้องการนั้นคือบางสิ่งที่โยฮันไม่อาจมีได้… คาร์ลโหยหาแสงไฟยามเย็นของบ้านในเมือง… ภาพของผู้คนที่กำลังกลับบ้าน… ความรักใคร่กลมเกลียวของครอบครัว… ความอบอุ่นและสายสัมพันธ์… ทั้งหมดทั้งมวลที่โยฮันไม่อาจจะมี… และไม่อาจจะเข้าใจ… และเขาก็คงไม่สามารถฆ่าใครก็ตามที่แสวงหาอะไรเหล่านี้”