Another Monster - ตอนที่ 0.3
ย่านชานเมืองที่ชื่อนอนน์บูร์กในเมืองซาลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรียนั้นเป็นย่านที่เงียบสงบทางใต้ของปราสาทโฮเฮนซาลซ์บูร์กและมีความเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับย่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่ดังกว่าเช่น บ้านเกิดของโมซาร์ทหรือว่าสถานที่ฉากหลังของภาพยนตร์เรื่อง The sound of music (มนต์รักเพลงสวรรค์)
แต่หลังจากวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน ปี 2000 พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ก็กลายเป็นข่าวดังไปทั่วทั้งออสเตรีย…
คืนนั้น ณ คลีนิคฉุกเฉินเซนต์อูร์ซูล่าที่ตั้งอยู่ทางเหนือของตลาดกลางเมือง ไม่มีเคสฉุกเฉินหรือผู้ป่วยใดๆมายังคลีนิค ดังนั้นแพทย์เวรของคืนนั้น ดร.แอนสท์ แลร์เนอร์ แพทย์อินเทิร์น พอล ฮอช และนางพยาบาล โรสมารี เบิร์ก จึงพักผ่อนอยู่ในห้องพัก ดื่มกาแฟและเพลิดเพลินกับการพูดคุยเกี่ยวกับนักฟุตบอลที่ชื่นชอบ
พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของฮันนา รูเพลชเทอร์ จากแผนกต้อนรับเมื่อเวลา 1:05 น. ฮอชวิ่งไปยังล็อบบี้อย่างรวดเร็วและพบกับผู้ชายตัวใหญ่สวมแว่นคนหนึ่งที่มีใบหน้าไร้อารมณ์และเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ความคิดแรกของฮอชคือผู้ชายที่บาดเจ็บคนนี้มายังโรงพยาบาลเพื่อขอความช่วยเหลือ
แต่เมื่อเขาเห็นร่างของรูเพลชเทอร์นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายไปทั่ว ฮอชรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น มือขวาของผู้ชายคนนั้นถือขวานเปื้อนเลือดอยู่…
ฮอชเตรียมขยับตัวเพื่อวิ่งกลับเข้าไปในห้องพักและขอความช่วยเหลือ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ชายคนนั้นก็ทำให้เขาล้มลงและเดินตรงไปยังห้องพักแพทย์ ฮอชดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้นยืนและตะโกนเรียกชื่อของเพื่อนร่วมงาน และอย่างต่อมาที่เขาเห็นคือนางพยาบาลเบิร์กที่พุ่งออกมาจากห้องและล้มลง พร้อมกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากศีรษะ
เมื่อถึงจุดนี้ ความทรงจำของฮอชคลุมเครือ คาดกันว่าฮอชนั้นวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลและตรงดิ่งไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่อีกฝากหนึ่งของถนนและโทรศัพท์หาตำรวจทันที
หลังจากที่ตำรวจเมืองซาลซ์บูร์กได้รับโทรศัพท์ สารวัตรหน่วยสายตรวจ เบนยามิน กราเบอร์ และสายตรวจไมเออร์ไปถึงโรงพยาบาลเมื่อเวลา 1:54 น. ตำรวจทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงพยาบาลพร้อมกับฮอชที่ก่อนหน้านั้นได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในเวลาต่อมาตำรวจทั้งคู่ได้บรรยายถึงนาทีที่พวกเขาเห็นร่างของผู้หญิงสองคนกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด — ว่าเป็นภาพน่าขยะแขยงที่ไม่อาจเชื่อสายตา
กราเบอร์และไมเออร์ให้ฮอชรออยู่ที่ล็อบบี้และมุ่งหน้าไปยังห้องพัก พวกเขาได้ยินเสียง ภายในห้องพักนั้นพวกเขาพบกับร่างของดร.แลร์เนอร์ที่หัวยังไม่ขาดจากบ่าดีและชายคนหนึ่งที่ร่างเปื้อนไปด้วยเลือด ยืนตระหง่านพร้อมกับขวานในมือ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขายิ้มให้กับตำรวจทั้งสอง หลังจากที่เขาพึมพำอะไรบางอย่างแล้ว เขาก็ยกขวานมาจ่อที่คอของตัวเอง ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอ และตาย
“หนึ่ง, สอง, สาม… ภารกิจของฉันเสร็จแล้ว” นั่นคือสิ่งที่ชายคนนั้นพูดจากคำบอกเล่าของกราเบอร์
ตัวตนของฆาตกรปริศนาคนนี้ได้ถูกเปิดเผยในเวลาต่อมา: กุสตาฟ คอทมันน์ ชายวัย 29 ปี คอทมันน์เป็นคนที่ตำรวจต้องการตัวอยู่แล้วในฐานะฆาตกรต่อเนื่องคดีฆาตกรรมชายหญิงเจ็ดคู่ ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นการฆ่าคู่รักในรถของพวกเขา ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา
เห็นได้ชัดว่าคอทมันน์นั้นโบกรถจนพาตัวเองไปยังชายแดนฝั่งตะวันตกของออสเตรียได้สำเร็จ เขาไม่ได้ก่อเหตุฆาตกรรมใดๆซึ่งทำให้เขาหลบหลีกตำรวจได้เป็นเวลาถึงหนึ่งปี ถือว่าช่วงเวลาที่ยาวนานจนน่าแปลกใจสำหรับฆาตกรต่อเนื่องทั่วไป นี่ทำให้เขาเดินทางจนมาถึงเมืองเล็กๆตรงชายแดนติดกับเยอรมนีได้สำเร็จ
ตำรวจเมืองซาลซ์บูร์กตั้งข้อสังเกตไว้ว่านี่เป็นการฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งถัดไปของเขา ถึงแม้ว่าคดีฆาตกรรมอื่นๆของเขานั้นจะเป็นการเล็งเป้าหมายไปที่คู่รักและมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แต่คดีนี้กลับไม่มีซึ่งความต้องการทางเพศอยู่แม้แต่น้อย ตำรวจจึงเชื่อว่านี่คือความต้องการฆ่าคนที่พวยพุ่งขึ้นมาและควบคุมไม่ได้ เมื่อเขาเห็นแสงไฟจากโรงพยาบาลนี้ เขาจึงหยิบขวานและเดินเข้าไป
ด้วยการฆ่าตัวตายของคอทมันน์เอง คดีฆาตกรรมหมู่ที่คลีนิคเซนต์อูร์ซูล่าก็เป็นการปิดฉากอย่างน่าสยดสยองของมือขวานผู้นี้
แต่เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือ?
ในช่วงนั้น ผมยังคงทำงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่ — งานแรกของผมกับหนังสือพิมพ์ Idee — และถูกมอบหมายให้ทำข่าวเกียวกับคดีนี้ ผมนำเสนอข่าวด้วยข้อมูลแบบหยาบๆแบบเดียวกันกับที่ผมเพิ่งจะนำเสนอให้พวกคุณเมื่อซักครู่นี้ และสื่ออื่นๆก็ล้วนนำเสนอในแบบเดียวกัน แต่ในระหว่างการทำงานของผม ความสงสัยบางอย่างก็ถือกำเนิดขึ้นในใจของผมและนำไปสู่ทฤษฎีใหม่ หลังจากที่ผมย้อนกลับไปค้นคว้าคดีนี้ด้วยทฤษฎีใหม่ในหัวของผมแล้ว ผมเริ่มที่จะเห็นความจริงบางอย่างที่ผุดขึ้นมาที่ต่างไปจากสิ่งที่นำเสนอในสื่อและผมเริ่มที่จะกระทั่งสงสัยในตัวของฆาตกรคนนี้ — นายคอทมันน์กับการกระทำที่ปฏิเสธไม่ได้ของเขาเอง
“หนึ่ง, สอง, สาม… ภารกิจของฉันเสร็จแล้ว” คำพูดสุดท้ายของคอทมันน์บนโลกใบนี้ ภารกิจนี่คือภารกิจอะไรและเขารับคำสั่งมาจากใครกัน? ทำไมเขาถึงไม่ก่อเหตุใดๆเลยเป็นเวลาถึงหนึ่งปีก่อนการก่อเหตุครั้งนี้? เขาไปหลบซ่อนตัวที่ไหนในระหว่างที่ตำรวจกำลังตามหาตัวเขา? ผมขุดคุ้ยลึกเข้าไปในชีวิตของกุสตาฟ คอทมันน์คนนี้ ตามหาถึงคำตอบของสามคำถามที่กล่าวมา
คอทมันน์ถือกำเนิดมาในฐานะลูกคนโตในเมืองไคเซอริน เมืองทางตอนเหนือของออสเตรียติดกับชายแดนเช็ก ฮานส์พ่อของเขาทำฟาร์มแต่ก็ไปไม่รอดเมื่อกุสตาฟอายุได้ห้าขวบ หลังจากนั้น ฮานส์ทำงานรับซ่อมจักรยานให้กับเพื่อนๆและชาวไร่ในละแวกนั้น แต่ฮานส์ก็มักจะมีปัญหากับนายจ้างของเขาและใช้เวลาส่วนใหญ่ว่างงานและดื่มเหล้า มาร์เลนแม่ของกุสตาฟนั้นเป็นคนติดเหล้าหนักยิ่งกว่าสามีของเธอและมีปัญหาความอารมณ์ร้อนที่มักจะควบคุมไม่อยู่
พาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นที่คลีนิคเซนต์อูร์ซูล่า ข่าวนี้ไม่เพียงแต่ขึ้นหน้าหนึ่งในออสเตรีย แต่ยังรวมถึงทั่วทั้งเยอรมนีอีกด้วย
คอทมันน์เคยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพที่หมดสติเมื่ออายุได้สิบสองปี พ่อแม่ของเขาบอกกับหมอว่ากองฟืนที่เก็บไว้ได้หล่นใส่หัวของเด็กชาย แต่การตรวจวินิจฉัยของหมอแสดงให้เห็นว่าศีรษะของเขาถูกกระแทกด้วยของแข็งไร้คม เราคงไม่สามารถไปถามคอทมันน์ตอนนี้ได้ว่าพ่อแม่ของเขาทารุณกรรมเขาหรือไม่ แต่จากการที่น้องชายและน้องสาวของเขาถูกส่งตัวไปยังบ้านอุปถัมภ์จากการไม่ได้รับการดูแลที่ดีและถูกปล่อยปละละเลยทำให้ความเป็นไปได้นี้สูงมาก
ความจริงที่ว่าหัวของคอทมันน์ถูกกระแทกนี้เป็นคำใบ้สำคัญอีกอย่างที่จะทำให้เราเข้าใจในตัวเขา ถึงแม้ว่ามันยังจะมีไม่มีคำอธิบายในทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนต่างเคยมีประสบการณ์ที่ถูกกระทบกระเทือนที่ศีรษะจนหมดสติ แล้วเมื่อฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งในบางช่วงเวลาในวัยเด็กของพวกเขา
คอทมันน์เป็นเด็กชายตัวใหญ่ที่มีสีหน้าที่อ่านได้ยากยิ่ง เขามักมีแนวโน้มที่จะโดดเรียน ดังนั้นคะแนนของเขาจึงห่างไกลจากคำว่าดี เขาเริ่มต้นทำงานที่ซุเปอร์มาร์เกตเมื่ออายุสิบหกปี แต่เขาทำงานนี้ได้เพียงสามเดือนก่อนที่หัวหน้าของเขาจะบอกว่าเขาไม่มีทางทำงานนี้ได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงไปทำงานที่พ่อของเขาเคยทำก่อนที่จะทะเลาะกับนายจ้าง — งานในฟาร์มที่ฟาร์มใกล้ๆบ้าน — และหาเงินเลี้ยงดูทั้งครอบครัวด้วยตัวของเขาเอง ช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ฝึกฝีมือขวานจนเชี่ยวชาญ
แต่ช่วงเวลาการประพฤติตัวดีของคอทมันน์นั้นคงอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่เดือน เขาถูกตำรวจจับในคดีแรกของเขา — ถ้ำมองและลักขโมย เขาหลบหนีจากการถูกจับเข้าคุกมาได้แต่การกระทำนั้นก็ทำให้เขาเป็นจุดสนใจของตำรวจในท้องที่ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการทิ้งครอบครัวของเขาและไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองคลอสเตอร์นอยบูร์กแทน
ที่เมืองใหม่ คอทมันน์ไปทำงานที่ร้านหนังสือและประพฤติตัวเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่เขาทำงานที่นั่น เป็นที่น่าประหลาดใจว่าคอทมันน์นั้นมีความชอบในหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือเรื่องลี้ลับของสำนักพิมพ์โครเน่ที่ชื่อ “ดอร์นในความมืดมิด” ที่เขาติดใจมากเป็นพิเศษ เขามักจะบอกกับเพื่อนร่วมงานวัย 19 ปีว่าซักวันหนึ่งเขานั้นจะ”ได้รับภารกิจและได้รับพลังแห่งความมืดเหมือนกับดอร์น”
เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ในเรื่องดอร์นในความมืดมิดกับคดีที่คอทมันน์จะก่อในอนาคตแล้ว ทั้งสองมีจุดคล้ายกันหลายเรื่องมาก ดอร์น ตัวเอกของเรื่องขายวิญญาณของเขาให้กับจอมเวทปีศาจและได้พลังแห่งความมืดตอบแทน เขาใช้พลังนั้นในการกำจัดคนชั่วในสังคมโดยใช้วิธีการต่างๆที่โหดร้ายและไร้ซึ่งความปรานี (ในหนังสือบางเล่มนั้น ขวานก็เป็นวิธีหนึ่งในการจัดการ)
แต่เมื่อเขาฆ่าเหล่าคนบาปเหล่านั้นไปเรื่อยๆ ปีศาจนั้นก็เริ่มที่จะฝังตัวเองลึกเข้าไปในจิตใจของดอร์น ชักนำเขาไปในเส้นทางของอาชญากร ในตอนแรก เขาถูกจู่โจมด้วยความต้องการที่จะขโมยของและแอบมองผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้า… แต่ดอร์นไม่ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาของเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ดอร์นเกือบจะถูกครอบงำด้วยแรงกระตุ้นนั้นเองที่เขาเห็นหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง
หนังสือนิทานเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับเรื่องนี้ เมื่อดอร์นอ่านหนังสือนิทานที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อผู้อ่านที่เป็นเด็กเท่านั้น ความรู้ผิดชอบชั่วดีของเขาก็จะชนะ แต่เมื่อเขาอ่านหนังสือนิทานที่แต่งโดยนักเขียนที่ชั่วร้าย ความตั้งใจของเขาก็จะหันเหไปในทางนั้น เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ดอร์นกลายเป็นคนชั่วร้ายผู้ก่ออาชญากรรมทางเพศและลักขโมย และมีถึงกระทั่งการพยายามที่จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากความรู้สึกผิด
ท้ายที่สุดแล้ว หนังสือนิทานก็ชำระล้างจิตใจของเขาและเปลี่ยนเขากลายเป็นฮีโร่ นอกเหนือจากการเป็นหนังสือที่พูดถึงความดีและความชั่วแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องเพศและความรุนแรง แม้ว่าโดยปกติแล้วดอร์นจะเอาชนะศัตรูตัวร้ายของเขาด้วยเวทมนตร์ แต่ “คู่รักหนุ่มสาวมีเซ็กซ์กันในรถตอนกลางคืน” แบบในหนังเกรดบีกลับจบลงด้วยความตายเสมอ ฉากการตายในเรื่องมักจะมีฉากอวัยวะฉีกขาดอย่างโหดเหี้ยมเช่นกัน
ฟริทซ์ ไวนด์เลอร์ ผู้สร้างตัวเอกที่ซับซ้อนกับเนื้อเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดานี้ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความปรารถนาและรังเกียจในแนวคิดของเซ็กส์อย่างเสรี ปรัชญาในเรื่องนี้ก็ส่งผลต่อตัวตนมือขวานนักฆ่าของคอทมันน์อย่างชัดเจนเช่นกัน ใครก็ตามที่ได้อ่านดอร์นในความมืดมิดจะเห็นได้ชัดเจนว่าถึงแม้เรื่องนี้จะไปไม่ถึงระดับของวรรณกรรมยอดนิยม แต่หนังสือเล่มนี้ก็มีการโน้มน้าวใจที่ทรงพลังและลึกลับที่ทำให้เรามองการฆาตกรรมในเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ไวนด์เลอร์ ผู้แต่งดอร์นในความมืดมิด เสียชีวิตอย่างกระทันหันในปี 1992 (บางคนกล่าวว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย) ทำให้หนังสือชุดนี้ถูกตัดจบที่ห้าเล่ม ในเล่มที่ห้า ดอร์นยืนอยู่ใกล้กับปากประตูแห่งความชั่วร้าย ร่างกายของเขาถูกพิษของโคเคนทำร้าย ยิ่งศัตรูของเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เวทมนตร์ของเขาก็จะยิ่งอ่อนกำลังลงมากเท่านั้น ถ้าหากจอมเวทย์ผู้ลึกลับคนใหม่ไม่ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ จิตใจของดอร์นก็คงจะจมดิ่งไปสู่ความชั่วร้ายไปอย่างสิ้นเชิง ความคืบหน้าของเนื้อเรื่องนี้ให้สัญญากับผู้อ่านว่าจอมเวทย์ผู้นี้จะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของดอร์นในเล่มต่อๆ ไป
เล่มแรกของดอร์นในความมืดมิด หนังสือชุดเล่มโปรดของมือขวานคอทมันน์ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความคัลท์ และยอดขายรวมทั้งห้าเล่มกว่า 2.5 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้ยังคงตีพิมพ์อยู่ในออสเตรีย, เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์
ช่วงเวลานี้เองที่คอทมันน์ออกจากงานโดยไม่พูดอะไร และในอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็ก่อคดีแรกของเขา มันราวกับว่าเขาพยายามที่จะกลายเป็นดอร์น เพื่อชุบชีวิตเรื่องราวนี้กลับขึ้นมาและนำพามันไปจนถึงตอนจบ…
วันหนึ่งเขาได้ไปพบกับชายหญิงที่กำลังมีเพศสัมพันธ์ในสวนสาธารณะและได้ตักเตือนพวกเขา หลังจากที่ทะเลาะกันซักพักหนึ่ง เขารัวหมัดใส่ฝ่ายชายจนหมดสติและทำร้ายฝ่ายหญิง(แต่ไม่ได้ข่มขืนเธอแต่อย่างใด)จนเกือบจะถึงขั้นสมองได้รับบาดเจ็บ
หลังจากรับโทษสองปีในเรือนจำ(จากการที่ขาดหลักฐานที่ทำให้เขารับโทษที่หนักขึ้น) คอทมันน์ก็ย้ายจากเมืองคลอสเตอร์นอยบูร์กมาอยู่ที่กรุงเวียนนา เขาทำงานพาร์ทไทม์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในช่วงกลางวันและดื่มด่ำกับความตื่นเต้นในการล่าคู่รักในช่วงเย็น เหยื่อขวานรายแรกของเขานั้นอยู่ในรถยนต์ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ — รูดอล์ฟ กรอส และแฟนสาวของรูดอล์ฟที่ชื่อ อันนา ดอร์มัน ผู้ที่คอทมันน์ข่มขืนและทำร้ายจนเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม หลังจากหลายเดือนผ่านไป คดีก็ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน และตำรวจไม่เคยสอบสวนคอทมันน์ว่ามีความเชื่อมโยงกับฆาตกรคนนี้หรือไม่เลย (ตำรวจเวียนนาจำกัดวงผู้ต้องสงสัยเป็นมือขวานที่เคยมีประวัติก่ออาชญากรรมทางเพศ แต่คดีของคอทมันน์ในคลอสเตอร์นอยบูร์กนั้นเป็นเพียงการ”ทำร้ายร่างกาย” ดังนั้นเขาเลยไม่ตกอยู่ในรายชื่อผู้ต้องสงสัย)
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้คอทมันน์ได้ลิ้มรสชาติของการฆ่าคนเป็นครั้งแรก และเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยอันน่าสะพรึงกลัวของเขาเป็นเวลาห้าปีไปทั่วทั้งออสเตรีย ในขณะที่เขาไม่ใช่คนที่ฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมมากนัก คอทมันน์กลับหลบหลีกจากการตามหาของตำรวจได้โดยการแหกกฎของฆาตกรต่อเนื่องที่มักจะทำกันทั้งการไม่ก่อเหตุซ้ำๆจนเป็นรูปแบบและการไม่เก็บ”ของที่ระลึก”จากศพที่เขาฆ่า ทั้งนี้แน่นอนว่าผมไม่ได้จะสื่อว่าทางตำรวจสะเพร่าและไม่ใส่ใจแต่อย่างใด