Another Monster - ตอนที่ 2.1 เคนโซ เทนมะ 1
บทที่ 2: เคนโซ เทนมะ
(พฤษภาคม ปี 2001; โยโกฮามะ, โตเกียว, ลอนดอน)
เคนโซ เทนมะ เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1958 ในเมืองโยโกฮามะ จังหวัดคานางาวะ พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการและผู้จัดการของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในเมืองนั้น (ถึงแม้ว่าตัวของเทนมะเองจะบอกกับเพื่อนว่าเขาเป็นแค่แพทย์คนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร) และแม่ของเขาเคยเป็นบรรณาธิการวารสารการแพทย์ ทั้งคู่เคยผ่านการหย่าร้างมาก่อนหน้านั้น พ่อของเขานั้นยังมีลูกติดสองคนอายุเจ็ดและสองขวบอีกด้วย
หนึ่งปีหลังจากที่พวกเขาแต่งงาน เคนโซก็ถือกำเนิดขึ้น เคนโซเป็นเด็กชายผู้สดใสที่แทบไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นเลย เขาเข้าเรียนในโรงเรียนประถมและมัธยมต้นของเทศบาลที่อยู่ใกล้ๆ, ทำคะแนนสอบได้สูงสุดในเมือง, ชื่นชอบดนตรีและศิลปะ และเป็นสมาชิกของชมรมกรีฑา
เพื่อที่จะค้นหาข้อมูลอื่นๆ ผมเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2001 ด้วยความช่วยเหลือจากนักข่าวชาวญี่ปุ่นที่ผมเคยพบเพียงครั้งเดียวก่อนหน้านี้ ผมจ้างล่ามและพยายามใช้เส้นสายของสื่อเพื่อจัดการสัมภาษณ์กับทางโรงพยาบาลของครอบครัวของเทนมะแต่ก็ล้มเหลว ผมพยายามจะหันไปหาเพื่อนสมัยเรียนของเทนมะแทน แต่ก็ได้รู้ในเวลาต่อมาว่าเขายังคงติดต่อกับเพื่อนเพียงไม่กี่คน ส่วนผู้ยินดีที่จะช่วยเหลือที่ผมหาพบก็ต่างขอยกเลิกเมื่อพวกเขารู้ว่าผมเป็นชาวต่างชาติ
สารวัตรลุงค์เก้ได้เรียนรู้ถึงจิตใจของคนญี่ปุ่นเพื่อมองลึกเข้าไปในจิตใจและความคิดของเทนมะ และก็พบว่าเทนมะนั้นลึกลับน้อยกว่าคนญี่ปุ่นจริงๆมาก เขาไม่สามารถเข้ากับสังคมญี่ปุ่นได้ และก็ไม่อาจที่จะเป็นชาวเยอรมันได้เช่นกัน — เป็นคนแปลกหน้าของทั้งสองวัฒนธรรม ตัวผมเองนั้นก็เห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกันจากช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่ผมอยู่ที่นั่น
ถึงอย่างนั้น ในที่สุดผมก็ได้สัมภาษณ์คนที่เคยเป็นเพื่อนกับเทนมะในช่วงประถมและมัธยมต้น
เขาเป็นคนตรงๆและเป็นมิตร ผู้ยังคงอาศัยอยู่ใกล้ๆกับบ้านของเทนมะจนถึงทุกวันนี้
“บอกตรงๆ ผมตกใจมากที่เคนไปโผล่ในข่าวประเภทนั้น มันจะมีช่วงเวลาสมัยก่อนที่คุณจะเห็นชื่อเขาในบทความเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ’แพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้มีชื่อเสียงในต่างประเทศ’ในนิตยสารบางฉบับ และคุณก็จะคิดว่า อืม ฉันควรไปหาเขาถ้าฉันป่วย แต่เคนไม่ได้เป็นฆาตกรแน่นอน” เขามีผิวสีแทนและบุคลิกที่ดูกล้าๆจากอาชีพของเขาที่เป็นช่างไม้ ผมขอให้เขาเล่าเกี่ยวกับความทรงจำอะไรก็ตามเกียวกับเทนมะที่เขาจำได้
“เคนเป็นคนขยันเรียนเสมอ ครอบครัวของเขาค่อนข้างรวยไม่เหมือนกับผม คุณคงคิดว่าปกติพวกลูกคนรวยไม่ออกไปเล่นข้างนอกหรอกจริงไหม? แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาชอบมาคลกฝุ่นเล่นกับเด็กที่ซนๆเสมอ ผมคิดว่าครอบครัวของเขาคงไม่เคยแสดงออกแบบชัดเจนว่าห้ามเขาคบกับพวกเรา สำหรับสิ่งที่เราเล่นกันเหรอ… อืม เราก็เล่นพวกทั่วๆไปมาทุกอย่างแล้ว: วิ่งไล่แปะ, ฟันดาบเล่น, เบสบอล, ฟุตบอล แต่เหมือนว่าสิ่งที่เคนชอบมากที่สุดก็คือการมาที่บ้านของผมแล้วนอนฟุบหน้าทีวีกับผมและพี่ชาย เขาไม่ใช่คนที่ต่อสู้เก่ง และเขาก็เล่นเบสบอลและฟุตบอลได้โอเคอยู่ แต่เขาก็ดูไม่ค่อยจะสนใจกีฬาทีมเท่าไหร่ อ้อ และเขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ยอดเยี่ยม ผมพนันได้เลยว่าไม่มีใครแล้วที่จำได้ว่าเขาสร้างสถิติการวิ่งระยะสั้นในโรงเรียนมัธยมตอนที่เขาอยู่ชมรมวิ่ง เขาเป็นคนที่เก่งกีฬาเดี่ยวมาก”
โยโกฮามะ สถานที่ที่เทนมะใช้ชีวิตในวัยเด็ก เดทแรกของเขาก็อยู่ที่สวนสาธารณะยามาชิตะ บ้านของครอบครัวเขาอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะบนเนินเขาที่สามารถเห็นท่าเรือได้อย่างชัดเจน
เขาดูเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก แต่ผมไม่คิดว่าเขากับเทนมะจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากนัก เมื่อผมยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จ้องไปที่เพดานอย่างครุ่นคิด แล้วก็พูดขึ้นราวกับจำอะไรบางอย่างได้ “คุณรู้ไหม ผมลืมไปแล้ว ผมลืมไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ผมกลับนึกขึ้นมาได้ ผมเคยรังแกเขา เขาอยากเล่นกับเรา แต่ผมจำได้ว่าผมคุยกับพี่ชายว่าจะรังแกเขายังไงดีและไล่เขาไป ดังนั้นเราก็เลยแกล้งเป็นเพื่อนเขา แต่เรามีแผนอยู่ มันมีบ้านร้างที่มีสวนขนาดใหญ่มากอยู่แถวนี้เมื่อหลายปีก่อน เราจะเล่นซ่อนหากันที่สนามหญ้า หลังจากที่เคนไปซ่อนแล้ว พวกเราก็ส่งสัญญาณให้กันแล้วก็กลับบ้านไป”
“สวนนั้นมันใหญ่มากๆ มันเป็นเรื่องน่าขนลุกที่คุณจะไปอยู่ที่นั่นคนเดียว และผมก็คิดว่าเขาก็น่าจะกลัว ดังนั้นเราเลยรอประมาณซักสามสิบนาที ก่อนจะย่องไปที่จุดซ่อนตัวของเขาแล้วก็หลอกให้เขากลัว และเขาก็ฉี่ราด ผมคิดว่าเขาคงอยากจะเข้าห้องน้ำแหละ แต่เขาอยากเล่นซ่อนหามากๆจนยอมทนอั้นมันไว้ ผมคิดได้ทันทีว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องไม่ดีที่จะทำ แต่พี่ชายผมและเพื่อน ๆ เริ่มเรียกเขาว่า ‘เทนมะจอมขี้กลัว’ และ ‘นายฉี่ราดกางเกง’ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ร้องไห้อยู่ดี”
ผมถามเขาว่าเทนมะทำอะไรหลังจากนั้น? คนส่วนมากแล้วคงจะเลิกเล่นกับพวกคุณอีกจริงไหม?
“หลังจากนั้น?” เขาคิดและจากนั้นก็ทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ
“หลังจากนั้น หลังจากนั้น เคนกลับมาและอยากเล่นอีก ผมอยากให้เขาหยุด แต่พี่ผมก็พูดเรื่องจะใช้แผนเดิม คุณคิดว่าเคนจะไม่มีทางโดนแบบเดิมซ้ำสองใช่มั้ย? แต่เขาก็ยังตามเราไปที่สวนนั้นและซ่อนอยู่ดี”
เขาหัวเราะเบาๆและเล่าต่อไป
เพื่อนของเทนมะผู้ที่ได้รับทำงานปรับปรุงบ้านของเทนมะเมื่อไม่นานมานี้ เขาเล่าว่าพ่อแม่และพี่ๆของเทนมะยังคงสบายดี
“เหมือนเดิม เราทิ้งเขาไว้ตามลำพังแล้วกลับมาในอีกสามสิบนาที ตอนที่เราไปที่ที่ซ่อนของเคนเพื่อทำให้เขากลัว แต่เขาไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นเราจึงคิดว่า ‘ไม่นะ เราโดนเขาเล่นบ้างแล้ว!’ และเราก็เริ่มพูดประมาณว่าแบบ ‘นายซ่อนไปตลอดไม่ได้หรอกนะ! นายจะฉี่ราดกางเกงอีก เทนมะขี้กลัว!’ แต่เราก็หาเขาไม่เจอเลย สุดท้ายเราก็เลยคิดว่าเขาน่าจะกลับบ้านไปแล้ว แล้วแม่ของเพื่อนคนหนึ่งก็มาตะโกนให้เรากลับบ้าน เราก็เลยกลับกัน
จากนั้นประมาณหนึ่งทุ่ม แม่ของเคนโทรมาหาเราถามว่า ‘เคนโซอยู่ที่บ้านพวกเธอหรือเปล่า’ ฮ่ะฮ่ะ ตอนนั้นเรากังวลสุดๆไปเลย ผมกับพี่ชายของฉันรีบวิ่งกลับไปที่บ้านร้างนั้น มันน่าขนลุกมากในตอนกลางคืน และเขาก็อยู่ที่นั่นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะร้องไห้แต่เขาก็ทำเป็นว่าไม่เป็นไรต่อหน้าเรา เขาพูดว่า ‘ไม่ยุติธรรมเลย ฉันซ่อนมาตลอดเลยนะ’ ผมคิดว่าตอนนั้นแหละที่เราเลิกแกล้งเขาและเริ่มเป็นเพื่อนกันจริงๆ”
เขาบอกว่าเทนมะน่าจะรู้แผนของพวกเขาอยู่แล้วแต่ก็ตามน้ำไป เขาทำก็เพราะว่าเขาต้องการเป็นเพื่อนกับพวกเรา แน่นอนอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเพราะเขารู้สึกอายที่เขากลั้นฉี่ไว้ไม่ได้ด้วยเหมือนกัน เขาเลยตัดสินใจที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเอาชนะความอ่อนแอของตัวเขาเอง
สุดท้ายเพื่อนของเทนมะคนนี้ก็สรุปเรื่องนี้โดยบอกว่า “ผมคิดว่าคนที่เทนมะเคร่งด้วยมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง.”
เขาจบด้วยการเล่าเรื่องน่าสนใจเล็กๆน้อยๆให้ผมฟัง “เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนม.1 ผมกับเคนเรียนห้องเดียวกันในโรงเรียน ครูประจำชั้นของเราเป็นคนที่นิสัยแย่จริงๆและนี่คือสมัยก่อนก่อนที่ PTA [ประมาณสมาคมผู้ปกครองและครู: ผู้แปล] และสื่อต่างๆจะทำให้ครูลงโทษทางร่างกายไมได้ ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เคนไปเล่นกับเครื่องทำความร้อนถ่านหิน… ตอนเด็กๆ เรามีเครื่องทำความร้อนถ่านหินขนาดใหญ่อยู่ในห้องเรียน และเขาก็พยายามทำให้ที่เขี่ยถ่านหินที่เป็นโลหะร้อนจนมันเริ่มบิดงอ พอคาบโฮมรูมตอนเช้า ครูก็สังเกตเห็นรู้และเริ่มตะโกนว่าใครทำ เคนยอมรับทันที ครูดุเขาที่ทำเรื่องอันตรายอย่างนี้แล้วก็ตีเขา และเรื่องก็จบแค่นั้น เคนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่วันนึง ไอ้งี่เง่าบางคนก็ทำแบบเดียวกัน งอที่เขี่ย แล้วครูก็โกรธอีก เด็กคนที่ทำไม่ใช่เด็กดีซักเท่าไหร่ เขาเคยเจอครูคนนั้นมาก่อน และเขาเคยถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงมาก่อน ดังนั้นหลังจากที่ครูตีเขา ครูจึงหยิบเจ้าที่เขี่ยที่ร้อนจนเป็นสีแดงออกมาและทำเป็นจ่อที่คอของเด็กคนนั้น จากนั้นเขาก็ทำการลงโทษโง่ๆ เช่นพวกพูด ‘ขอโทษ’ กับเครื่องทำความร้อนให้ทุกคนได้เห็น แล้วเคนก็ลุกแล้วพูดขึ้นประมาณว่า ครูทำอย่างนั้นไม่ได้นะ มันโหดร้ายเกินไป ถ้าครูคิดว่านี่คือการศึกษา ผมจะบอกครูใหญ่และคณะกรรมการการศึกษา และครูก็กลัว ส่วนมากแล้วก็เป็นนักเรียนที่ดีนี่แหละที่กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างจริงจัง”
บางทีเคนโซ เทนมะ อาจจะเป็นคนจำพวกที่ชอบอดทน พวกที่แบกรับทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงจุดที่พวกเขาขาดผึงและความรู้สึกยุติธรรมส่วนตัวของพวกเขาพลุ่งพล่านออกมา ผมเชื่อว่านี่อาจเป็นคำใบ้ในการทำความเข้าใจปริศนาที่ว่า ทำไมเขาถึงตัดสินใจออกเดินทางตามหาและฆ่าโยฮันด้วยตัวเขาเอง
—————————–
คนอีกคนที่ยอมให้ผมสัมภาษณ์เป็นเพื่อนกับเทนมะตอนมัธยมต้น ปัจจุบันเขาเป็นผู้กำกับโฆษณา เราเลือกเวลาไว้หนึ่งชั่วโมงเพื่อคุยกัน และเมื่อเขาโอเคกับความต้องการของผม เขาก็อนุญาตให้ผมสัมภาษณ์เขา “เทนมะเรียนห้องเดียวกันกับผมตอน ม.2 และ ม.3 เขาฉลาดมาก ส่วนผมเป็นนักเรียนระดับ B ซึ่งปกติแล้ว ‘ก็ดีพอ’ ที่จะไม่โดนเรียกว่าหนอนหนังสือหรือเด็กเนิร์ด แต่เทนมะเป็นพวกระดับ A ล้วน เป็นนักเรียนหัวกะทิ แต่แปลกที่เขาไม่ถูกแบ่งแยก เขาเข้ากับทุกคนได้ เขาเป็นนักเรียนที่ดี แต่เขาก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากเท่าไหร่ก็เพราะเหตุนี้แหละ… ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดมากในทุกๆ ด้าน”
เมื่อผมถามเขาว่าเขาคิดอย่างไรในตอนที่เทนมะถูกเรียกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องในข่าว และตอนนี้เขาคิดอย่างไร เขาก็ตอบผมมาแบบนี้
“ฟังนะ ผมไม่แน่ใจว่าจะยอมให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ดีมั้ย เพราะผมคิดว่าคุณอาจถามคำถามนั้นกับผม พูดตามตรง ผมคิดอยู่บ่อยๆว่ามันไม่เป็นความจริงหรอก แต่คุณไม่มีทางรู้หรอก ผู้คนล้วนเปลี่ยนไป และถ้าสื่อเยอรมันเอาเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โตซะขนาดนี้ มันก็อาจจะจริงก็ได้ นั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้”
“เหตุผลที่ผมไม่สามารถโทรหาเขาตอนนี้และพูดว่า ‘นี่ ฉันดีใจที่นายยังสบายดี’ ก็เพราะว่าผมมีความคิดแบบนั้นโผล่มาในหัวเรื่อยๆ ผมไม่สามารถเชื่อมั่นเต็มร้อยในความบริสุทธิ์ของเขา… ถ้าผมพยายามให้กำลังใจเขาตอนนี้ อีกไม่นานเขาก็จะรู้เลยว่าผมไม่ใช่เพื่อนแท้ ดังนั้น สภาพจิตใจตอนนี้ของผมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยมีแต่ความผิดหวังในตัวผมเองและการที่ผมไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น”
ผมถามเขาไปว่ามีเรื่องอะไรที่เทนมะจดจ่อเป็นพิเศษในช่วงมัธยมต้นไหม
“เทนมะชอบดนตรี เขาเล่นกีตาร์เก่ง จริงๆแล้วเขาค่อนข้างจะเก่งรอบด้านกับเรื่องแนวศิลป์แบบนี้ ถ้าเขาฝึกฝนหนักพอ เขาน่าจะเล่นกีตาร์ได้ดีกว่าผม แต่เทนมะไม่ใช่คนแบบนั้น”
ผมถามเขาว่าที่เขาพูดนั้นหมายความว่าอะไร
“น่าแปลกดีที่เขาชื่นชมคนที่เก่งในเรื่องต่างๆอย่างจริงๆ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะมีพรสวรรค์ แต่เวลาที่เขาเจอคนที่เก่งกว่า เขาก็จะประทับใจมาก เขาไม่เคยปฏิเสธความสามารถของคนอื่น และมันไม่ใช่คำเยินยอนะ เขามักจะยอมรับในสิ่งที่คุณทำได้ดีหรือสิ่งที่คุณชอบ… แต่บางทีก็อาจจะมากเกินไปหน่อย”
และเขาก็ได้ข้อสรุปนี้ออกมา
“ผมคิดว่าเขาเป็นคนประเภทที่ดูถูกคุณค่าของตัวเองตลอดเวลา หรือไม่เขาก็แค่ไม่รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์สำหรับทุกสิ่งมากกว่าคนอื่นๆ และเมื่อคุณได้รับคำชื่นชมจากคนที่มีความสามารถพิเศษอย่างเทนมะ มันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณทำสิ่งนั้นได้ดีพอๆกับเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงชอบอยู่กับเขา เพราะคำชมของเขาทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเองมาก”
หลังจากนั้นผมก็ถามเขาเกี่ยวกับดนตรี เทนมะชอบเพลงแนวไหน และเคยทำกิจกรรมอะไรบ้าง?
“เขาไม่ได้เล่นวงหรืออะไร ดูเหมือนว่าเขาจะเกลียดการทำกิจกรรมเป็นกลุ่มจริงๆ… หรือบางทีเขาแค่เกลียดการอยู่เป็นกลุ่มก็ได้ ในชมรมวิ่งตอนหลังเลิกเรียน เขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อจะวิ่งแซงคนอื่นๆเพื่อที่เขาจะได้วิ่งคนเดียว ส่วนที่ถามว่าเขาชอบเพลงอะไร” เขาหลับตา เอามือก่ายหน้าผากแล้วคิดอยู่พักหนึ่ง “ตอนนั้นเป็นยุค 70 เป็นยุคหลังบีทเทิลส์ เป็นยุคของพวก Led Zeppelin, Deep Purple และ David Bowie แต่เทนมะกลับชอบ… เห้อ ผมจำไม่ได้ เขาชอบเพลงอะไรซักเพลงที่เป็นเพลงสบายๆนี่แหละ”
เขาบอกว่าเทนมะเคยดูรายการบางอย่างที่เรียกว่า เทศกาลดนตรีโตเกียว ทางทีวีและสนใจเพลงของศิลปินต่างชาติคนนึงที่กำลังแสดงอยู่ เขาหยุดคิดอยู่บ่อยๆ แต่สุดท้ายก็ยังจำชื่อเพลงนั้นไม่ได้
เราเลยเวลาสัมภาษณ์ตามกำหนดการไปนาน ดังนั้นผมจึงสรุปเรื่องทั้งหมดด้วยการถามเขาว่ามีอะไรอีกบ้างที่เขาจำได้เกี่ยวกับเท็นมะ เรื่องอะไรก็ได้
“ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างนึง และหวังว่าเทนมะจะไม่รู้ว่าผมพูดแบบนี้นะ เขาพยายามทำตัวห่างเหินจากครอบครัว โดยเฉพาะพ่อและพี่ชายของเขา…”
ความสงสัยเหล่านี้ที่เขาพูดมานี้เองที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทนมะเลือกเป็นหมอในเยอรมนีและเป็นสิ่งที่ผมได้ค้นพบในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป
ผู้กำกับโฆษณาและเพื่อนเก่าของเทนมะ ผู้ได้งานกำกับโฆษณาชิ้นหนึ่งที่เกี่ยวกับดร.เทนมะหลังจากที่เหตุการณ์ทั้งหมดได้ข้อสรุปแล้ว เขาบันทึกไว้อย่างตลกและเย้ยหยันว่านี่คือแง่มุมของสื่อญี่ปุ่นที่เขาไม่คิดจะสนใจ