Advent of the Archmage - ตอนที่ 516:พวกเราคือนักเวทย์
Chapter 516:พวกเราคือนักเวทย์
ในขณะที่เฟิร์ดมีเงินอยู่มากมายมหาศาลที่ตลาดมืดทางใต้ก็มีทาสให้ซื้ออยู่มากมาย
ในตลาดมืดของอาณาจักรทางใต้นั้นถ้าเกิดว่าคุณให้ราคาดี สมาคมก็ยินดีหาทุกสิ่งที่คุณต้องการมาให้ได้
อาณาจักรกอลล์หนึ่งในเพื่อนบ้านของอาณาจักรลีโอนั้นมีการซื้อขายทาสมากที่สุดในบรรดาอาณาจักรทางใต้ทั้งสี่แห่ง
และอาณาจักรกอลล์ก็มีความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์มากที่สุดด้วยเพราะว่ามันใช้เขตแดนร่วมกับอาณาจักรที่เหลืออีกสามอาณาจักร และติดกับมหาสมุทรทางฝั่งตะวันออก และอาณาจักรกอลล์นั้นยังมีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในฟิรุแมนด้วย มันมีชื่อว่า ท่าเรือแอนทีค
และก็ช่างบังเอิญจริงๆที่ตลาดขายทาสนั้นเจริญรุ่งเรืองที่ท่าเรือแอนทีคพอดีเลย
ในวันนั้นมีชายสูงอายุผมหนาเป็นลอนและมีจอนยาวปรากฏตัวขึ้นที่ตลาดด้วยการโบกมืออย่างมีน้ำใจ เขาก็โยนเศษทองคำเป็นหมื่นชิ้นให้กับพ่อค้าทาส เพื่อซื้อทาสทุกคน ทุกเผ่าที่เขาสามารถหาได้-ตั้งแต่เอลฟ์ไปจนถึงปีศาจเลือดผสมและมนุษย์สัตว์รวมทั้งครึ่งมังกรด้วย
โจรของสมาคมนั้นต่างก็ตกใจกับการมาของผู้ซื้อที่กระเป๋าหนักเช่นนี้แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพวกผิดกฎหมาย แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงจรรยาบรรณที่ดีในด้านธุรกิจและความเป็นมืออาชีพโดยการขนส่งสินค้าของผู้ซื้อไปยังสถานที่ที่กำหนดในถิ่นทุรกันดารนอกท่าเรือแอนทีคอย่างมีความรับผิดชอบ
ในตอนที่พวกเขาจัดการเสร็จอยู่ๆพวกโจรก็หมดสติลงไปทั้งแบบนั้น และในตอนที่พวกเขาได้สติกลับมา พวกทาสที่พวกเขาพามาด้วยก็หายไปหมดแล้ว
กลุ่มโจรมองหน้ากันอย่างงงๆเหมือนกับว่าพวกเขาพึ่งเจอผีมาและด้วยความที่เหตุการณ์นี้มันน่าสับสนมาก พวกเขาจึงตัดสินใจกันเองในกลุ่มว่าจะไม่พูดถึงไปมากกว่านี้อีก
ที่ระยะ100 ไมล์ไกลออกไปทางทิศตะวันออกของท่าเรือแอนทีค มีป่าทึบตั้งอยู่ ด้วยความที่ทางเหนือนั้นมีฝนตกบ่อยและมีอากาศร้อนชื้น ต้นไม้จึงสูงผิดปกติจนแทบจะเหมือนกับเขตร้อนของโลกมนุษย์เลย
ป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและแมลงพิษมากมายและด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้ไม่มีคนอาศัยอยู่แถวนี้เลย
ลึกเข้าไปในป่ามีปราสาทตั้งอยู่ หากมองจากภายนอก ปราสาทดูค่อนข้างทรุดโทรม มีเถาวัลย์เลื้อยอยู่ทั่วกำแพง และมีบางส่วนพังลงมาแล้ว ไม่มีห้องไหนในปราสาทเลยที่ดูใช้การได้เลย
ยังไงก็ตามลึกเข้าไปในปราสาทใกล้ๆกับห้องเก็บไวน์ที่ตรงนั้นมีมิติทับซ้อนที่ดูน่าสงสัยมากๆอยู่
มิตินั้นมีขนาดกว้าง100 ตารางฟุตและสูง 10 ฟุต มันถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ทาสที่พึ่งถูกซื้อมานั้นได้เก็บเอาไว้ที่ชั้นล่าง ในขณะที่ด้านบนถูกใช้เป็นห้องทดลอง
ซึ่งแวนซ์เป็นคนที่ดำเนินการทดลองนี้
เขามาอยู่ที่ห้องเก็บไวน์ของปราสาทเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วในทุกๆวัน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจะดังออกมาจากรอยแตกของห้องเก็บไวน์ มันเหมือนกับเสียงร้องของภูตผี
ลิงค์เอเลียร์ด อัลโลว่าแล้วก็เอเลนอร์จะสลับคิวกันมาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ ซึ่งลิงค์ได้ออกไปจากที่นี่หลังจากที่อยู่ได้แค่หนึ่งวัน เขาไม่สามารถทนสภาพของห้องใต้ดินได้ เอเลียร์ดอ้วกตลอดทั้งวันหลังจากที่เขาไปเห็นสถานที่ทดลอง ในอีกด้านนึง อัลโลว่ากับเอเลนอร์นั้นมีสภาพที่ดีกว่าสองคนแรกเล็กน้อย แต่ว่าพวกเธอก็ทนอยู่ในห้องใต้ดินได้ไม่นานเหมือนกัน สภาพในห้องเก็บไวน์นั้นไร้มนุษยธรรมเกินกว่าจะเอาไปพูดนอกกำแพงปราสาทได้
หนึ่งเดือนต่อมาประตูใหญ่ของห้องเก็บไวน์ก็เปิดออกด้วยเสียงดังสนั่น แวนซ์ที่ดูสง่างามในทรงผมหัวล้านของเขาเดินเข้ามาและตะโกนไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของห้อง “เอาหล่ะ พวกเจ้าทุกคนเป็นอิสระแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับดังมาจากห้องเก็บไวน์10 นาทีต่อมา ปีศาจเลือดผสมก็ค่อยๆยื่นหัวออกมาจากประตูห้องเก็บไวน์ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่น่าหวาดกลัว โดยเฉพาะบริเวณอกของเขา บาดแผลทั้งหมดนั้นทับซ้อนกันเหมือนกับใยแมงมุม แม้ว่าบาดแผลของเขาจะถูกรักษาไปเยอะแล้ว แต่คุณก็คงไม่อยากจะคิดว่าเขาเคยถูกทรมานแบบไหนมาในอดีต
สายตาของปีศาจเลือดผสมดูเลิ่กลั่กซึ่งนี่เป็นเพราะว่าเขาอยู่ภายใต้ผลของเวทย์ลบความทรงจำ และด้วยผลของเวทย์นี้ พวกทาสที่อยู่ในห้องเก็บไวน์จึงได้ลืมช่วงเวลาที่อยู่ในปราสาทโบราณนี้ไปจนหมดเลย
นักเวทย์เอเลนอร์เป็นคนร่ายเวทย์นี้ใส่พวกเขา
ถัดจากปีศาจเลือดผสมก็เป็นมนุษย์สัตว์ตามมาด้วยครึ่งมังกร และจบท้ายด้วยเอลฟ์ พวกเขาทุกคนนั้นเหมือนกับปีศาจเลือดผสม ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสเช่นเดียวกัน
แต่ก็แน่นอนว่าโครงสร้างร่ายกายของพวกเขาเหล่านี้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง บาดแผลของพวกเขาก็เป็นแค่ของชั่วคราวและมันจะหายในอีกไม่นาน
ไม่นานนักพวกทาสก็หายไปจนหมดหลังจากที่สูญเสียพวกเขาไปในการทดลองจำนวน 10 คน พวกเขาเหลือรอดอยู่ประมาณ 80 คน
ในตอนที่ทาสทุกคนแยกย้ายกันออกไปตามเส้นทางของตัวเองลิงค์ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆแวนซ์ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้มิติทับซ้อนทำลายตัวเอง พร้อมกับทำลายห้องเก็บไวน์ไปพร้อมกันด้วย เขาถอนหายใจออกมาและพูด “ผมเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมในอดีตคุณถึงถูกเรียกว่านักชำแหละ ไม่อยากจะคิดเลยว่าผมเป็นคนที่อนุญาติให้คุณทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้….”
แวนซ์กางแขนออกมาแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ “การเสียสละบางส่วนไปนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการค้นหาความรู้ขั้นสูงสุด นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะทำให้มือของตัวเองสกปรกด้วยเรื่องแบบนี้ เห้อช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับเลยเพราะว่าเสียงร้องโหยหวนจากความทรมานยังคงดังก้องในหัวของข้าอยู่เลย”
ลิงค์ตบไหล่ของแวนซ์เขาไม่รู้ว่าจะปลอบโยนแวนซ์ยังไงดี ถึงแม้ว่าวิธีการจะป่าเถื่อน แต่การทดลองของเขาก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีออกมา แวนซ์นั้นมีความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับการปล่อยพลังของแต่ละเผ่า ซึ่งข้อมูลพวกนี้มีค่าสำหรับพวกเขามาก..
ในตอนที่พวกเขากลับมาที่เฟิร์ดแวนซ์ก็ได้ทำแบบคัดลอกผลการทดลองของเขาให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ในตอนที่เอเลียร์ดได้รับมัน มือของเขาสั่นเล็กน้อย เขายังคงจำกลิ่นคาวเลือดจากการทดลองได้อยู่เลย หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ
สีหน้าของลิงค์ดูมืดมนและเคร่งขรึมในขณะที่ของแวนซ์นั้นดูเหน็ดเหนื่อยจากการทดลอง ส่วนอัลโลว่ากับเอเลนอร์นั้นดูไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาซักเท่าไหร่เพราะว่าพวกเธอเคยชินกับเรื่องน่ากลัวพวกนี้อยู่แล้ว
หลังจากนั้นเอเลียร์ดก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างในมุมมองที่มีต่อโลกของคนอื่นๆก่อนหน้านี้เขามองว่าโลกมีสีดำกับสีขาว ความบริสุทธิ์ของสีทั้งสองนั้นจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะมีจุดสีเทาแซมอยู่บ้างก็ตาม
แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าโลกนี้มีแค่สีเทาเท่านั้น มันไม่มีสีดำหรือสีขาวบริสุทธิ์อยู่ในโลกใบนี้
ยกตัวอย่างเช่นในหัวใจของผู้คนที่อยู่ในเฟิร์ด ลอร์ดของพวกเขา ลิงค์เป็นคนที่น่าชื่นชมและฉลาดมาก เขาเหมือนกับพระผู้ช่วยที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการจุติใหม่ของเทพแห่งแสงเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าในครั้งนี้ เขาเป็นคนแรกที่บอกให้ใช้กำลังกับเผ่าอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แถมก่อนหน้านี้ เขาก็ได้คร่าชีวิตไปกว่า 70,000 คนที่ป้อมโอริด้าทางตอนเหนือ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็ตาม แต่มือของลิงค์นั้นอาจจะเปื้อนเลือดมากกว่าคนอื่นในโลกนี้ก็เป็นได้
ในอีกด้านนึงผู้ชายอ่อนโยนที่ชื่อแวนซ์ ที่มักจะโต้เถียงกับเขาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเวทย์มนตร์ในฐานะนักวิชาการ ก็เป็นคนที่เต็มใจอาสาผ่าศพจำนวนมากหรือแม้กระทั่งผ่าร่างเป็นๆเพื่อพัฒนาศิลปะการต่อสู้ขึ้นมา
เมื่อตัดสินจากสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปของพวกเธอเอเลียร์ดก็มั่นใจว่าทั้งอัลโลว่ากับเอเลนอร์นั้นต้องเคยมีอดีตบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้เหมือนกันแน่ๆ
ลิงค์มองเอเลียร์ดที่ยังคงเงียบอยู่ จากนั้นเขาก็พูดออกมา “มีอะไรรึเปล่า? สีหน้านายดูไม่ค่อยดีนะ”
เอเลียร์ดส่ายหัว“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่พึ่งรู้สึกตัวหน่ะว่ามันไม่มีเส้นแบ่งระหว่างแสงสว่างกับความมืด”
ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงตกใจอยู่แต่ในฐานะนักเวทย์เลเวล 7 เขาก็สามารถทำให้ตัวเองใจเย็นลงและห้ามตัวเองไม่ให้สูญเสียความเยือกเย็นได้
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปหรอกยังมีคนที่มีแสงสว่างอย่างสมบูรณ์ก็มีอยู่ ฉันเคยเห็นกับตาตัวเองมาแล้วที่ป้อมโอริด้า แต่ว่าพวกเขา…” ลิงค์นึกถึงพระสันตะปาปากับคณะของเขาที่ยอมเสียสละวิญญาณของตัวเองที่ป้อมโอริด้า คนแบบนั้นจะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อแสงสว่าง
เอเลียร์ดเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้และรอให้ลิงค์พูดต่อ
ลิงค์เงียบไปพักนึงจากนั้นก็พูดต่อ “แต่ว่า….พวกเราเป็นนักเวทย์ สำหรับพวกเรา ความขัดแย้งอันไร้ที่สิ้นสุดของความมืดกับแสงสว่างนั้นไม่มีความหมายอะไร ศาสนาและศีลธรรมเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ในตัวนักบุญที่หลุดพ้นจากทางโลก สิ่งที่พวกเราทำนั้นมีคุณค่าอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายสูงสุดของพวกเราคือการเปลี่ยนธรรมชาติของโลกใบนี้”
ก่อนหน้านี้ลิงค์ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่นัก ในตอนที่เขามีพลังมากขึ้นและมีประสบการณ์ในโลกแห่งนี้มากขึ้น ความคิดของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เหมือนกับคำคมที่มักจะพูดกันในโลกว่า “จงอย่าละอายในวิธีการของตัวเอง และอย่าสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง”
ที่ข้างๆเอเลียร์ดแวนซ์ได้พูดขึ้นมา “พวกเราจะต้องขยันทำงานของพวกเราเพื่อที่จะปรับปรุงโลกนี้ใหม่ ซึ่งมันอาจจะมีบางครั้งที่เราถูกบังคับให้ต้องละทิ้งกุญแจมือแห่งคุณธรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเรา”
เอเลนอร์พูดเสริม“ลิงค์พูดเหมือนกับที่ข้าคิดเลย”
สตรีแห่งความจริงอัลโลว่าพูดด้วยความเคร่งขรึม“นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงทิ้งพวกดาร์กเอลฟ์และมาอยู่กับลิงค์ เขามองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่าคนอื่นๆ”
สำหรับพวกเขาทุกคนความกตัญญู คุณธรรมและคุณค่าของมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าอุปสรรค นักเวทย์จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ระหว่างแสงสว่างหรือความมืด แต่ว่าพวกเขาจะทำตามเป้าหมายและอะไรก็ตามที่สามารถเติมเต็มเป้าหมายของพวกเขาได้
แม้ว่าลิงค์จะชอบทำตัวสูงส่งกับโลกภายนอกแต่นั่นก็เป็นเพราะวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการจะทำให้การกระทำของเขาได้รับการสนับสนุน
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาเอเลียร์ดก็มองไปที่พรรคพวกรอบๆด้วยความตกตะลึง
เขาเข้าใจทุกสิ่งชัดเจนขึ้นมาในทันที
การสังหารความโหดร้าย ความมีเมตตา ความโลภ-ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นเครื่องมือสู่จุดจบ เครื่องมือเหล่านี้จะถูกใช้ยามจำเป็นและจะถูกยกเลิกก็ต่อเมื่อพวกเขาทำสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะทำความผิดพลาดด้วยความสับสนและในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในระหว่างนั้น
เขาถอนหายใจออกมาเอเลียร์ดรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าของเขาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม มีคนอื่นที่เหมือนกับเขากำลังเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน และพวกเขาต่างก็ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์กันทั้งนั้น
“ฉันเข้าใจแล้ว”เอเลียร์ดพยักหน้า
จากนั้นลิงค์ก็สับเปลี่ยนกระดาษในมือของเขาและพูดกับคนอื่นๆ“ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ”