Advent of the Archmage - ตอนที่ 412: ฉันจัดการเองได้
Advent of the Archmage Chapter 412: ฉันจัดการเองได้
“มีคนพามันไป ดูรอยนี้สิ มันถูกพาไปทางนั้น”
ที่ทางเข้าคลังสมบัติของยับบ้า ลิงค์ตรวจดูที่พื้นแล้วพบรอยเลือดกับรอยเท้าอ่อนๆ เขาไล่ตามไปได้ประมาณ 150 ฟุตก่อนที่ร่องรอยจะหายไป
“ต้องเป็นนากาตัวที่หนีไปได้แน่ๆเลย เธอช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ!” ลิงค์พูดกับชาวยับบ้าที่ตามเขามา
เอดินไม่สามารถทําความเข้าใจมันได้ “อย่าบอกนะว่าเขา(เทพแห่งการทําลายล้าง)วางแผนที่จะชุบชีวิตอาเคนเซอร์?แต่ว่าสมองของมันเละไปแล้ว แล้วศพของมันจะไปมีประโยชน์อะไรหล่ะ?”
เธอรู้ว่าศัตรูนั้นได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้าที่อาจจะสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น อาเคนเซอร์ก็น่าจะถูกชุบขึ้นมาเป็นซอมบี้ไร้หัวไม่ใช่หรอ?
ลิงค์ไม่มีทางที่จะตัดสินการกระทําของเทพเจ้าแห่งการทําลายล้างได้อย่างแม่นยํา เขาคิดอยู่พักนึงก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร เขาก็มีจุดประสงค์อยู่ข้อเดียว: นั่นก็คือเขาต้องการพานากามายังฟิรุแมน และเมืองลาริเอลก็เป็นสถานที่ที่ดีในการเริ่มการรุกรานของเขา เพราะว่ามันมีทรัพยากรอยู่มากมาย ดังนั้น พวกเราจะต้องย้ายทรัพยากรพวกนี้ออกไป”
ก่อนที่จะถูกฆ่า พวกนากากําลังเตรียมเคลื่อนย้ายหินแบล็คคุนไปยังศูนย์กลางของตาข่ายเวทมนตร์ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าอาเคนเซอร์สามารถควบคุมตาข่ายเวทมนตร์ให้เปิดประตูมิติได้
ยับบ้าคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจถึงความอันตรายที่พวกเขากําลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ยกเว้นแค่เอดิน ภายในค่ำคืนอันแสนสั้นนี้ เธอได้พูดคุยกับเทพเจ้าที่ซ่อนอยู่ภายในความว่างเปล่าถึงสองครั้ง ยังไงก็ตาม ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นแบบไหนพวกเธอก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ที่ลาริเอลได้อีกแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะสามารถซ่อมเรือเหาะหรือตาข่ายเวทมนตร์ได้ แต่พวกเขาก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่ดี
เธอหันมาหาลิงค์แล้วพูด “หลังจากที่ตาข่ายเวทมนตร์ถูกทําลาย ความหนาแน่นของมานาก็เพิ่มขึ้นมาก ทําให้มันไม่เหมาะกับการที่จะอาศัยอยู่ ท่านคะ ดูเหมือนว่าพวกเราจะถึงเวลาลงใต้แล้วหล่ะ”
แฟลงคลินมองไปรอบๆอย่างเหงาหงอย หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาก็พยักหน้า “เอดิน เจ้าพูดถูก พวกเราควรเชื่อฟังคําแนะนําของท่าน พวกเราจะเดินทางลงใต้เดี๋ยวนี้เลย” เขาพูด
เขาหันมาหาลิงค์ “ท่านครับ ท่านได้ทําตามคําสัญญาของท่านแล้ว ดังนั้นพวกเราชาวยับบ้าก็จะรักษาคําสัญญาที่จะย้ายไปยังดินแดนของท่าน ข้าได้ยินมาจากเอลินว่ามีเกาะที่อยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งของเฟิร์ด…”
ลิงค์ยิ้มและตอบกลับ “เอลินรู้เรื่องนี้แล้ว คุณสามารถถามรายละเอียดกับเธอได้เลย”
เอลินพยักหน้าแล้วหยิบหนังสือที่เต็มไปด้วยกระดาษจดออกมายื่นให้กับลอร์ดแฟลงคลิน กระดาษพวกนี้ถูกเขียนขึ้นมาในระหว่างที่เธอใช้เวลาอยู่กับลิงค์ที่หุบเขามังกร
แฟลงคลินอ่านมันอย่างละเอียดก่อนที่จะพยักหน้า “ข้าไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ไปกันเถอะ!”
ช่างฝีมือชาวยับบ้ามารวมตัวกันที่ข้างๆเขา แฟลงคลินหันไปหาพวกเขาและออกคําสั่ง “พวกเราจะจัดการกับของทุกอย่างที่อยู่ที่นี้ อะไรที่สามารถเอาไปได้ก็เอาไปซะ ส่วนของที่เอาไปไม่ได้ให้ทําลายทิ้งให้หมด และพอพวกเราไปถึงทางใต้ พวกเราจะสร้างสิ่งที่พวกเรามีขึ้นมาใหม่ ท่านลอร์ดได้ให้สัญญาว่าจะให้พวกเราอาศัยอยู่ที่เกาะแห่งนึงซึ่งพวกเราสามารถพักอาศัยและดูแลตัวเองที่นั่นได้”
ไม่มีช่างฝีมือคนไหนไม่เห็นด้วย พวกเขาเริ่มคุยกันถึงเรื่องรายละเอียดในแผนการเก็บกวาด
รายละเอียดพวกนี้เป็นเรื่องที่ลิงค์ไม่คุ้นเคยและไม่จําเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับมันด้วย มันจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะอยู่ห่างๆและไปทําอย่างอื่นแทน ตอนนี้เขารู้สึกเบื่อ เขาจึงตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบรูปปั้นนักปราชญ์ยับบ้า
รูปปั้นนั้นทํามาจากวัตถุดิบที่สามารถนําเอาไปสร้างเป็นประตูมิติแบบถาวรได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทิ้งมันไว้
เกยับบ้ากําลังเตรียมตัวที่จะแยะ ปั้นและพาลงใต้ไปกับพวกเขาด้วย
อันที่จริง พวกยับบ้ากําลังเตรียมตัวทําลายเหมืองที่พวกเขาไปเก็บวัตถุดิบทํารูปปั้นนี้ด้วย
พอเห็นพวกเขากําลังตั้งใจทํางาน ลิงค์จึงตัดสินใจที่จะช่วยพวกเขา
เขาเห็นว่าเขาสามารถร่ายเวทย์เพื่อช่วยเร่งกระบวนการได้ เขาคิดอยู่พักนึง และตัดสินใจที่จะใช้แส้ผู้สังหารปีศาจ หลังจากสั่งให้พวกยับบ้าถอยออกไป เขาก็เรียกแม้ผู้สังหารปีศาจออกมา เส้นไหมสีทองแดงได้ปรากฏขึ้นและเริ่มเข้าไปพันรูปปั้น และทําให้หินละลาย
“ทลาย!”
อยู่ๆเส้นไหมสีแดงก็รัดแน่นขึ้น และรูปปั้นก็ถูกนั่นออกเป็นแผ่นหนาไม่ถึงครึ่งนิ้ว ในตอนที่แผ่นหินตกลงมาที่พื้นมันก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆที่มีน้ำหนักไม่ถึง22ปอนด์ต่อชิ้น
“โอเค ขนย้ายมันได้แล้ว” ลิงค์พูดกับชาวยับบ้าที่กําลังตะลึง
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวยับบ้าก็ร่วมแรงร่วมใจกัน แม้แต่ลิงค์กับริเอลก็ช่วยพวกเขาด้วย ช่างฝีมือยับบ้ากําลังอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมเรือเหาะ และพวกเขาก็ทํางานโดยไม่ได้พักผ่อน แม้กระทั่งในตอนที่ลิงค์กับริเอลหยุดพัก พวกเขาก็ยังคงทํางานของพวกเขาต่อไป
มันเป็นแบบนี้อยู่ 3 วันเต็ม หลังจากนั้น ช่างฝีมือชาวยับบ้าก็ซ่อมแซมเรือเหาะขนาดกลางได้อย่างสมบูรณ์ รวมไปถึงเรือลําเล็กอีก 20 กว่าลําด้วย ซึ่งนี่ทําให้ชาวยับบ้าได้รับขุมพลังที่แข็งแกร่งของพวกเขากลับมา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชาวยับบ้า 200,000 คนภายในเมืองลาริเอลก็เหมือนกับฝูงมด พวกเขาทําการเคลียร์เมืองและได้ทําให้เมืองกลายเป็นเมืองผี
ของที่มีค่าและสามารถใช้งานได้ถูกเอาไปจนหมด
หลังจากผ่านไปอีก 2 วัน นอกจากช่างฝีมือชาวยับบ้าที่ยังคงซ่อมเรือเหาะอย่างขยันขันแข็ง ชาวยับบ้าที่เหลือก็ได้เริ่มออกเดินทางลงใต้
จากเนินสูงที่อยู่นอกเมืองลาริเอล ลิงค์ ริเอล และเหล่าผู้บัญชาการยับบ้าได้เฝ้ามองดูพวกยับบ้าที่กําลังอพยพ
ลิงค์พูดกับแฟลงคลิน “สถานการณ์ทางใต้เองก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เนโครแมนเซอร์แอนดรูวได้ทําการโจมตีปาเกอเวนท์ บางทีตอนนี้เมืองฮอทสปริงอาจจะล่มสลายไปแล้วก็ได้ ระหว่างที่พวกคุณเดินทางลงใต้ อย่าเดินทางเร็วนักหล่ะ พวกเราจะไปปลดปล่อยป้อมโอริด้าจากการปิดล้อมก่อน และในตอนที่พวกเราจัดการเสร็จ กองกําลังพันธมิตรจะมุ่งหน้าไปช่วยพวกคุณ ผมคาดว่ามันน่าจะใช้เวลาทั้งหมด 10วัน ”
“โอเคครับ” แฟลงคลินพยักหน้า
แน่นอนว่าทางใต้เองก็ไม่ได้สงบสุข แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ดีกว่าสถานการณ์ที่เทือกเขาเฮงดวน และที่สําคัญที่สุดคือทางใต้นั้นมีลิงค์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตํานานคอยคุ้มครองอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ทําให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ในตอนแรก ริเอลนั้นมีแผนที่จะกลับไปยังป้อมโอริด้าและแก้แค้นพวกปีศาจ ยังไงก็ตาม เนื่องจากการขอร้องอย่างไม่หยุดหย่อนจากชาวยับบ้าและสาวๆน่ารักชาวยับบ้าที่คอยมาปรนนิบัติเขา ทําให้เขาตอบตกลงเรื่องที่จะพาชาวยับบ้าลงใต้ ริเอลไม่สามารถทนต่อสายตาอันสดใสและสวยงามของชาวยับบ้าที่มองมาที่เขาตอนกําลังขอร้องได้
ส่วนเรื่องสถานการณ์ที่ป้อมโอริด้านั้น ริเอลรู้ว่าลิงค์สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว ในตอนนี้ เรือเหาะลําเล็กได้บินมาทางพวกเขา แลนนี่เป็นคนขับมัน และในตอนที่เธอเข้ามาใกล้พวกเขา เธอก็หักเลี้ยวเล็กน้อย และจอดมันลงอย่างนุ่มนวล
ฝาครอบเรือเหาะเปิดออกและใบหน้าที่เหมือนกับเด็กของแลนนี่ก็โผล่ออกมา “ท่านคะ เรือเหาะลํานี้ออกแบบมาสําหรับสองคน ให้ข้าพาท่านไปที่ป้อมโอริด้าก่อนเถอะ” แลนนี่พูด
ลิงค์มองเข้าไปและเห็นว่ามันเป็นอย่างที่แลนนี่พูดจริงๆ มีเบานั่งสบายอยู่ ลิงค์ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธมัน เขาหันไปหาแฟลงคลินและพูด “ถ้างั้น ผมขอตัวก่อนนะ”
“ระวังตัวด้วยนะครับ” แฟลงคลินพูด
“นายท่าน รีบกลับมาเร็วๆนะ”เอลินอดพูดไม่ได้เหมือนกัน
“ลิงค์ ฝากจัดการไอ้สุนัขรับใช้ของปีศาจพวกนั้นแทนข้าด้วยนะ” ริเอลตะโกน พร้อมกับเหวี่ยงค้อนสงครามของเขาอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่า ริเอลยังคงอยากสู้อีก
“ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการได้อยู่แล้ว” ลิงค์ตอบ
ลิงค์หัวเราะและปีนขึ้นไปบนเรือเหาะ ตบ ฝาครอบเรือเหาะปิดลงและแอลนนี่ก็ตะโกน “โอเค ออกบินได้!”
อยู่ๆลิงค์ก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักขึ้นก่อนที่เครื่องจะพุ่งขึ้นฟ้า ในตอนที่พวกเขาขึ้นไปถึงความสูง 9,000 ฟุตเรือเหาะก็หยุดเพิ่มระดับความสูงและหันหน้าไปทางป้อมโอริด้า
เรือเหาะนั้นเร็วมาก มันเดินทางด้วยความเร็ว 900 ฟุตต่อวินาที ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเดินทางเป็นเส้นตรงไปยังป้อมโอริด้าอีกด้วย มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากสําหรับการเดินทางที่เร่งรีบ
แลนนี่ปรับรูปแบบเวทมนตร์ที่ควบคุมเรือเหาะและหัวเราะออกมา “พวกเราจะไปถึงป้อมโอริด้าภายในเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง”
“เยี่ยมไปเลย” ลิงค์กล่าวชม ภายในของเรือเหาะนั้นสวยงามและกว้างขวางมาก เขาสามารถนอนผ่อนคลายบนเบาะได้อย่างสบายๆ แลนนี่นั้นกําลังมีสมาธิกับการขับเครื่องบิน และลิงค์เองก็รู้สึกเบื่อ ดังนั้นเขาจึงหยิบหนังสือออกมาอ่าน
เขากําลังอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า แก่นแท้แห่งปลวเพลิง ก่อนหน้านี้ มันมีหลายส่วนที่เขาไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขามีพลังอยู่ในระดับตํานาน บางเรื่องที่เขาเคยไม่เข้าใจในก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันเริ่มดูเข้าใจง่ายขึ้นมาแล้ว
ในตอนที่คนๆนึงมีพลังมากพอ บางสิ่งก็จะมาหาคนๆนั้นเองตามธรรมชาติ
ยิ่งเขาอ่านมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งหมกมุ่นกับมันมากเท่านั้น และความเข้าใจในเรื่องแก่นแท้ของเปลวเพลิงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เขาอ่าน เขาจะจดไปด้วย จนถึงตอนนี้ เขามีแรงบัลดาลใจและร่างรูปแบบโครงสร้างเวทมนตร์ใหม่เอาไว้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เขากําลังจดจ่ออยู่กับหนังสือของเขา เสียงของแลนนี่ก็เตือนให้เขากลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน “ท่านคะ พวกเรากําลังจะถึงป้อมโอริด้าแล้ว”
“โห เร็วอยู่นะเนี่ย!” ลิงค์ตอบ เขายื่นศรีษะออกไปมองและเห็นว่าบาเรียสีเหลืองรอบป้อมโอริด้ายังอยู่ดี นี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าป้อมปราการของโอริด้ายังไม่ถูกทะลวงเข้าไป เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะมองไปทางกองทัพปีศาจที่อยู่รอบๆป้อมปราการ
หลังจากมองไปพักนึง ลิงค์ก็ขมวดคิ้ว
พวกเขายังอยู่ห่างจากป้อมโอริด้าไป 6,000 ไมล์ แลนนี่แทบมองไม่เห็นป้อมปราการและไม่รู้สถานการณ์บนภาคพื้นดินเลย “เกิดอะไรขึ้น?”เธอถาม
“ดูเหมือนว่าจํานวนปีศาจจะลดลงไปเยอะเลย”
แค่มองผ่านๆก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าจํานวนของพวกปีศาจนั้นหายไปประมาณครึ่งนึง พวกมันหายไปไหนกัน?พวกมันกลับไปที่ป่าทมิฬเหรอ? หรือว่าพวกมันลงไปทางใต้?
ลิงค์คิดถึงความเป็นไปได้มากมาย
มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้าพวกมันกลับไปที่ปาทมิฬ ยังไงก็ตาม ถ้าเกิดว่าพวกมันลงไปทางใต้ มันจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมา เส้นทางลงใต้นั้นมีการป้องกันอยู่ก็จริง ยังไงก็ตามทหารส่วนใหญ่ได้ถูกเรียกมาที่ป้อมโอริด้า ทําให้การป้องกันอ่อนแอ พวกปีศาจสามารถทะลวงผ่านได้อย่างสบายๆ
ระหว่างที่เขาคิดเรื่องพวกนี้ ลิงค์ก็เห็นปีศาจประมาณ 6 ตัววิ่งออกมาจากป้อมโอริด้าและกลับไปยังปาทมิฬ
ปีศาจพวกนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่าพวกมันวิ่งพล่านไปทั่ว มันเหมือนกับว่าพวกมันทิ้งกองทัพออกมา เมื่อเห็นภาพนี้ ลิงค์จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดูเหมือนว่าพวกมันจะตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะขาดผู้นําไปนะ การที่ซาโรวินี่ติดอยู่ในอารากู่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
พอคิดได้อย่างนี้ ลิงค์ก็พูดออกมา “ปล่อยฉันลงตรงนี้ มีปีศาจประมาณ 20,000 ตัวอยู่นอกป้อมโอริด้า พวกเราจะปล่อยให้พวกมันหนีไปไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว”
“ท่านคะ นั้นมัน 20,000 ตัวเลยนะ ท่านเอาจริงหรอ?” แลนนี่ตกใจ เธอคิดว่าลิงค์จะตรงไปยังป้อมโอริด้าและพาพวกนักรบจากข้างในป้อมออกมาต่อสู้กับพวกปีศาจ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลิงค์จะตัดสินใจออกไปสู้ด้วยตัวคนเดียว เธอไม่สามารถทําความเข้าใจได้เลย
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก แค่จอดลงตรงนี้และซ่อนตัวเอาไว้ก็พอ ฉันจะไปลอบโจมตีพวกมัน” ลิงค์พูดในขณะที่ดึงดาบราชามังกรพิโรธออกมา