Advent of the Archmage - ตอนที่ 179: วิกฤติที่ใกล้เข้ามา
หอคอยอสุรา, สถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ
มีหอคอยสีขาวแห่งนึงตั้งตระง่านอยู่ เสมือนกับชายแก่เขร่งขรึมที่ยืนอย่างเงียบสงบตรงเนินเขาเฝ้ามองทั้งสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟ
มันคือสถานที่สำหรับพวกปีศาจและพวกชั่วร้ายที่ถูกขับไล่จากโลกภายนอกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้มีความลับมากมายถูกฝังเอาไว้ในหอคอยแห่งนี้ ซึ่งแม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันเวทมนตร์อีสโควฟก็ไม่อาจจะขุดมันขึ้นมาได้
มีอะไรเกิดขึ้นในหอคอยสีขาวแห่งนี้? นักโทษที่อยู่ข้างในนั้นกำลังคิดวางแผนทำอะไรกัน? เรื่องพวกนั้นไม่มีใครอาจจะรู้ได้
เบล นั่งไขว่ห้างอยู่ในกรงของเขาในหอคอยสีขาว ดูจากภายนอกแล้วมันดูเหมือนกับว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร การ์ดประจำหอคอยที่มีหน้าที่ในการรักษาสมดุลของธาตุในร่างกายของนักโทษเดินผ่านเขาไปโดยไม่ได้ชายตามองเลย
ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่า เบล นั้นมีระดับจิตวิญญาณที่ดีมาก เขากำลังคุยกับนักโทษคนหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในชั้นใต้ดินลึกของหอคอยแห่งนี้
“นี่เจ้าคิดจะให้ข้าเชื่อหุ่นเชิดอย่างเจ้าเนี่ยนะ?” เสียงที่ดูมืดมนดังขึ้นในหัวของ เบล “นี่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าสามารถพาพวกข้าหนีออกไปได้?” เจ้าของเสียงนั้นถูกขังอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว ดังนั้น เบล ที่มีอายุ 70 ปีนั้น ในสายของของเขาจึงเป็นแค่เด็กน้อยคนนึงเท่านั้น
“ข้าขอเอาวิญญาณของข้าเป็นประกันเลย” เบล สาบาน “ข้าจะหาทางพาพวกเราหนีให้ได้”
“เฮอะ! เอาวิญญาณของเจ้าเป็นประกันงั้นหรอ! มันอาจจะคุ้มกับเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญทองแดงเท่านั้นแหล่ะ!” มีอีกเสียงดังขึ้นมา “แต่ว่า แผนการของเจ้าก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นนะ ถ้า ทราวิส ถูกปล่อยออกมา ทั้งสถาบันอีสโควฟจะต้องถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านแน่”
“แต่ถึงอีสโควฟจะกลายเป็นกองขี้เถ้าแล้วยังไงหล่ะ? มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอยู่ดีนี่” เสียงนี้ดูโหดร้ายเป็นอย่างมากเพราะว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นสัตว์วิเศษที่มีระดับสติปัญญาสูง “ไอกลุ่มคนน่าสมเพศที่เรียกตัวเองว่านักเวทย์ขังข้าเอาไว้ที่นี่เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้ว! ข้ารอไม่ไหวแล้ว ข้าจะออกไปกินพวกมันให้หมด!”
“แน่นอนสิว่าสถาบันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแก แกมันก็แค่สัตว์ดุร้ายตัวนึง!” มีอีกเสียงนึงตอบ “แต่ว่าข้าเป็นสมาชิกของสถาบัน และพวกที่จับข้ามาขังไว้ก็ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลให้เกลียดสถาบันแล้ว”
“ถูกต้อง” มีเสียงดังประสานขึ้นพร้อมกัน “ข้าไม่เชื่อในแผนการที่มีสัตว์ป่ารวมอยู่ด้วยหรอก!”
“แกเรียกใครว่าสัตว์ป่าห้ะ!” เสียงของสัตว์วิเศษดังขึ้น “พอข้าออกไปได้ข้าจะกัดหัวของพวกเจ้าทุกคนให้ขาดเลย!”
“ไอสัส เย็xแม่เอ้ย!” มีอีกเสียงตอบกลับมาในทันที
เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่กลุ่มสัตว์ประหลาดที่ถูกขังอยู่ในหอคอยแห่งนี้เป็นเวลากว่า10ปีหรือแม้กระทั่ง100 ปีได้เริ่มด่าทอกันในจิตใจของ เบล พวกเขาลืมไปหมดแล้วว่าพวกเขามาคุยเรื่องอะไรกันในตอนแรก
หัวของ เบล แทบจะระเบิดกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสื่อสารทางจิตกับนักโทษคนอื่นในหอคอยอสุรา ทุกครั้งที่พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มารวมตัวกันพวกเขามักจะจบด้วยการตีกันเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยตกลงอะไรกันได้เลย
จากนั้นเขาก็หยุดใช้เวทย์เชื่อมต่อวิญญาณ และเสียงทั้งหมดในหัวของเขาก็หายไปในทันที โลกกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ข้าจะทำยังไงดีนะ? เบล คิดพลางกับนวดขมับของเขาไปด้วย เขาฟื้นฟูมานาในร่างกายของเขากลับมาได้ 70% ของพลังดั้งเดิมของเขาแล้วและดวงตาของเขาก็กลับมาทำงานได้แล้ว ซึ่งนี่มันเป็นการพัฒนาที่ดีจริงๆ
ด้วยพลังขนาดนี้ เขาน่าจะสร้างความวุ่นวายในหอคอยอสุราได้ แต่ก็ไม่อาจจะทำลายมันได้ ในตอนนี้, เขาอาจจะยังไม่สามารถจัดการกับการ์ดประจำหอคอยที่เดินผ่านกรงของเขาทุกวันได้ ซึ่งการโจมตีของพวกเขานั้นง่ายมาก พวกเขาเพียงแค่ยิงลูกศรธาตุออกมาอย่างต่อเนื่อง และมันก็เคลื่อนเร็วมากและมีพลังเท่ากับเวทย์เลเวล 6
เมื่อคุณถูกล้อมด้วยการ์ดจำนวนมากและโจมตีคุณด้วยลูกศรธาตุมากมายหลายแบบนั้น มันไม่เกี่ยวหรอกเลเวลคุณจะสูงขนาดไหนหรือแข็งแกร่งขนาดไหน ความจริงก็คือ แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ แอนโทนี่ เองก็ไม่อาจหนีออกจากสถานการณ์เช่นนั้นได้โดยไร้รอยขีดข่วน
มีทางเดียวที่สามารถทำลายหอคอยอสุราและหนีออกจากที่นี่ได้ก็คือการปลดปล่อยปีศาจ ทราวิส และทางเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือต้องรวมพลังของนักโทษทั้งหมดในหอคอยนี้ แต่ว่าพวกนักโทษนั้น…. พวกเขามาจากหลายๆที่และมีเบื้องหลังที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขามาร่วมมือกัน
ขณะที่ เบล กำลังครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกวูบไปแปปนึง ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจของเขา และแสงนั้นมันก็ชัดเจนมากจนเขาสามารถมองเห็นมันได้
จากนั้นเขาก็หมดสติไป
หลังจากนั้น เบล ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นตาของ ลิซ ที่ดวงตาทั้งสองข้างลุกไหม้ด้วยไฟสีเขียว สีของไฟนั้นมันไม่เหมือนเดิมเพราะว่าร่างกายของเขานั้นถูกคนอื่นสิงอยู่
ไม่เลวเลยนี่ เบล คนใหม่คิด ตาแก่นี่ขยันมาก พละกำลังของมันฟื้นฟูขึ้นมากเลยในเวลาไม่กี่เดือนมานี้
เบล ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะสลบไป แต่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับรูนสื่อสารที่เขาแตะไปก่อนหน้านี้
หัวหน้าสภาซิลเวอร์มูนของดาร์กเอลฟ์, แมนรอต เป็นนักเวทย์เลเวล 8 ที่แทบจะไร้คู่ต่อสู้ เขาแข็งแกร่งกว่านักเวทย์ทั่วไปมาก เป็นรองแค่ราชินีแห่งไฮเอลฟ์เท่านั้น
ด้วยรูนสื่อสาร แมนรอต สามารถส่งเสียงเข้าไปในจิตใจของ เบล ได้ และเขาก็สามารถส่งสิ่งต่างๆเข้าไปในจิตใจของเขาได้เช่นกัน รวมทั้งเมื่อถึงเวลาจำเป็น เขาก็สามารถควบคุมร่างกายของ เบล โดยใช้กระแสจิตได้ด้วย
แต่การควบคุมร่างกายของ เบล แบบนี้ก็มีข้อจำกัดที่มากมายเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเวลา มันไม่ใช่เพราะร่างกายของ เบล รับมันไม่ไหว แต่วิญญาณของ แมนรอต เองนั่นแหละที่ไม่สามารถทนต่อการส่งพลังงานอันมหาศาลออกมาจากร่างของเขาได้ ถ้าเกิดว่าเขาข้ามขีดจำกัดของเขาไปหล่ะก็ วิญญาณของเขาก็จะสลายไปในทันที
ฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้แค่ 3 วันสินะ แมนรอต คิด แต่ว่าความสำเร็จของแผนกบฏจันทราทมิฬนั้นขึ้นอยู่กับแผนการนี้ ดังนั้นเขาจะทำมันพลาดไม่ได้
โดยปกติแล้วมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เขามาทำภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้ แต่ว่าแผนการได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่กองทหารของอาณาจักรนอร์ตันแข็งแกร่งขึ้น ดาร์กเอลฟ์พ่ายแพ้ไปมากมายหลายครั้งและสูญเสียข้อได้เปรียบทางกลยุทธ์ไป ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็มีความเป็นไปได้ที่อาณาจักรพาแลคจะพ่ายแพ้ ต่อให้มีการเปิดใช้อุปกรณ์เทพก็ตาม
และแล้วเขาก็มาที่นี่
เขาตรวจดูความทรงจำของ เบล และเข้าใจสถานการณ์ในหอคอยอย่างรวดเร็ว
มีแต่พวกโง่เต็มไปหมด แมนรอต คิดพร้อมกับยิ้มมุมปาก
มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปคุยด้วยเหตุผลกับไอพวกโง่อย่างนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือการแสดงความยิ่งใหญ่ พลังและความมั่นใจ พวกเขาจะเชื่อในตัวคุณอย่างรวดเร็วถ้าพวกเขารู้ว่าคุณมีสิ่งที่กล่าวมา จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มเชื่อคุณว่า คุณจะสามารถพาพวกเขาออกจากที่นี่ได้จริงๆ
โชคร้ายที่ เบล ไม่มีพลังในการทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงติดอยู่กับการใช้เหตุผลกับพวกโง่ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องจบลงด้วยการทะเลาะวิวาท
จากนั้น แมนรอต ก็ตรวจสอบพลังที่ร่างของ เบล มี และเขาก็เลือกที่จะร่ายเวทย์ลึกลับอีกครั้ง-เชื่อมต่อวิญญาณ
เชื่อมต่อวิญญาณ
เวทย์ลึกลับเลเวล 6
ผล: สร้างเครือข่ายการสื่อสารที่ลับมากๆโดยการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับวิญญาณที่อยู่รอบๆตัวผู้ใช้ผ่านทางพลังงานมานาลึกลับ
(หมายเหตุ: ต้องการที่จะสื่อสารกับคนอื่นแบบลับๆงั้นเหรอ? งั้นเรียนเวทย์นี้สิ)
จากนั้นเมื่อเวทย์ถูกร่าย แมนรอต ก็สังเกตเห็นจุดของแสงรอบตัวเขา เขารู้ว่าแสงพวกนี้คือวิญญาณ และวิญญาณพวกนี้ก็คือนักโทษทั้งหมดที่อยู่ในหอคอยอสุรา
วิญญาณพวกนี้ค่อยๆถูกเชื่อมต่อทีละคนๆ และเสียงของพวกเขาก็เริ่มที่จะดังในหัวของ แมนรอต
“ไอระยำ!” เสียงพูดขึ้นมา “ข้ากำลังพูดอยู่เลย ทำไมแกถึงหยุดไอเวทย์บ้านั่นห้ะ?”
“ไอลูกกะxรี่” อีกเสียงนึงพูดขึ้นมา “คนอย่างแกจะพาพวกเราออกจากที่แย่ๆอย่างนี้ได้จริงเรอะ?”
“ไอหนู ข้าจะบอกให้” มีอีกเสียงดังขึ้นมา “ข้าสัญญาว่าจะร่วมมือกับเจ้า แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อย ทราวิส หล่ะก็ ข้าขอไม่เอาด้วยนะ!”
เสียงนั้นปะปนกันจนกลายเป็นเสียงรบกวน แต่ แมนรอต ก็ยังคงใจเย็นและรอให้เสียงมันสงบลงก่อนที่เขาจะเข้าไปร่วมพูดคุยด้วย
“ข้าจะไม่พูดมาก” ในที่สุดเขาก็พูด “ดูที่แปลนผนึกเวทมนตร์นี่ซะ” ขณะที่เขาพูด เขาก็ส่งแปลนผนึกเวทมนตร์ให้กับวิญญาณทุกคนที่อยู่ที่นี่
“ไอนี่มันคืออะไร?” สัตว์วิเศษที่ดุร้ายพูด เขาเชื่อเฉพาะเขี้ยวเล็บของเขาเองเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยจะสนใจเกี่ยวกับผนึกเวทมนตร์หรืออะไรอย่างอื่นเลย
แต่สำหรับคนอื่นนั้นแตกต่าง นักโทษส่วนใหญ่ในหอคอยอสุรานั้นเป็นนักเวทย์ ในตอนที่ แมนรอต ส่งแปลนผนึกเวทมนตร์ไปให้ นักเวทย์พวกนี้เพียงแค่มองไปที่มันเท่านั้นก่อนที่จะเริ่มเข้าใจเนื้อหาของมัน ในเวลาไม่นานพวกเขาก็เริ่มจมลงสู่ความเงียบ
ใช่แล้วก่อนที่พวกเขาจะถูกจับขังไว้ในหอคอยต้องสาปนี้ นักโทษส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของช่วงเวลาของพวกเขา คุณสามารถเจอจอมเวทย์เลเวล 6 ได้ทั่วไปในหอคอยนี้ และยังมีบางคนที่เป็นเลเวล 7 ถึงแม้ว่าในพวกเขาจะไม่มีเลเวล 8 เลยก็ตาม ในตอนที่พวกเขามองไปที่แปลนผนึกเวทมนตร์ พวกเขาต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก
เป็นเวลานาน ที่เสียงในหัวของ แมนรอต นั้นลดลงไปถึง 90% เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นต่างก็เงียบกันหมด
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็มีนักเวทย์คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ด้วยสิ่งนี้ ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะสามารถออกจากที่นี่ได้” เขาพูด
“แต่ ทราวิส ก็ต้องถูกปลดปล่อยออกมาด้วยนะ…”คนอื่นตอบ
“ข้าไม่ห่วงเรื่องสถาบันหรอก” มีอีกเสียงนึงตอบขึ้นมา “ข้าต้องการแค่จะออกจากที่นี่เท่านั้น!”
“ข้าจะเข้าร่วมแผนการนี้ด้วย!” นักโทษคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
“เฮ้ พวกแกพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?” สัตว์วิเศษถาม “พวกแกเข้าร่วมอะไรกัน?” เขารู้สึกได้ว่าแผนการในครั้งนี้มีโอกาสที่จะสำเร็จ สิ่งนี้จะให้โอกาสเขาได้มีอิสระในการออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ด้วยความที่เป็นสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาสูง ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการอีกแล้วนอกจากการได้เป็นอิสระอีกครั้ง เขายังคงจำสัตว์เพศเมียที่มีขนสวยๆที่อยู่ในป่าเขตร้อนทางใต้ได้อยู่เลย ร่างกายอันนุ่มนวล เสียงคำรามอันน่าดึงดูด-เขายังคงจำทุกรายละเอียดได้แม้ว่าเขาจะถูกจำคุกมาเป็นศตวรรษแล้วก็ตาม
แมนรอต ไม่สนใจเจ้าสัตว์ร้ายและคุยกับพวกนักเวทย์ต่อ
“ถ้าเกิดว่าไม่มีใครปฏิเสธ” เขาพูด “งั้นพวกเราจะเริ่มแผนการกันคืนนี้เลย มีคำถามไหม?”
เกิดความเงียบขึ้นในจิตใจของ แมนรอต จากนั้นในที่สุดก็มีคนตอบออกมา
“เอาสิ” “มันจะดีที่สุดถ้าเราเริ่มมันเลยคืนนี้”
“เห็นด้วย” มีเสียงตอบพร้อมกันเป็นจำนวนมาก
“เฮ้ อย่าลืมข้าด้วยสิ!” สัตว์ร้ายพูด “เอาข้าไปกับเจ้าด้วย ข้าจะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน พวกเราจะทำอะไรกันหน่ะ? ฮัลโหล?” เสียงของสัตว์ร้ายนั้นได้สูญเสียความดุร้ายไปแล้วและเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อยในตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนจะทิ้งเขาเอาไว้ เขาไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งอยู่ในสถานที่ที่เปียกชื้นเช่นนี้!
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันมาโดยตลอด แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาเป็นศตวรรษ แล้วพวกเขาจะทิ้งเขาไว้เพียงเพราะแผนการที่ดูดีนี้งั้นเหรอ? มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว!
แต่ว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามส่งเสียงยังไง ก็ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย
จากนั้น อยู่ๆก็มีเสียงแหบแห้งดังขึ้นในหัวของ แมนรอต
“ข้าไม่เอาด้วย” เสียงนั้นพูดขึ้นมา “ข้าจะอยู่ที่นี่ ยังไงซะที่นี่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอก”
“เฮอะ!เจ้าแน่ใจนะ?” แมนรอต ไม่เข้าใจว่าเจ้าของเสียงนั้นคิดอะไรถึงตัดสินใจแบบนั้น
“แน่นอน ข้ามั่นใจ” เสียงนั้นตอบอย่างเยือกเย็นและแน่วแน่ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “พวกเจ้าทุกคนรู้ใช่มั้ยว่าแผนการนี้จะทำลายทั้งสถาบันอีสโควฟจนเละไม่เหลือสิ้นซาก? ไม่สิ ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากที่ ทราวิส ถูกปลดปล่อย ทั้งดินแดนแห่งแสงจะถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ข้า แวนซ์ ข้าอาจจะทำความผิดมากมายในอดีต แต่ข้าก็ไม่มีวันเข้าไปมีส่วนร่วมกับแผนการชั่วร้ายแบบนั้นเด็ดขาด แกมั่นใจนะว่าแกเป็น เบล คนเดียวกับที่คุยกับเราก่อนหน้านี้? แกพูดเหมือนกับเป็นคนละคนกันเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่-“
ก่อนที่ แวนซ์ จะพูดจบ แมนรอต ก็ตัดการเชื่อมต่อวิญญาณของ แวนซ์ ออกจากเครือข่าย ซึ่งนั่นทำให้เสียงของเขาหายไปจากหัวของทุกคน
“พวกเราจะไม่เป็นไรต่อให้ไม่มีเขาก็ตาม”แมนรอต พูด “ข้าคือคนที่ต้องการจะออกจากที่นี่ มีใครจะไปกับข้ามั้ย?”
“ข้า!”
“แด่อิสระภาพ!”
“เฮ้ แล้วข้าล่ะ?” สัตว์วิเศษพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีใครสนใจเขา
“ดีมาก ถ้างั้น”แมนรอตพูด”พวกเราจะเริ่มแผนการกันในคืนนี้!”