ตอนที่ 1.1
“เอ๊ะ เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นล่ะนั่น”
“อือ ฉันพูดจริง ๆ นะ! ฉันน่ะ ตกหลุมรักเจ้าเครื่องประดับชิ้นนั้นตั้งแต่ที่ได้เห็นมันเลยนะ และตอนที่ฉันกลับบ้านไปเอาเงินมาซื้อมันนะ มันขายหมดไปแล้วนี่สิ! มันไม่น่าทึ่งเหรอ? ทำเอาฉันนี่ตกใจหมดเลย~”
ตอนนั้นเองที่เสียงดังกล่าวได้ดังเข้าหูของเขา โชอิจิ คาชิมะ ที่พึ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 ได้ไม่นาน เขาละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่หันไปมองยังทางต้นเสียง ไม่ใช่ว่าการสนทนาพวกนั้นรบกวนเขา เขาแค่สนใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากทางไหน
ในห้องเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงที่ฟังดูวุ่นวาย เนื่องจากเป็นช่วงพักกลางวันเป็นช่วงที่นักเรียนจะเพลิดเพลินกับเวลาว่างกัน พวกเขาจึงกำลังพูดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น วิดีโอที่กำลังนิยมในตอนนี้ เครื่องสำอางใหม่ล่าสุด จะไปเล่นที่ไหนกันดี? และเมื่อไหร่ที่พวกเขาควรทำอย่างนั้น?
“นี่ไปร้องเพลงกันไหม”
“เอาสิ เอาสิ ฉันชอบคาราโอเกะ”
“เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะฉันไม่ได้ไปนานแล้วด้วย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงดัง ที่มาจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กลางห้องเรียน ที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัว ตามแฟชั่นกัน ซึ่งเสียงที่ขัดจังหวะการอ่านหนังสือของโชอิจิ ก็ดังมาจากผู้หญิงกลุ่มนี้เช่นกัน
“อือ ฉันหวังว่ามันจะเอามาขายอีกนะ ตอนนั้นฉันไม่น่าลืมกระเป๋าสตางค์เลยฉันอยากจะเหมือนซา*เอะซังแท้ ๆ”
“อะไรล่ะนั่น ร่าเริงไว้หน่อย ไม่ต้องกังวลไปหรอกเดี๋ยวมันก็เอาขายอีกนั่นแหละ!”
“จริงด้วย ที่มันขายหมดไวนั่นหมายความว่าเธอมีสายตาที่ดีเลยนะ เป็นข้อดีที่ดีเลยของเธอเลยว่าไหม”
“เอ๊ะ อย่างนั้นเหรอ? ฉันเชื่อเธอได้จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ใช่สิ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว คราวหน้าก็อย่าลืมพกกระเป๋าเงินไปด้วยก็พอแล้ว!”
ด้วยเหตุนี้เสียงหัวเราะมากมายเหล่านั้นก็ทำห้องเรียนดูสดใสขึ้นมาทันที เด็กผู้หญิงเหล่านี้เรียกว่า ‘สาวแกล’ และพวกเธอเหล่านี้มักจะได้รับความสนใจจากพวกผู้ชายส่วนใหญ่อยู่บ่อย ๆ ในฐานะเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน
“สาว ๆ ในห้องของพวกเรานี่สวยกันจริง ๆ ว่าไหม”
“ใช่ ฉันก็คิดว่าพวกเธอดูดีกันมากจริง ๆ”
“ฉันนี่โคตรดีใจเลยที่ได้เข้าเรียนที่นี้เนี่ย”
พวกผู้ชายหลายคนต่างคุยกันอย่างสนุกสนานและบางคนก็ยังพึมพำออกมาว่า “บางทีเราน่าจะเชิญพวกเธอไปเที่ยวกับพวกเราครั้งหน้านะ”
มันเป็นแค่พฤติกรรมที่มีต่อเพศตรงข้ามที่เป็นปกติของวัยรุ่น เพียงแต่โชอิจิ ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ซักนิดเลย
ฉันไม่สามารถไปเที่ยวเล่น… ถ้าฉันว่างมีเวลา ฉันอยากที่จะเรียนมากกว่า
เขาพึมพำในใจและมองไปที่หนังสือที่เขาเพิ่งอ่าน มันไม่ใช่การ์ตูนหรือไลท์โนเวลสำหรับวัยรุ่น แต่มันเป็นหนังสือวิชาการเพื่อแสวงหาความรู้ ซึ่งมันเป็นหลักการของเขา ที่ว่าในขณะที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ ก็ควรที่จะขยันหมั่นเพียรในการศึกษาอยู่เสมอ
มันไม่ใช่ว่าเขาชอบที่จะเรียน แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังดีกว่าที่เขาจะศึกษาหาความรู้อยู่เสมอเพื่อเป้าหมายของเขาในอนาคต พูดง่าย ๆ คือเขาเป็นคนมีเหตุมีผลและยังด้วยนิสัยที่จริงจังหรือค่อนข้างเข้มงวดของเขา ทำให้เขามักจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุและผลอยู่เสมอ
ชีวิตในตอนนี้ของเขาเหมือนพวกที่อยู่ในลัทธิสโตอิก การอ่านและการศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอไม่ว่าจะเวลาไหนหรืออยู่ตอนที่อยู่ที่บ้าน เขาในตอนนี้นั้นห่างไกลจากพวกสื่อบันเทิงทั้งหมด เช่น พวกเครื่องสำอาง คอนเสิร์ต และคาราโอเกะ ถึงแม้ว่าเครื่องสำอางมันจะห่างไกลจากเขาอยู่เสมอก็เถอะ โดยธรรมชาติแล้ว เขาไม่ได้สนใจพวกสาว ๆ เลยสักนิด เขาเพียงแค่คิดว่าพวกเธอนั้นเสียงดังไปหน่อยก็เท่านั้น
หากพวกเขาจะชอบคุยกันขนาดนั้น พวกเขาควรพูดกันเรื่องที่มีสาระมากกว่านี้จะดีกว่า…อย่างเช่น เรื่องของเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่เพิ่งค้นพบเซลล์ใหม่เมื่อเร็ว ๆ ที่มันเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยค้นพบ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ฉันก็กำลังสนใจอยู่
แม้ว่าบางคนอาจพูดว่า “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่อง ที่ฉันไม่ได้ชอบหรอกนะ~” โชอิจิ ที่ค่อนข้างจริงจังกับมัน เขามีความคิดที่ง่าย ๆ และไม่ชอบพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กับคนอื่นถ้าคนนั้นไม่ได้สนใจมัน
แน่นอนว่าความหวังลึก ๆ ในใจของโชอิจิมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ และพวกสาว ๆ ยังคงสนทนากันต่อไป โดยเปลี่ยนจากหัวข้อหนึ่งเป็นอีกหัวข้อหนึ่งภายในไม่กี่วินาที
“…นี่รู้ไหม วิดีโอนั่นนะมันเป็นที่นิยมพอตัวเลยนะ ไม่รู้ทำไมมันถึงลูกลบ ฉันแปลกใจมาก ๆ เลยล่ะ!”
“ลบไปแล้ว? ผู้ชายคนนั้นทำบ้าอะไรเนี่ย”
“อืม ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่แต่อาจจะเป็นเรื่องไม่ดีก็ได้มั้ง ก็เล่นลบบัญชีไปด้วยนี่”
“อะไรกันเนี่ย? เรื่องนี้มันดูน่าสนใจเกินไปแล้วนะ!”
ตามที่เขาสามารถบอกได้จากการสังเกตพวกสาว ๆ อย่างใกล้ชิด เด็กสาวผมบลอนด์ที่อยู่ตรงกลางนั้นเป็นศูนย์กลางของการสนทนา เธอนั้นทั้งเสียงดังและดูเต็มไปด้วยความร่าเริง เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่ดูไร้กังวล
เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นพูดหรือทำอะไรสักอย่าง เสียงหัวเราะก็จะดังออกมาจากคนรอบข้างเสมอ มันไม่ได้เกิดจากการการหัวเราะเยาะ แต่เกิดจากความสนิทสนมที่เธอมีกับคนรอบข้าง นั่นคือพลังของเธอที่มีผลกับคนรอบข้างเสมอ เมื่อโชอิจิยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งนั้น เขาก็มีความรู้สึกที่ดูซับซ้อน
ผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ-
จู่ ๆ คำพูดพวกนี้ก็เข้ามาในหัวของเขา
รอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าของเธอดูเรียบร้อยเหมือนกับตุ๊กตาและดูน่ารักราวกับเด็ก
ผมสีบลอนด์หยักศกของเธอถูกมัดรวบขึ้นไปด้านข้าง เธอแต่งหน้าด้วยโทนอ่อน ๆ ไม่ดูเข้มจนเกินไป โดยจะเน้นแค่ส่วนที่เป็นธรรมชาติของเธอเท่านั้น มีเล็บปลอมสำหรับเพ้นท์เล็บบนนิ้วของเธอ และดวงตาของเธอก็ดูต่างไปจากปกติเล็กน้อยเคงเพราะเธออาจจะใส่คอนแทคเลนส์สีอยู่
ปกเครื่องแบบของเธอจะไม่ค่อยเรียบร้อย และมือของเธอจะถูกซ่อนไว้ด้วยแขนเสื้อขนาดใหญ่
ที่จริงแล้ว เธอไม่ได้ดูแลตัวเองดีมากเท่าไหร่เพื่อเทียบกับสาว ๆ คนอื่นๆ แต่การที่เธอยังดูโดดเด่นและสดใสอาจเป็นผลจากเสน่ห์ตามธรรมชาติของเธอเอง
ขณะที่เขามองดูเธอ โชอิจิก็พูดส่วนที่เหลือของสิ่งที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดูจะดีใจนิด ๆ
“…ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปจริง ๆ สินะ”
“อะไรนะ? นายเคยรู้จักยูซึกิมาก่อน ด้วยเหรอคาชิมะ”
ตอนนั้นเองมีนักเรียนชายที่เดินผ่านมา จึงเอ่ยปากถามออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงพึมพำของโชอิจิ
โชอิจิจึงเริ่มรู้สึกอายที่มีคนได้ยินเขาพูดกับตัวเอง
“เอ๊ะ? เอ่อ อืม…”
“ว้าว น่าแปลกใจนะเนี่ย ที่คนที่จริงจังกับเรื่องเรียนและเป็นนักเรียนดีเด่นแบบนาย เคยรู้จักผู้หญิงน่ารัก ๆ แบบนั้นด้วย”
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก…. และฉันก็ไม่ใช่นักเรียนดีเด่นอะไรด้วย นายกำลังประเมินฉันสูงเกินไปแล้ว”
“อีกแล้ว อีกแล้ว อย่าถ่อมตัวเลยตกลงนะ นายน่ะอ่านทบทวนอยู่เสมอในช่วงพัก และนายก็เป็นนักเรียนดีเด่น ด้วย แต่คงจะดีกว่านี้ถ้านายเข้ากับคนอื่น ๆ ได้มากกว่านี้นะ”
โชอิจิยอมรับว่ามันเป็นความจริง เขานั้นมีเพื่อนไม่มาก แต่ถ้าพูดอย่างไม่ข้างตัวเองเลยต้องบอกว่าไม่มีเลยจะดีกว่า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนและอ่านหนังสือ ส่วนคนที่เขาคุยด้วยบ่อย ๆ คือเพื่อนร่วมชั้นที่คอยดูแลเขาและพูดคุยกับเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ความจริงแล้ว มันไม่ใช่ความตั้งใจจริง ๆ ของเขาที่จะอยู่คนเดียว ไม่ว่าเขาจะเชื่อมั่นมากแค่ไหน ว่านักเรียนควรเรียนแค่หนังสือ มันแทบไม่มีเหตุผลที่ทำให้เขาต้องสละเวลาว่างและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นเลยไปแค่กับการเรียนอย่างเดียว เพีงแต่สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเริ่มเรียนทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ก็เนื่องจาก ‘สถานการณ์’ บางอย่างเมื่อตอนที่เขาเข้าโรงเรียนมัธยม
เมื่อโชอิจิท่องจำจนเสร็จ เพื่อนร่วมชั้นของเขาก็มองไปที่ปกหนังสือที่เขาถืออยู่และขมวดคิ้ว
“บางครั้งนายก็อ่านเรื่องประหลาด ๆ เหมือนกันนะเนี่ย”
“เอ๊ะ ประหลาด? อย่างนั้นเหรอ”โชอิจิทำท่าทางที่ดูแปลกใจ
“ใช่ ก็…นี่ไง” ‘การพบเห็นโยไคทั่วประเทศ? ชื่อมันดูเหมือนจะเกี่ยวกับโยไคนะ แต่โยไคเป็นแค่เรื่องลึกลับและเป็นแค่เรื่องงมงายนี่ พวกเราไม่ใช่นักเรียนชั้นประถมแล้วนะ…”
“นายพูดอะไรน่ะ! เรื่องลึกลับมันสามารถใช้เป็นหัวข้อวิจัยเชิงวิชาการได้เลยนะ! ประการแรก การคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องลึกลับเป็นความคิดที่แย่มาก แค่ลองได้วิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วสักครั้งล่ะก็นายก็จะสามารถ–“
“พอ พอ อย่าพูดเร็วมากได้ไหม! โอเค โอเค ฉันเข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนาย ฉันขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะการอ่านของนาย”
จากนั้นเขาก็ขอตัวไปหาเพื่อนคนอื่นต่อ ด้วยรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยว ในขณะที่พึมพำออกมาว่า “ฉันเผลอไปเปิดสวิตช์แปลก ๆ ของหมอนั่นเข้าหรือไงเนี่ย…”
หลังจากโชอิจิมองเพื่อนร่วมห้องจากไป เขาก็หันกลับมามองหญิงสาวที่ชื่อ ‘ยูซึกิ’ อีกครั้งเธอยังคงแสดงออกด้วยท่าทางที่ไร้กังวลเช่นเคยและกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
-น่าแปลกใจ นายเคยรู้จักเธอมาก่อนเหรอ
โชอิจิถอนหายใจอย่างคลุมเครือในขณะที่ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้
อันที่จริงมันเป็นมากกว่าแค่คนเคยรู้จักกัน
โชอิจิ นั้นรู้จักผู้หญิงคนนั้น ‘อามิรุ ยูซึกิ’ เป็นอย่างดี เขารู้จักเธอตั้งแต่ก่อนที่เขาจะจำความได้ด้วยซ้ำ เธอเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่อนุบาลแล้วและก็เคยทำทุกอย่างด้วยกัน พูดง่าย ๆ คือเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน
ตอนยังเด็ก ๆ อามิรุ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ขี้อายและชอบมาหลบที่หลังของโชอิจิบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ไปเรียนมัธยมต้น เธอก็ถูกเพื่อน ๆ หว่านล้อมจนได้เปิดตัวในฐานะ สาวแกล
อามิรุนั้นดูเข้ากับโลกนั้นได้ค่อนข้างง่าย ด้วยล่ะมั้ง? ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มออกไปเที่ยวกับเพื่อนที่ดูสดใสและร่างเริงของเธอ… และฉันก็ได้เลิกคุยกับเธอไป
ตอนนี้ทั้งคู่นั้นเหินห่างกันอย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าจะอยู่ในโรงเรียนมัธยมเดียวกันหรือแม้แต่จะได้อยู่ห้องเดียวกัน มีหลายครั้งที่เธอนั้นพยายามที่จะคุยกับเขา แต่ทุกครั้งเธอจะถูกเพื่อนๆ รอบตัวเธอชวนคุยเสมอสุดท้าย อามิรุ ก็ถูกลากออกไปพร้อม ๆ กับกลุ่มเพื่อน สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าตัวตนที่ดูจริงจังและเคร่งขรึมของเขาและตัวตนที่สดใสและร่าเริงของเธอ จะอาศัยอยู่ในโลกที่ต่างกันเกินไป
“ไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง แน่ ๆ!”
เสียงหัวเราะที่ดูไร้เดียงสาแต่ดูวุ่นวายดังขึ้นเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนในวันนี้ และโชอิจิก็หลับตาลง ตอนนี้ไม่มีเพื่อนสมัยเด็กคนเดิมที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว
แค่เพราะเราเคยสนิทกัน ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องปกติ ที่จะเป็นแบบนั้นไปตลอด ฉันจะไปตามทางของฉัน และ อามิรุนั้นก็จะไปตามทางของเธอ… ชีวิตมันก็เท่านั้นแหละ
เขาครุ่นคิดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นในวิสัยทัศน์ของเขา เขาสามารถเห็น อามิรุ จ้องมองที่หลังมือของเธอ
“เอ๊ะ นี่มันอะไรน่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“ก็วันนี้น่ะมีส่วนลด 30% สำหรับหัวไชเท้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต…” นั่นคือสิ่งที่อามิรุกล่าวออกมา
“เอ๊ะ?!!!!!”
คำพูดนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้สาวๆ รอบตัวแปลกใจ แต่ยังทำให้โชอิจิตะโกนออกมาดัง ๆ ตามไปด้วย
ทำไมจู่ ๆ เด็กสาวม.ปลาย ที่ควรจะเขินอายเรื่องที่มันดูสวย ๆ งาม ๆ ทำไมถึงได้พูดถึงหัวไชเท้าลดราคาขึ้นมาได้ล่ะ?
เขามองด้วยท่าทางที่สับสน เขาเห็นอามิรุ รีบเกาหัวของเธออย่างมีเสน่ห์และพูดว่า “ม…ไม่มีอะไรหรอก”
เพื่อนๆ ของเธอซึ่งเคยงุนงงก็กลับมาหัวเราะอีกครั้ง
“เดี๋ยวนะ อามิรุ นี่มันไม่แปลกไปเหรอ ฉันขำจะตายแล้วเนี่ย!”
“บางครั้ง อามิรุ ก็พูดแปลก ๆ ออกมานี่เนอะ”
“นั่นมันเป็นส่วนที่ทำให้เธอน่ารักและเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลยนะ”
ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของเธอจะไม่ถูกทำลายด้วยความผิดปกติของเธอ ซึ่งในตอนนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจ
ไม่สิ ปัญหาของอามิรุไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะสนใจอีกต่อไปแล้ว…
ทั้งสองคนได้เดินแยกทางกันไปนานแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว
โชอิจิบ่นในใจด้วยความเศร้าเล็กน้อยและเริ่มอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง
หลังเลิกเรียนในวันนั้น
โชอิจิ ถูกอาจารย์ประจำชั้นเรียกคุยก่อนที่เขาจะได้ออกจากห้องเรียน เพราะอาจารย์ประจำชั้นเหมือนต้องการที่จะคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง นักเรียนส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ในตอนนี้จึงเป็นแค่พวกที่ทำในกิจกรรมของชมรม ซึ่งก็ไม่มีไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องเรียนอีก
ในระหว่างนั้น จู่ ๆ อาจารย์ประจำชั้นก็เริ่มพูดกับโชอิจิ
“คาชิมะ คุณไม่ได้อยู่ในชมรมไหนเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมเป็นพวกชมรมกลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงตัวแล้วล่ะ สอนหนังสือให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ใช่ไหม”
โชอิจิกระพริบตากับคำพูดของอาจารย์ประจำชั้นและเผลออุทานออกไป “อะไรนะ?”
เมื่อครูเคลื่อนตัวหลบ หญิงสาวซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังได้ก้าวเดินออกมาที่ด้านหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แสดงความประหลาดใจอย่างมาก เธอที่มีใบหน้าเหมือนกับตุ๊กตา แต่งตัวดูไม่ค่อยเรียบร้อย และผมสีบลอนด์ที่ถูกรวบมัดขึ้นด้านบน
“ยาโฮ ได้โปรดช่วยดูแลฉันด้วยนะ!”
เธอขยิบตาให้เขาอย่างเขินอาย และเขารู้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงคนนั้นคืออามิรุ ยูซึกิ
Stoicism (ลัทธิสโตอิก) คือแนวคิดปรัชญาที่สอนให้อดทนต่อความยากลําบาก ควบคุมตัวเอง และไม่ปล่อยให้อารมณ์แง่ลบมากวนใจ
อัปสัปดาห์ละ 2-3 ตอน
Chapters
Comments
- ตอนที่ 1.2 พฤษภาคม 2, 2022
- ตอนที่ 1.1 พฤษภาคม 2, 2022
MANGA DISCUSSION