48 Hours a Day - ตอนที่ 52 โตเกียวดริฟท์ (ตอนจบ)
48 Hours a Day ตอนที่ 52 โตเกียวดริฟท์ (ตอนจบ)
ตอนที่ 52 โตเกียวดริฟท์ (ตอนจบ)
เมื่ออามิโกะได้ออกเดินทาง ชีวิตของจางเฮงในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนก็สิ้นสุดลงเช่นกัน เขาย้ายออกจากห้องพักของหอนักเรียน แลกเปลี่ยนนานาชาติและเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ นอกมหาวิทยาลัย
ทาเคดะ เท็ตสึยะยังสอนเขาเกือบทุกอย่างที่รู้ ตอนนี้มีเพียงการหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและอาศัยพรสวรรค์ของเขาเท่านั้นในการพัฒนาฝีมือและเทคนิคการขับขี่ การพัฒนาสกิลการขับขี่ของเขาจากเลเวล 2 ไปเป็นเลเวล 3 ในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้นจางเฮงจึงไม่ได้อุตสาหะพยายามเพื่อสิ่งนี้มากเท่าไหร่
เขาเข้าร่วมการแข่งซิ่งใต้ดินอีก 2-3 ครั้งด้วยรถ L300 คู่ใจ และ นั่นทําให้เขาได้เงินมาไม่น้อยเลย เขาเอาชนะนิวมาสด้า 80% น่าเสียดายที่ไม่ได้รับเกมพอยท์เพิ่มจากการชนะครั้งนี้
เงินที่เขาได้มานั้นมีเพียงพอสําหรับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโตเกียว และเนื่องจากเขาไม่สามารถนําเงินไปกับเขาได้ มันก็ไร้ประโยชน์อย่างมากหากจะหาเงินเพิ่ม เพราะอย่างนั้นจางเฮงจึงไม่ได้สนใจที่จะแข่งซิ่งต่อ รถตู้ลึกลับสีเหลืองมัสตาร์ดที่ได้ปรากฏขึ้นและหายไปอย่างกะทันหัน สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงตํานานในโลกของการ แข่งรถใต้ดินของโตเกียว ..
แต่นั่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เขาไม่ต้องทํางานหรือเข้าเรียนอีกต่อไปแล้ว จางเฮงมีเวลาเหลือเฟือ อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เขากําลังออกไปเที่ยวเตร่ เขาก็เจอโรงยิมแห่งหนึ่งเข้าและเขาก็นึกออกขึ้นมาในทันทีว่าคาราเต้นั้น มีต้นกําเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นมาจากการผสมผสานของศิลปะการต่อสู้พื้นเมืองของญี่ปุ่นและ Tang Shou Dao*
ครั้งที่แล้วตอนที่เขาได้ต่อสู้กับชายที่ทํางานให้กับโคบายาชิยู นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงประสิทธิผลจากการฝึกฝนในโรงยิม แต่คนที่เขาต่อสู้เป็นแค่คนธรรมดาสามัญ ในขณะที่จางเฮงมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและความแข็งแกร่ง เขาก็แค่ปล่อยหมัดออกไปโดยไร้ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสม นั่นจุดประกายเขาว่าเขาควรใช้โอกาสนี้ เพื่อเรียนรู้วิชาคาราเต้
จากนั้นจางเฮงจึงได้รับสกิลคาราเต้เลเวล 0 ในช่วงเวลา 2 เดือนสุดท้าย
ในวันที่ 420 เขายืนอยู่บนโตเกียวสกายทรีและทอดสายตามองดูบรรยากาศของเมืองโตเกียว ดื่มต่ําไปกับทัศนียภาพในยามค่ําคืนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
[ถึงกําหนดเวลาส่งคืน ภารกิจเสร็จสิ้น]
[ผ่านด่านเกมโตเกียวดริฟท์อิดิชั่นเรียบร้อย! เกมรอบที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว กําลังกลับสู่โลกแห่งความจริง…]
…
เมื่อจางเฮงลืมตาเขาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในเลาจน์เช่นเดิม ครั้งนี้ภารกิจโตเกียวดริฟท์ไม่ได้ส่งเขาไปอยู่ตัวคนเดียวในสถานการณ์ที่ท้าทายบางจําพวกและห่างไกลจากสังคมที่มีอารยธรรม แต่กระนั้นหลังจากใช้เวลากว่า 14 เดือนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน ในต่างประเทศจางเฮงรู้สึกสบายใจและได้ยินภาษาที่เขาคุ้นเคยนั้น ทําให้เขาอุ่นใจเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
“ขอน้ํามะนาวแก้วหนึ่ง ไม่ – ขออะไรแรงๆกว่านั้น มาให้ฉันหน่อย” จางเฮงเดินไปที่บาร์ แล้วหวนนึกถึงช่วงเวลาสั้นๆของสาวโตเกียวที่มาพร้อมกับรอยยิ้มแสนน่ารัก
“ยินดีด้วยนะกับการผ่านเกมรอบที่ 2!” สาวบาร์เทนเดอร์ผสมค็อกเทลหนึ่งแก้วอย่างชํานาญการ แล้วเลื่อนมาตรงหน้าของจางเฮง “ดูเหมือนว่านายเพิ่งจะผ่านการเดินทางที่ไม่ธรรมดามานะ!”
“อืม นี่ ฉันอยากให้เธอช่วยบอกรายละเอียดของบางอย่างน่ะ” จางเฮงนําไม้แกะสลักออกมาหลังจากประสบการณ์ครั้งแรกกับจากตีนกระต่าย เขาจึงไม่ลืมที่จะสวมใส่ถุงมือเพื่อจับไม้แกะสลัก ไม่ว่าจะเป็นในเกมหรือนอกเกม
คิ้วของบาร์เทนเดอร์เลิกสูงขึ้นเมื่อเห็นเกมไอเทม “อีกชิ้นเหรอ? นี่นายไม่โชคดีไปหน่อยเหรอ?”
เธอถือไม้แกะสลักด้วยความระมัดระวัง และวางไว้ในกล่องไม้ ไซปรัสและไม่ลืมที่จะรับ 5 เกมพอยท์จากจางเฮง
จางเฮงนั่งที่บาร์ขณะที่เขาดื่มเสร็จ เมื่อเขากําลังจะเดินออกไป บาร์เทนเดอร์ก็เรียกเขาไว้ “นายยังจําการประมูลสิ้นปีที่ฉันบอก นายได้ใช่ไหม?”
“แล้วว?”
“ปกติแล้วงานจะถูกจัดขึ้นในวันสุดท้ายของปี หากนายวางแผนที่จะเข้าร่วมการประมูลละก็ นายควรจะเตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้นะ อย่าเผลอไปเล่นเกมที่ 3 ในวันนั้นละ” เธอเตือนเขา
จางเฮงขอบคุณเธอแล้วเดินออกจากเลาจน์มา
….
วันต่อมาจางเฮงโดดเรียนคลาสภาษาอังกฤษตอนเช้า เกมที่ 2 จบลงช้าเกินไปหน่อย กว่าเขาจะออกจากแอนด์เดอะซิตี้ก็ปาไป 4.30 น.แล้ว เขาจําเป็นต้องนอนชดเชยทุกช่วงเวลาที่เขาสูญเสียไป
จากนั้นในตอนบ่ายขณะที่เขากําลังกินมื้อเที่ยงมาเหว่ยและเฉินหวงตงต่างก็มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“นายเละแน่ วันนี้ตาแก่จางให้ทําควิซในห้อง และตอนที่เขารู้ว่างานขาดไป 5 คน เขายัวะมาก! และการสอบภาษาอังกฤษของมหา’ลัย (CET) ก็อีกแค่ 2 สัปดาห์ เขาบอกว่าใครที่ไม่รู้จักมาเรียนก็คงช่วยอะไรไม่ได้ คนที่ไม่ได้ทําควิซในห้องก็จะไม่ได้คะแนน เลยสักคะแนนสําหรับผลการประเมินต่อเนื่อง”
ในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่การสอบมักจะแยกออกเป็นสองส่วน คือการประเมินผลอย่างต่อเนื่องและการสอบปลายภาค การสอบปลายภาคนับเป็น 70% ของคะแนนรวม และการประเมินผลอย่างต่อเนื่องนับเป็นอีก 30% ซึ่งทั้งอย่างรวมกันทําให้เราได้เป็นเกรด ออกมา
30% ที่ได้มานี้ไม่ควรได้คะแนนต่ําเกินไป มันมักจะเป็นตัวตัดสินหากมีคนสอบผ่านหรือสอบตกวิชานั้น ทั้งการช่วยให้คนที่สอบตกกลายเป็นสอบผ่าน หรือตัดสินให้คนที่สอบผ่านกลายเป็นสอบตก แน่นอนว่าอย่างหลังนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างยาก ถึงอย่างนั้นอาจารย์ และนักเรียนก็ไม่เคยขุ่นเคืองใจกันต่อ ดังนั้นการลงโทษขั้นรุนแรงกับนักเรียนระหว่างการประเมินผลอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องแปลก
แต่ถ้าใครไม่มีคะแนนการประเมินอย่างต่อเนื่องเลยสักคะแนน นั้นจะเป็นปัญหาร้ายแรงแน่ นักเรียนจะต้องได้คะแนนถึง 86 คะแนนจาก 100 คะแนน เพื่อให้ได้รับหน่วยกิต และวิชาภาษาอังกฤษก็เป็นวิชาที่พิเศษกว่าวิชาอื่นเล็กน้อย โดยคะแนนรวมสุดท้ายจะถูกให้คะแนนตาม CET-4 และ CET-6
“คะแนนเต็ม 710 คะแนน นั่นหมายความว่าการจะได้หน่วยกิต นายจะต้องได้คะแนน 609 คะแนนในการสอบไฟนอล” มาเหว่ยขมวดคิ้ว เกณฑ์ผ่านสําหรับ CET-6 คือ 425 คะแนน สําหรับเอกที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ การได้คะแนน 600 คะแนนขึ้นไปถือว่า เป็นคะแนนที่สูงมาก แม้แต่เด็กเนิร์ดอย่างเขาก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะ ทําคะแนนได้สูงพอจะสอบผ่านหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่มาเหว่ยค่อนข้างต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
จางเฮงพูดไม่ออก ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก่อน เขาคงจะต้องต่อสู้กับความง่วงที่มีและตื่นไปเรียน แต่มันสายเกินไปแล้วสําหรับเขา ตอนนี้เขาต้องหาวิธีที่จะทําคะแนนได้ 609 คะแนนขึ้นไปให้ได้ จริงๆแล้ว ถ้าเกิดปัญหาเช่นนี้ก่อนหน้านี้ เขาคงจะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากเบลล์บนเกาะมาแล้ว จางเฮงก็รู้สึกว่าเขาจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
อีกประมาณ 20 วันก็จะถึงวันสอบภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยแล้ว และสําหรับเขาก็กลายเป็น 40 วัน ถ้าจะกล่าวถึงทักษะการฟังของเขาก็ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย แต่ด้านการเขียนเรียงความ และส่วนของไวยากรณ์นั้นยังคงต้องการการฝึกฝนอยู่บ้าง
จางเฮงไม่ได้คาดคิดไว้ว่าเขาจะต้องมาจัดการกับภาษาอังกฤษในทันที หลังจากที่ต้องต่อสู้กับภาษาญี่ปุ่นในเมืองโตเกียว บางทีการทํางานเป็นล่ามแปลภาษาหลังจากสําเร็จการศึกษาอาจเป็นความคิดที่ดี
…
ต่อมาในบ่ายวันนั้นจางเฮงวิ่งไปที่ห้องสมุด เพื่อยืมหนังสือบางเล่มมาอ่านเพื่อทบทวนภาษาอังกฤษ แล้วจู่ๆเขาก็บังเอิญเจอเสิ่นซีซีเข้า
เมื่อไม่มีเฉิงเฉิงมาคอยรบกวนเธอตลอดเวลา ความสงบก็ได้หวนคืนสู่ชีวิตของเธออีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะได้แลกเบอร์โทรศัพท์กันหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการตั้งแคมป์ครั้งนั้น แต่ก็ไม่มีใครเริ่มติดต่อไปหาอีกฝ่ายก่อนเลย
พวกเขามักจะเจอกันที่มหาวิทยาลัย และเสิ้นซีซีก็ทักทายเขา ตามปกติ แต่พวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ตรงกันข้ามกับเฉินหวงตงและสวี่จิ้งที่ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อกันอย่างรวดเร็ว หลังจากวันนั้น แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันว่าพวกเขามีความสัม พันธ์กันในเชิงรักใคร่ แต่พักหลังมานี้พวกเขาก็ออกไปเที่ยวด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนว่าความสําเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ทุกวันนี้เฉินหวงตงลืมเรื่องเกมและไม่ได้เข้าชมรมอนิเมะของเขาอีกต่อไป เขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการช้อปปิ้งและเดินเล่นตามถนนกับสวี่จิ้ง และทรยศต่อชมรมไทเกอร์ชาร์คของเขา – สมาชิกที่ภักดีบางคนถึงกับคิดจะมัดเขาไว้กับเสาแล้วเผาเขาเสีย
และจากที่ทั้งคู่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกันโดยบังเอิญ จางเฮงคิดว่าเขาน่าจะขึ้นไปทักทายเธอเสียหน่อย
***
Tang Shou Dao – ศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน