48 Hours a Day - ตอนที่ 9 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง III
ตอนที่ 9 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง III
เมื่อจางเฮงลากชายไร้เสื้อผ้าขึ้นมาบนฝั่ง อีกสองคนก็จมหายไป
จางเฮงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะว่ายน้ำได้อย่างไรในช่วงสุดท้าย เมื่อเขาเข้าใกล้ชายคนนั้นเขาถึงได้รู้ว่ากระดูกสันหลังส่วนเอวของชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บ และมีแผลฉีกขาดที่ต้นขาจากปะการังทิ่ม ชายคนนั้นแทบขยับไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาต้องล่องลอยไปพร้อมกับเกลียวคลื่นเหมือนขวดพลาสติก
การพาเขามาที่หาดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ขากลับเขาฝั่ง จางเฮงเกือบท้อไปหลายรอบ แต่ชายผู้นี้กลับมองโลกในแง่ดีอย่างน่าประหลาดและคอยให้กำลังใจเขา
จางเฮงกัดฟันสู้แล้วลากชายคนนั้นมาถึงขอบขายฝั่ง
ไม่นานนักทั้งคู่ก็ทรุดตัวลงบนหาดทราย จางเฮงไม่อยากจะขยับไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะขยับนิ้ว ถ้าทำได้เขาอยากจะหลับตาแล้วของีบไป
แต่หลังจากนั้นสองนาที ชายที่โป๊เปลือยพูดขึ้นว่า “เห้ นาย เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะ เรายังอยู่ไม่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรเลย เที่ยงวันอากาศอาจจะสูงถึง 35 องศาเลยก็ได้ ร่างกายเราจะเสียน้ำมากถ้ายังเป็นแบบนี้”
จางเฮงไม่พูดอะไรไปเป็นนาที ก่อนจะตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวฉันพานายไปที่ร่มแล้วกัน” แล้วเขาก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีดึงชายคนนี้ไปที่ด้านล่างของหน้าผา แล้วถอดเสื้อยืดตัวเองเพื่อมาพันแผลให้ชายผู้นี้
หลังจากนั้น จางเฮงก็หมดแรงอย่างแท้จริง เขาแทบจะโยนหินไม่ได้ด้วยซ้ำ โชคยังดีที่ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาอยู่ มีมะพร้าวสองสามลูกตกอยู่ที่พื้น เขาหยิบมันขึ้นมา
ตอนที่ชายหัวล้านเห็นจางเฮงพยายามเฉาะมะพร้าว เขาเปิดปากพูดแล้วเขาก็หยุดไป
“โอ้?”
“ไม่ได้อยากจะไม่สำนึกบุญคุณหรืออะไรนะแต่ว่าถ้านายพอทำได้ ได้โปรดช่วยหามะพร้าวสีเขียวให้หน่อยได้ไหม? พอดีว่าอันที่ตกพื้นมันแก่แล้ว น้ำสีขาวข้างในนั้นมันทำให้ท้องเสียได้ แล้วบนเกาะที่ไม่มีทรัพยากรเช่นนี้มันถึงตายได้เลย ”
“นายดูมีความรู้ในการเอาตัวรอดจากป่ามากเลยนะ”
“ฉันเคยเป็นทหารอยู่ช่วงนึงเคยใช้เวลามากกว่าสองปีเดินข้ามป่าอเมซอน ก็คงใช่แหละฉันคิดว่าฉันคงเชี่ยวชาญในการเอาตัวรอดอยู่พอสมควร”
จางเฮงรู้สึกว่าเขาสุ่มมาถูกคนแล้ว ไม่มีทางที่เกมที่ดีๆจะทิ้งให้ผู้เล่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางรอด ชายตรงหน้าเขาคือความหวังที่จะมีชีวิตรอดบนเกาะนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกสองคนจะทำอะไรได้บ้าง
ยังไงซะ ด้วยความยากขนาดนี้ การช่วยชายโล้นคนนี้ก็ง่ายที่สุดแล้ว อิงตามหลักการของนักออกแบบเกม ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
แต่จางเฮงก็ไม่ได้เสียดายที่เขาเลือกแบบนี้ เพราะสภาพร่างกายของเขา แค่ช่วยชายโป๊คนเดียวก็จะไม่ไหวแล้ว ถ้าเขาว่ายไปถึงอีกสองคนเค้าอาจจะไม่มีแรงมากพอที่จะว่ายกลับฝั่ง
ยิ่งไปกว่านั้น จนถึงตอนนี้ ชายที่มีผมเหลือน้อยคนนี้ก็ยังดูติดดิน
บางทีทัศนคติก็สำคัญยิ่งกว่าความสามารถ
และแน่นอน ชั่วครู่ถัดมาเพื่อนใหม่พูดว่า “เพื่อนเอ๋ย ถ้าจะกรุณา นายช่วยไปหามะพร้าวสีเขียวมาให้ฉันหน่อยได้ไหม? คอแห้งมากเลยตอนนี้ แล้วฉันจะสอนวิธีหาน้ำให้นายที่หลังนะ”
“ได้เลย” เวลาในการพักผ่อนเพียงชั่วครู่ของจางเฮงได้หมดลงแล้ว และเขาก็พอมีแรงขึ้นมาบ้าง พอจะทำตามในสิ่งที่เพื่อนร้องขอ
ครั้งนี้เขาสอยมะพร้าว 14 ลูกในคราวเดียว แบ่งไว้ให้ชายคนนนั้นห้าลูก ให้ตัวเองสามลูก อีกหกลูกเก็บไว้เป็นเสบียง
หลังจากที่ชายเปลือยคนนี้ดื่มน้ำมะพร้าวเขาก็ดูดีขึ้นมาอย่างมาก เขายื่นมือไปหาจางเฮง “ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อว่า เอ็ด วิลสัน สัญชาติอังกฤษ เคยเป็นร้อยเอกกองทัพอังกฤษในอัฟกานิสถาน เรียกฉันว่าเอ็ดก็ได้ แล้วก็ขอบคุณนะ ที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ”
“จางเฮง เป็นคนจีน เรียนอยู่ปีสอง แล้วก็ไม่เป็นไรครับ”
จางเฮงและอดีตร้อยเอกกองทัพอังกฤษในอัฟกานิสถาน จับมือกันอย่างเป็นมิตร
จากนั้นจู่ๆร้อยเอกก็พูดเสียงเข้มขึ้นมาว่า “น่าสงสารสองคนนั้นนะ นอกจากเกาะเล็กนี่ ก็คงไม่มีที่อื่นใกล้ๆอีกแล้ว การที่ไม่ได้ขึ้นฝั่งมาแบบนี้คงจบไม่สวยแน่”
นายเอ็ดดูเหมือนจะปรับตัวได้ไว หลังจากพูดสรุปสั้นๆ เขากลับมาพูดด้วยความสดใสว่า “เอาละตามที่ตกลงกันไว้ ฉันจะทำในส่วนของฉันและสอนวิธีหาน้ำให้นาย ตอนที่ฉันอยู่ในทะเลฉันประเมินได้ด้วยตาเปล่าว่าเกาะนี้มีขนาดประมาณ 120 เฮคตาร์ ฉันเห็นรอยเท้าสัตว์อยู่ใกล้ๆพุ่มไม้นั้นหมายความว่ามีธารน้ำอยู่บนเกาะนี้ ตามรอยเท้านั้นไปนายก็จะเจอน้ำแล้ว แต่แย่หน่อยนะเพราะนั้นหมายถึงมีสัตว์นักล่าอยู่ด้วยเหมือนกัน นี่ก็ใกล้จะมืดแล้วการสำรวจเกาะนี้โดยไม่มีแสงอย่างพวกคบเพลิงคงไม่ฉลาดเท่าไหร่ นายอาจจะหลงทางหรือถูกสัตว์ป่าทำร้ายเข้า…”
เอ็ดค่อยๆอธิบายความรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดในป่าเขาฟังอย่างใจเย็น และตั้งใจพูดช้าลงให้จางเฮงเข้าใจได้ในแต่ละคำ
แต่กระนั้นจางเฮงก็ยังขัดจังหวะขณะที่เอ็ดพูดเพื่อสอบถามความหมายของคำบางคำ แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะทำงานในต่างประเทศ แต่เวลาที่ทั้งสองอยู่ที่บ้านนั้นน้อยเกินกว่าที่จะได้เห็นว่าทักษะภาษาของจางเฮงนั้นพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว
ระดับภาษาอังกฤษของจางเฮงอยู่ที่ระดับดีพอใช้คือมาตรฐาน 6 และนั่นก็ไม่ใช่ปัญหามากนักสำหรับการสนทนาในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อมีศัพท์เฉพาะเพิ่มมาแล้วเอ็ดคงต้องอธิบายความหมายของคำนั้น
คนหนึ่งสอนส่วนอีกคนฟังและแล้วก็ผ่านไป 20 นาที สุดท้ายจางเฮงก็เรียนรู้วิธีหาน้ำสะอาดในผืนป่า หลังจากตั้งใจฟังคำแนะนำของเอ็ดตอนนี้ทั้งคู่ใช้มะพร้าวเป็นแหล่งน้ำหลัก และพวกเขาก็ยังค้นหาหน้าผาใกล้ๆและหาบ่อน้ำเล็ก ๆ และถ้ำในเวลาเดียวกัน
โพรงนั้นใหญ่ประมาณสิบตารางเมตรและเต็มไปด้วยขี้นก มีกลิ่นไม่พึงประสงค์แต่พื้นสูงนั้นกว่าข้างนอก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับการถูกคลื่นซัดไปตอนที่พวกเขาหลับ ที่สำคัญที่สุดถึงกำแพงถ้ำนี้จะบังลมเอาไว้แต่ก็ยังมีรึ้กเย็นสบายได้ตลอดทั้งวัน
เมื่อพระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก จางเฮงใช้แสงสุดท้ายของวันเลือกเก็บมะพร้าวอีกหน่อยเพื่อเป็นมื้อเย็น จากนั้นทั้งสองต่างบอกฝันดีกันและกันในถ้ำ
เติบโตมาในเมืองใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่จางเฮงนอนอยู่ในที่โล่ง ดูเหมือนว่าเขาได้ใช้ร่างกายและจิตใจไปอย่างเต็มพิกัด และต้องการพักผ่อนด่วนที่สุดแต่ผ่านไปพักใหญ่แต่เขาก็ยังนอนไม่หลับ การทนอยู่กับกลิ่นเหม็นของขี้นกหรือหินแข็งๆที่เขานอนทับหรือแมลงอะไรก็ไม่รู้ที่ไต่แขนเขาในความมืด… ทุกอย่างช่างทรมานเขาเหลือเกิน นั้นทำให้เขากระสับกระส่ายไม่เป็นอันนอน
เอ็ดพูดขึ้นมาว่า “จาง ฉันได้บอกนายหรือยังว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเอาตัวรอดจากป่า?”
“อะไรเหรอ?” จางเฮงไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างหลังเขาสักนิด เขาคิดว่าเพื่อนเขาคงหลับไปแล้ว
“ทักษะการเอาตัวรอดสำคัญมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองในแง่ดีเข้าไว้เมื่อนายรู้สึกว่านายกำลังทุกข์ทรมาน คิดถึงสิ่งดีๆ บอกตัวเองว่ายังมีพรุ่งนี้เสมอ อาจมีเรือสักลำแล่นผ่านมารับนายกลับไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงก็ได้” เอ็ดยังมองแง่บวกเหมือนเคย
จางเฮงแอบถอนหายใจในใจ ถ้านี้เป็นเกมภายใน 40 วันนี้ คงไม่มีเรือแล่นผ่านมาหรอก แต่คำพูดของเอ็ดช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว
จางเฮงไม่เคยเป็นคนขี้บ่นอะไรเลย เขาแค่ต้องอยู่บนเกาะนี้ให้ได้ 40 วันเท่านั้น และเมื่อมีคนคอยสอนเขาจึงเชื่อว่าเขาจะผ่านมันไปได้ จางเฮงทิ้งความคิดและอารมณ์แย่ๆออกไป ไม่นานความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่ จากนั้นเขาจึงหลับตาลง