48 Hours a Day - ตอนที่ 8 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง II
ตอนที่ 8 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง II
จางเฮงปรือตาขึ้น แล้วพบว่าเขานอนคว่ำหน้าลงไปกับหาดทรายที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้
เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกราวกับไปอาบน้ำทะเลมา ปูเสฉวนที่อยู่ในเปลือกหอยสังข์วิ่งผ่านหน้าเขาไป
จางเฮงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เมื่อเขาได้สติ ร่างกายเขาถูกถาโถมเข้ามาด้วยความรู้สึกกระหาย หิวโหย อ่อนล้า มันรู้สึกเหมือนเขาล่องลอยอยู่ในทะเลมาหลายวัน
เขานั่งลงในที่แห้งๆบนโขกหินใหญ่แล้วหันหน้าเข้าทางที่คลื่นซัดเขาเข้ามา เขามองออกไปเห็นแต่ผืนน้ำกว้างใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด
นี่มันอะไรกัน? รายการทีวีเรียลลิตี้โชว์สักรายการหนึ่งเหรอ?
บางทีมันอาจจะเป็นผลข้างเคียงมาจากน้ำมะนาวก็ได้ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมานาน จางเฮงรู้สึกมึนงงและเวียนหัว เขาพยายามจะใจเย็น เขาเริ่มครุ่นคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาทำตามที่คนแปลกหน้าในชุดถังจวงร้องขอ และมาที่บาร์เซ็กซ์แอนด์เดอะซิตี้ เพื่อเข้าร่วมเกมอะไรก็ไม่รู้ในฐานะของตัวแทนชายชรา ตอนที่เขาเจอคนคนนึง เขาโดนวางยา จากนั้นก็ถูกทิ้งมาที่เกาะร้างแห่งนี้
แต่คำถามก็คือ ทำแบบนี้แล้วพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรเนี่ย? แล้วเสียงปริศนาก็ดังขึ้นมาในหัวเขาอีกครั้ง เสียงเดียวกับตอนเข้าลงทะเบียนเกม นี่เขาคิดขึ้นมาเองเหรอ? ถ้าไม่ใช่แล้วมันคืออะไร
มีเพียงร่างกายที่เป็นของเขา แต่ชุดกีฬาที่เขาใส่มาถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงชายทะเลขาสั้นและเสื้อยืดลายดอก มีดพับสวิสที่เขาพกไว้ในกระเป๋าเผื่อใช้ในยามฉุกเฉินก็หายไปเช่นกัน
สิ่งเดียวที่ไม่หายไปไหนก็คือ นาฬิกาที่ข้อมือขวา
จางเฮงก้มลงไปดูนาฬิกาของเขาและนิ่งไปครู่หนึ่ง
วันที่บนหน้าปัดนาฬิกาอนาล็อคไม่เปลี่ยนเลย มันยังเป็นวันพฤหัสวันเดิม คืนเดิมที่เขาไปบาร์ เปลี่ยนไปแค่นาทีเดียวตั้งแต่เขาหมดสติไป
จางเฮงมองที่นาฬิกาข้อมือของเขาอีกครั้ง เขาเห็นเข็มวินาทีไม่ขยับ
พังแล้วเหรอ?
น่าแปลก เขาทดสอบนาฬิกามาก็มากและพบว่ามันไม่สามารถปรับอะไรได้ เวลาบนนาฬิกานั้นจึงแม่นยำเสมอ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นเวลาสิบสองชั่วโมงพิเศษบนหน้าปัดนาฬิกาและไม่ว่าเขาจะทำอะไร – ไม่ว่าจะเผาไฟหรือแช่ไว้ในน้ำ – นาฬิกาไม่เคยเสียหายหรือทำลายได้เลย มันคงทนยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้
ครั้งหนึ่งเขาเคยโยนนาฬิกาลงมาจากชั้นบนสุดของตึกลงบนทางเท้าคอนกรีตที่ห่างลงไป 200 เมตร ท้ายที่สุดนาฬิกาก็ยังหมุนได้อยู่โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนและกระทั่งโดนของแข็งตอกลงไปอย่างคอนกรีตก็ไม่ทำให้นาฬิกาเสียหายได้เลย
เขาเชื่อว่านาฬิกานี้ต้องอยู่ได้นานกว่าตัวเขาแน่ๆ และยังคงหมุนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าโลกจะสลาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเวลานั้นจะมาเร็วขนาดนี้ วันที่นาฬิกาหยุดเดิน…
แต่ในความกังวล เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เขานึกถึงเสียงปริศนาที่ได้ยิน มันพูดถึงเวลาว่าเวลาในเกมนั้นมีอัตราการไหลของเวลาคือ 480
จางเฮงเลิกคิ้วขึ้น คนนั้นหมายถึงอย่างนั้นจริงเหรอ?
ถ้ามีใครอยากตรวจสอบสิ่งนี้เขาคงต้องนั่งรอให้เวลาสี่สิบวันผ่านไป แต่จางเฮงมีวิธีของเขาเอง
เขากดนิ้วลงไปที่ข้อมือ ผ่านไป 20 นาที เขาก็พบความจริงที่น่ากลัว นาฬิกาเขาไม่ได้เสียแต่อย่างใด มันแค่หมุนไปตามเวลาในโลกจริง เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเวลาที่นี่แล้ว หนึ่งวินาทีที่นั้นเท่ากับแปดนาทีของที่นี่
แล้ว… นี่มันเป็นแค่เกมใช่ไหมเนี่ย?
จางเฮงงงงวยกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเพราะทุกอย่างมันดูเหมือนของจริงมาก – หาดทรายสีทอง ใบต้นมะพร้าวที่พริ้วไหวไปกับสายลม เสื้อยึดเปียกโชกที่แนบไปกับตัวเขา สัมผัสของหินขรุขระที่นั่งแล้วเจ็บหลัง ความหิวโหยและเหนื่อยล้าที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ทำให้เขารู้สึกมีเลือดเนื้อที่เหมือนจริงเอามากๆ
ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในตอนนี้คือ การหาวิธีเยียวยาร่างกายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ตอนนี้การนั่งคิดอยู่คนเดียวนั้นใช้ความพยายามอย่างสูง
เขารู้ว่าเขาต้องหาอาหารและน้ำดื่ม แม้เขาจะมีจิตใจเข้มแข็งกว่าคนทั่วไปแต่เขาเป็นเพียงแค่นักศึกษามหา’ลัยธรรมดาๆ คนสมัยใหม่อย่างเขาไม่มีวี่แววว่าจะอยู่บนเกาะร้างได้เลย เขาแยกไม่ได้ว่าพืชชนิดไหนที่กินได้และพืชชนิดไหนที่กินไม่ได้ เขาไม่รู้วิธีล่าสัตว์ด้วยซ้ำ หรือจะหาแหล่งน้ำได้ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะสร้างที่พักอย่างไร …
ขอบคุณพระเจ้า เขาก็จำได้ว่าอย่างน้อยก็มีต้นมะพร้าว
ห่างไปทางซ้าย 20 เมตรมีต้นมะพร้าวอยู่จำนวนหนึ่ง พร้อมกับผลสีเขียวห้อยออกมาจากต้นอยู่ไม่กี่ลูก น้ำในนั้นคงจะดับความแห้งผากที่ริมฝีปากจนไปถึงลำคอได้ และเนื้อมะพร้าวคงจะให้สารอาหารและพลังงานแก่เขาได้เท่าที่จำเป็น
จางเฮงหยิบหินก้อนเล็กขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาจากพื้น แล้วเล็งไปที่ต้นมะพร้าวเอียงๆ ที่ดูแล้วอาจถูกพัดไปได้ง่ายๆจากพายุไต้ฝุ่น
เขากะใช้หินขว้างเอาลูกมะพร้าวให้ร่วงจากต้น
มีมะพร้าวอยู่ 7 ลูก ห่างไปประมาณ 3-4 เมตรเหนือพื้น
ปกติแล้วงานแบบนี้ไม่ได้ยากอะไรเลยแต่ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้ ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะทำให้ลูกมะพร้าวหล่นลงมา
ต่อมาเขาทุบมะพร้าวออกทีละลูกๆ ด้วยก้อนหินเพื่อดื่มน้ำข้างใน ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ดื่มจนหมดเขาก็ขูดเนื้อมะพร้าวออกมาด้วยหินแล้วสวาปามอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาจัดการเสร็จเขาก็พอมีแรงกลับมาคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายนี้
ตอนนี้เขาบอกไม่ได้เลยว่านี้เขาอยู่ในเกมหรืออยู่ในโลกจริง
ถ้านี้เป็นแค่สิ่งที่พยายามจะทำให้เหมือนจริง มันก็ไม่ได้อธิบายว่าความรู้สึกจริงที่เขากำลังประสบและความต้องการของร่างกาย อัตราการเดินแปลกๆของนาฬิกา แต่ถ้าเขาอยู่ในโลกจริง ใครที่ไหนจะพาเขามาถึงที่นี่ ถ้าอย่างนั้นใครก็ตามที่พาเขามาที่นี่ จะพาเขาออกจากหอพักมายังเกาะร้างนี้ได้ในพริบตาเลยเหรอ ?
จางเฮงส่ายหัวปัดความคิดพวกนี้ออก เขาควรทำแบบเดิม – เอาปัญหาที่แก้ไม่ได้ไปไว้ที่อื่นก่อน
อย่างที่ชายชราในคาเฟ่พูดไว้ ไม่ว่าเกมหรือชีวิตจริง เขาต้องคิดหาวิธีเอาตัวรอด
เขาเป็นคนสมัยใหม่ธรรมดาๆที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เขาจะสามารถใช้ชีวิตในโลกแห่งธรรมชาติที่มีความลึกลับซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจได้หรือไม่?
ริมฝีปากของจางเฮงยกขึ้นเล็กน้อยยิ้มด้วยความขมขื่น เขาเป็นคนประเภทน้ำครึ่งแก้วอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ จางเฮงไม่ได้คิดว่าเขาจะอดทนอยู่บนเกาะร้างจำลองเล็กๆนี่ได้ถึง 40 วัน
ความเป็นจริงแค่ 4 วันก็เต็มที่แล้ว
เขาขาดความรู้และทักษะในการเอาตัวรอดจากป่าแบบนี้ ร่างกายอ่อนล้าและอยู่คนเดียว จางเฮงหวังว่ามันจะเป็นแค่เกม เพราะปกติแล้วเกมดีๆทั่วไปมักจะไม่ตายจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นสำหรับมือใหม่เท่านั้น
และคำตอบที่เขาตั้งตารอก็มาถึง จุดเล็กๆสีดำสามจุดปรากฏขึ้นเหนือเกลียวคลื่น
จางเฮงโยนเปลือกมะพร้าวในมือลงข้างเท้า ยกมือขึ้นป้องแสงแดดจ้าเหนือหัว เขาวิ่งเร็วดุจดังนักกีฬาทีมชาติเพื่อไปที่ชายหาด เขาขยี้ตาแล้วแพ่งมองไปที่จุดซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นคนสามคนกำลังลอยตัวอยู่เหนือน่านน้ำ
เป็นชาวต่างชาติทั้งหมดเลย – ผู้ชาย
หนึ่งในนั้นแต่งตัวด้วยชุดกอร์เท็กซ์และรองเท้าปีนเขา และเขาดูเหมือนว่าเขาจะมีกริชห้อยไว้ที่เอวด้วย ลมและคลื่นใหญ่เกินกว่าที่จางเฮงจะมั่นใจได้ ในสามคนนั้นมีหนึ่งคนที่ดูสุขุมที่สุดส่วนอีกสองคนดูเป็นเด็กหนุ่มไร้อารมณ์ในกางเกงขาสั้น กับลุงหัวล้านที่ไม่ใส่อะไรเลย
ทั้งสามอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง ขณะที่พวกเขาพยายามขึ้นฝั่ง ด้วยเหตุผลลึกลับอะไรบางอย่าง สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือลอยในขณะที่กระแสน้ำย้อนกลับ
จางเฮงรู้ว่าต้องทำอะไรบางอย่าง แม้มะพร้าวช่วยให้เขามีแรงขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลยว่าการช่วยคนสามคนมันเป็นไปไม่ได้ จากสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ทำได้มากที่สุดก็คงช่วยไว้ได้แค่คนเดียว
สุดท้ายแล้ว เค้าเลือกช่วยชายเปลือยคนนี้ เหตุผลง่ายๆ – เขาอยู่ใกล้ที่สุด