48 Hours a Day - ตอนที่ 44 โตเกียวดริฟท์ XIV
48 Hours a Day ตอนที่ 44 โตเกียวดริฟท์ XIV
ตอนที่ 44 โตเกียวดริฟท์ XIV
ณ ร้านอาหารเช้าแห่งหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟได้จัดวางอาหารไว้บนโต๊ะซึ่งมีทั้งทามาโกะยากิ, ข้าว, ปลาย่างและซุปมิโซะเรียงรายกันในจานอย่างหรูหรา
แต่ไม่มีใครหยิบตะเกียบขึ้นมาเลย ทาเคดะเท็ตสึยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ภายใต้สายตาอันแน่วแน่ของอามิโกะ
เขาจุดบุหรี่ขึ้นแล้วพูดว่า “เพื่ออะไรกัน? ยังไงลูกก็กําลังจะไปประเทศจีนในอีก 2 เดือนอยูแล้วไม่ใช่เหรอ! ทําไมลูกต้องพาตัวเองมาข้องเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย?”
“หนูอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น พ่อยังคงรักแม่อยู่ใช่ไหม?”
“ความรู้สึกนั่นไม่ใช่เรื่องสําคัญสําหรับคนอายุอานามปูนนี้แล้ว” ทาเคดะเท็ตสึยะตอบอย่างลังเลขณะที่กําลังอัดควันบุหรี่เข้าปอด “ในตอนที่พ่อยังเด็ก พ่อคิดว่าพ่อจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ตลอดไป แต่ในความเป็นจริงหลังจากผ่านมานานหลายปี พ่อก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง”
เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อขึ้นมาว่า “แต่ไม่ว่ายังไงพ่อก็เป็นหนี้พวกเธอทั้งคู่ แล้วนานาโกะเป็นไงบ้าง เธอสบายดีใช่ไหม?”
“แม่สบายดี แต่แม่ก็ยังไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่แม่บอกหนูมาก่อนหน้านี้แล้วว่าแม่ไม่ได้เกลียดพ่ออีกแล้ว พ่อแค่…ติดค้างความจริง”
ทาเคดะเท็ตสึยะเงียบไป เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ต้องการที่จะฟื้นเรื่องราวในอดีตของเขาขึ้นมา แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไปตลอดไม่ได้
เขาหยุดนิ่งไปอย่างอึกอัก และในตอนที่บุหรี่กําลังจะแผดเผานิ้วของเขา ทาเคดะเท็ตสึยะก็เปิดปากออกมาในที่สุด “ทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดพลาด ความผิดพลาดที่พ่อเองก็เสียใจและจะเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต”
เขาเล่าเรื่องที่เขาเก็บเป็นความลับมาหลายปี
ในช่วงยุค 70 และ 80 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกําลังเฟื่องฟูและในสมัยนั้นเองโยสุเกะทสึจิยะได้เกิดมาในครอบครัวที่มีความสุข เหมือนกับคนทั่วๆไปในสมัยนั้น โยสุเกะซึชิยะเต็มไปด้วยพละกําลังของวัยเด็ก ความภาคภูมิใจและความดื้อดึง ในตอนที่เกิดการลงนามในข้อตกลงพลาซา เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่น และอํานาจในการใช้จ่ายของญี่ปุ่นถึงจุดสูงสุด อย่างไรก็ตาม นั่นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกของญี่ปุ่นอย่างรุนแรงจนพังยับเยิน จนผู้คนต่างขนานนามกันว่ายุค “ทศวรรษที่หายไป” ของญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงครั้งมหึมานี้ได้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนรุ่นต่อไปสู่เส้นทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
แรงกดดันมหาศาลจากการเป็นหนี้ท่วมท้นของพ่อแม่ของโยสุเกะทสึจิยะ หลังจากที่ธนาคารยึดบ้านของพวกเขาไป พ่อแม่โยสุเกะจึงตัดสินใจจบชีวิตของตนเองลงด้วยความสิ้นหวัง พวกเขารมควันตัวเองด้วยเตาถ่านจนเสียชีวิต ไม่นานหลังจากได้รับข่าวการจากไปของลูก ปู่ย่าตายายของทสึจิยะก็เสียชีวิตตามไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ทําลายโยสุเกะทสึจิยะ; แต่เรื่องเหล่านี้กลับสร้างนิสัยที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใด และจากคําพูดของผู้จัดการทีมที่ได้มาเจอเขาในภายหลัง – เขาเกิดมาเป็นนักสู้
คําว่า ‘ กลัว” ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของเขา
“อะไรก็ตามที่ฆ่าฉันไม่ตายทําให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น”
โยสุเกะทสึจิยะได้เข้าต้อนรับนายกรัฐมนตรีในวัย 20 และประสบความสําเร็จอยูตลอดในการแข่งขันที่ยุโรปชนะอันดับที่ 2 ในรายการแข่งขัน FIA GT Grand Prix ที่นิวยอร์ก แต่เขาถูกส่งกลับบ้านหลังจากเกิดพ่ายแพ้ในการแข่งขันกับทีมของเขา ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน Tokyo D1 Grand Prix เขาเป็นตํานานในโลกแห่งการดริฟท์ของญี่ปุ่น
ในตอนนั้น เขาเป็นอันดับต้นๆในเกมของเขาแล้วแต่เขาก็ยังไม่เคยพอใจ เขายังคงมองหาสิ่งท้าทายใหม่ๆอยู่เสมอ ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะรับตําแหน่ง Drift King เขาใช้เวลาน้อยกว่าปีหนึ่งในการแย่งที่นั่งนักแข่งชั้นนําจาก 22 เขต และรวมทั้งเขตพิเศษทั้งหมดในโตเกียว ยกเว้น 1 แห่ง: เนะริมะ
“นักแข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเนะริมะ คือชายที่ชื่อว่า อาซาโนะ นาโอโตะ เจ้านั่นบ้าไปแล้ว! เขาคิดค้นแบบเกมการแข่งรถมรณะ – เขามักจะเลือกส่วนหนึ่งของทางหลวง ทําลายราวกั้นและตั้งทางออกและทางเข้าขึ้นมา และในตอนที่ตกลงกัน นักแข่งอีกคนจะต้องขับรถแข่งกับการจราจรที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถนนทางหลวง ใครก็ตามที่มาถึงเส้นชัยก่อนและยังมีชีวิตอยู่จะเป็นผู้ชนะ บางครั้งเพื่อให้การแข่งขันน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น เขาจะลากตํารวจให้มามีส่วนร่วมในเกมด้วย!”
“ นั่น เป็นการฆ่าตัวตายชัดๆเลยนะ!” อามิโกะประหลาดใจอย่างสุดขีด
“อาซาโนะนาโอโตะเชื่อว่ามีเพียงนักแข่งที่กล้าหาญเท่านั้นที่สมควรได้รับชัยชนะ และใครก็ตามที่กล้าท้าทายเขาจะต้องยอมรับกฎทั้งหมดของเขาด้วยเช่นกัน แม้ว่าตอนนี้พ่อจะดูี่ง่เง่า แต่ตอนนั้นพ่อยังเด็กอยู่ – เหลืออีกเพียงการแข่งขันเดียวก็จะได้รับตําแหน่ง Drift King แล้ว เพราะงั้นพ่อเลยยอมแพ้ไม่ได้”
ทาเคดะเท็ตสึยะจุดบุหรี่ขึ้นอีกมวน สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อว่า “เราตกลงเวลากัน – นอกจากเรา 2 คนแล้ว ก็มีเพื่อนสนิทของฉันอีกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันด้วย เขาเป็นนักแข่งรถที่เก่งกาจที่สุดในชินจุก – และเราเลือกสนามแข่งด้วยกัน ระยะทางยาว 40 กิโลเมตร กว้าง 3 เลน ในวันทั่วๆไปการจราจรจะอยู่ในระดับปกติ ไม่มีใครคิดว่าหนทางจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกในชั่วพริบตา”
“โคบายาชิแนะนําให้เราเลิกแข่งและเลือกเวลาอื่นแทนและพ่อบอกได้เลยว่าอาซาโนะนาโอโตะก็จะต้องเห็นด้วย เพราะยังไงเขาก็เป็นเพียงนักเลงที่รักการใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง ยังไงซะเขาก็คงไม่ได้วางแผนที่จะมาตายที่นี่หรอก หากพิจารณาถึงสภาพถนนแล้ว ระดับความอันตรายแบบนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตความปลอดภัยของเขาแน่ แต่ไอ้สั่งนั่นไม่อยากจะยอมแพ้และเสียโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยเรา เขารู้ว่าพ่อก็จะตกลงด้วยเหมือนกัน เพราะแบบนั้นเจ้านั้นจึงตัดสินใจโหวตคัดค้านโดยการเรียกเราว่าไอ้พวกขี้ขลาด”
“ตอนนั้นพ่อเป็นเพียงชายหนุ่มที่มีความคึกคะนองและด้วยความโกรธ พ่อจึงโหวตให้ไม่เลื่อนการแข่งขันครั้งนี้เหมือนกัน เพราะยังไงมันก็เป็นการแข่งแบบ 2 ต่อ 1 อยู่ดี ซึ่งหมายความว่าการแข่งขันจะยังดําเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ พ่อเห็นสีหน้าของอาซาโนะนาโอโตะที่เปลี่ยนไป แต่พ่อก็ไม่ได้รู้สึกดีที่เจ้านั่นแสดงสีหน้าแบบนั้น เพราะเรา 3 คนต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลําบากเช่นกัน”
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เป็นเพียงสิ่งยืนยันว่าการตัดสินใจของพ่อโง่แค่ไหน ทัศนวิสัยบนทางหลวงวันนั้นมองเห็นได้เพียง 4-5 เมตรเท่านั้น เราจําเป็นต้องขับให้ช้ากว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความตาย นี่ไม่ใช่การแข่งขันประชันฝีมือกันอีกต่อไป และดูเหมือนว่าสิ่งสําคัญคือความโชคดี”
“เราขับรถไปแบบนั้นเป็นเวลากว่า 10 นาที กลัวว่าจะตายอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นวันปกติทั่วไป เราคงจะแข่งกับเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่เราเพิ่งขับไปถึงเพียงแค่ 1 ใน 3 ของระยะทางทั้งหมด พ่อบีบแตรตลอดทาง! โชคดีที่ทางหลวงปิดแล้ว และไม่ได้มีรถยนต์มากนักที่มาทางเรา แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังต้องหักรถอย่างรุนแรงเพื่อหลบหลีกการพุ่งเข้าไปชนรถยนต์ที่กําลังขับเข้ามาทางเราถึง 2-3 ครั้ง พ่อไม่เห็นรถพวกนั้นจนกว่าจะถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย! ให้ความรู้สึกเฉียดตายอยู่ตลอดเวลาเหมือนกําลังกระทบไหล่ยมทูต!”
ตอนที่เจ้าของร้านอาหารทะเลนึกถึงช่วงเวลาแสนอันตรายในชีวิตเขา ก็เห็นได้ชัดว่าความหวาดกลัวใกล้ตายในช่วงเวลาเหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่
“ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้มีจิตใจที่แข็งแกร่งเพียงไหนก็คงจะทนสู้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นโคบายาชิกับฉันจึงขึ้นนํา และผลัดให้เวลากันและกันได้พักผ่อน อีกทางหนึ่งอาซาโนะนาโอโตะออกจากเกมไปแล้ว – นักแข่งที่น่าจะกล้าหาญที่สุดในเจตจํานงทั้งหมดของโตเกียวได้ถูกทําลายลงจนหมดสิ้น และหมอนั่นตัวสั่นอยู่ข้างหลังเรา แต่ทันใดนั้นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น!”
“ตอนที่เราขับรถมาเกือบถึงกลางทางของการแข่งขัน พ่อได้ยินเสียงดังสนั่นของแตรรถบรรทุกมาจากทางถนนข้างหน้า พ่อกําลังจะเปลี่ยนไปอีกเลนแต่ทันใดนั้นเองรถ GT-R ของอาซาโนะนาโอโตะ ก็บังคับให้พ่ออยู่ในเลนซ้าย พ่อเลยพยายามเร่งความเร็ว แต่เขาก็ยังคงอยู่ทางขวาของพ่อ! พ่อเดาได้เลยว่าตอนนั้นเจ้านั่นกําลังคิดอะไรอยู่ ฝีมือของเขาวันนี้นั้นแย่มาก และหากเขาแพ้การแข่งขันนี้ ชื่อเสียงทั้งหมดที่เขาสั่งสมมาเพื่อตัวเองตลอดหลายปีนี้จะต้องถูกทําลายลง ดังนั้นเขาจึงมีความคิดชั่วร้าย
อาซาโนะนาโอโตะตั้งใจที่จะฆ่าพ่อ เขาทิ้งพ่อไว้กับเวลาอันน้อยนิดและพ่อก็หมดหวัง! พ่อคิดว่าเวลาของพ่อคงจบสิ้นแล้ว โคบายาชิเร่งรถเล็กซัสของเขาเพื่อพุ่งชนรถ GT-R ของอาซาโนะนาโอโตะเข้าอย่างจัง! พ่อไม่เห็นว่ามันจะมาเพียงพริบตาเดียวรถทั้ง 2 คันสูญเสียการควบคุม และรถ GTR ของอาซาโนะนาโอโตะก็ไปอยู่ใต้เพลารถบรรทุก และชนรถบรรทุกออกไปด้านข้าง! และมันตกลงบนรถเล็กซัสของโคบายาชิ! มันช่างน่าสยดสยองที่สุด… พ่อไม่กล้ามองออกไปเลย หลังคารถเล็กซัสยุบบุบลงไปและมีควันสีดําพุ่งออกมาทางด้านหน้ารถ