48 Hours a Day - ตอนที่ 39 โตเกียวดริฟท์ IX
ตอนที่ 39 โตเกียวดริฟท์ IX
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่คนส่งของคนก่อนกลับมาหลังจากที่เขาไปเยี่ยมบ้านเกิด จางเฮงก็ส่งสินค้าได้ครบทั้งหมดก่อนที่ตํารวจจราจรจะมาเข้ากะในครั้งแรกของวัน และขณะที่เขาประสบความสําเร็จเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูของเขา:
[ได้รับสกิลใหม่ – สกิลการขับขี่: เลเวล 0]
จางเฮงสูดหายใจเข้าลึกๆ ช่วงเวลาแห่งการทํางานในตอนย่ำรุ่งในที่สุดก็ประสบความสําเร็จ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกณฑ์มาตรฐานของการกําหนดเลเวลสกิลคืออะไร อย่างกรณีของสกิลการเอาชีวิตรอดของเขาในตอนที่ได้รับการยอมรับในเกมที่แล้ว จางเฮงรู้ว่าเลเวล 0 นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเขาได้ก้าวข้ามจุดเริ่มต้นไปแล้ว
ถ้าจะพูดถึงเรื่องของเวลาแล้ว เขาก็ไม่ได้ประสบความสําเร็จอย่างรวดเร็วแต่ก็ถือว่าไม่ได้ช้าเลยเช่นกัน มันเป็นเพียงแค่สัปดาห์เดียวหลังจากที่เขาเริ่มสัมผัสพวงมาลัยเป็นครั้งแรก ตอนนี้แม้แต่ทาเคดะเท็ตสึยะที่เฝ้ารอให้จางเฮงทํางานพัง ก็ทําได้เพียงบ่นกับตัวเองว่า “หรือหมอนั่นโยนสิ่งของทั้งหมดที่ไม่ได้ไปส่งไว้ข้างถนนหรือเปล่านะ?”
จางเองไม่สนใจคําพูดนั่น เขาคืนกุญแจและขึ้นรถบัสกลับไปมหาวิทยาลัยอย่างเงียบ ๆ
เขาเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้แล้ว: ไปเรียน แล้วไปทํางาน แล้วจากนั้นไปส่งสินค้าให้กับนายจ้างที่ไร้ความเมตตา เมื่อใดก็ตามที่เขามีเวลาเขาก็จะตอบกลับข้อความแปลกๆของอามิโกะที่ส่งมาทุกวัน
วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ และในชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้ว 2 เดือน ตอนนี้ใกล้จะถึง 3 เดือนแล้วตั้งแต่เขาเริ่มเกมนี้มา ตอนนี้ผู้เล่นคนอื่นคงจะถูกย้ายออกจากเกมและกลับสู่โลกความเป็นจริงไปกันหมดแล้ว แต่สําหรับจางเฮง นี่ยังไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในสี่ของการเดินทางครั้งนี้เลย
เขาไม่ได้รีบร้อนในการทําภารกิจหลักให้สําเร็จ และในขณะที่เขาทํางานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาก็ได้รับรางวัลแห่งความสําเร็จเล็กๆมา 2 อย่างโดยที่ไม่ได้คาดคิด
หนึ่งคือสําหรับการเยี่ยมชมสถานที่ที่น่าสนใจในโตเกียว 10 แห่งและอีกอย่างหนึ่งคือการชิมอาหารอร่อยของญี่ปุ่น 30 รายการ ความสําเร็จแต่ละอย่างนั้นทําให้เขาได้รับ 3 เกมพอทย์
จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย ตราบใดที่คุณเต็มใจไป คุณคงจะเยี่ยมชม 10 แหล่งท่องเที่ยวของโตเกียวได้ สิ่งเดียวที่ต้องพิจารณาให้ดีก็คือเวลาที่มีอยู่อย่างจํากัดคงมีคนเพียงไม่กี่คนที่ยินดีที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ไม่กี่วันไปเที่ยวชมสถานที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลยกับภารกิจ
แต่ตรงกันข้ามจางเฮงมีอามิโกะที่คอยลากเขาไปนุ่นมานี่ตามสถานที่ต่างๆตลอด อย่างเช่น โตเกียวสกายทรี พิพิธภัณฑ์จิบลิในเมืองมิตะกะ วัดเซ็นโซจิและสถานที่อื่นๆอีกมากมาย เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะออกไปเที่ยวชมข้างนอกเลยเนื่องจากเขามีเวลาเยอะแยะเหลือเฟือ และตารางสิ่งที่ต้องทําในแต่ละวันของเขาแน่นมาก เพราะฉะนั้นการที่ได้ออกมาพักผ่อนและคลายเครียดบ้างเป็นบางโอกาศนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว
การมีไกด์นําเที่ยวฟันแสนน่ารักพาเขาไปชมรอบๆเมืองเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง และนั้นก็ทําให้เขาได้รับมา 6 เกมพอทย์
นอกเหนือจากนั้นจางเฮงก็ยังคอยจับตาดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นซ้ำอีกเมื่อถึงตอนกําหนดเวลา 60 วัน นั้นเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากเกมครั้งก่อนหน้า และทันใดนั้นเองเขาก็เจอบัคเข้าแล้ว!
มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นมักจะมีการเปิดรับนักศึกษาเข้ามาใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายนของทุกปี และด้วยจํานวนของนักศึกษาแลกเปลี่ยนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นอีกช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดสําหรับการรับสมัครคนเข้าชมรมและกลุ่มต่างๆในช่วงเดือนกันยายน ในตอนแรกที่จางเฮงมาถึงมหาวิทยาลัยก็ได้มีโปสเตอร์และใบปลิวอยู่ทุกที่ แต่เนื่องจากเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการเรียนภาษาญี่ปุ่น เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมชมรมไหนเลย
ดังนั้นเมื่อครบกําหนดเวลา 60 วัน บรรดากลุ่มคนพวกนี้ก็เริ่มทําการสรรหาคนเข้าชมรมใหม่อีกครั้ง และตอนที่จางเฮงถามอามิโกะเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ตอบว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกันและอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีสมาชิกชมรมเพียงพอก็ได้
แต่นับตั้งแต่ที่ความขัดแย้งกันที่ยังไม่ได้แก้ไขเกี่ยวกับเบลล์ จางเฮงก็กลายเป็นคนอ่อนไหวมากกับความผิดปกติเหล่านี้ เขาเกือบจะมั่นใจว่าเขารู้ความลับที่องค์กรเหล่านี้ซ่อนเอาไว้อยู่
จางเฮงจึงคิดวิธีแก้ปัญหา – เขาเก็บรวบรวมใบปลิวการรับสมัครของทุกชมรมและสโมสร อย่างเช่นมีทั้งชมรมฟุตบอล ชมรมว่ายน้ำ ชมรมเบสบอล ชมรมเทควันโด ชมรมหมากรุกญี่ปุ่น(โชงิ)และชมรมไพ่ดอกไม้(ฮานาฟูดะ) ซึ่งชมรมไพ่ดอกไม้นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใบปลิวแนะนําชมรมมีประธานชมรมร่วมทั้ง 2 คนของพวกเขาอยู่ด้วย ทั้งคู่เป็นผู้หญิงที่สวยงามอย่างน่าทึ่ง
แต่ถ้าจะพูดให้ชัดๆเลยก็คือจางเฮงไม่ได้สนใจชมรมพวกนี้เลย เขาให้ความสําคัญกับชมรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ จนถึงตอนนี้เขาก็เจอชมรม 4WD, การเวิร์กช็อปนักแข่งรถและชมรมถ่ายภาพโมเดลออโต้โชว์ แต่หลังจากที่เขาสอบถามเกี่ยวกับชมรม 4WD เขาพบว่านั่นไม่ใช่รถระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่างที่เขาคิดเอาไว้
คนกลุ่มนี้ไม่ได้แข่งรถ 4WD แต่อย่างใด แต่หมายถึงรถของเล่น Mini4WD จากการ์ตูน “แดชจิ๋วจอมซิ่ง” พัฒนาโดยบริษัททามิยะ – รถกระป๋องตราเพชร* เป็นคู่แข่งแบบราคาถูกจากจีนซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามนั่นเป็นข่าวจากในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกันของเมื่อวานนี้ จางเฮงรู้สึกประหลาดใจในทางที่ดีที่ยังมีกลุ่มคนที่หลงไหลคลั่งไคล้รถพวกนี้อยู่ในมหาวิทยาลัย!
ตอนนี้จางเฮงไม่ได้รู้สึกอยากจะมาเก็บฝุ่นอยู่ข้างหลังรถของเล่นที่กําลังแล่นไปในสนาม ขณะที่กําลังส่งแรงเชียร์ไปให้รถ Shooting Star , รถCannonball และรถBurning Sun … และนั้นคงเป็นสิ่งที่จะได้เห็น! และในทางกลับกันเขาคิดว่าชื่อ ชมรมถ่ายภาพโมเดลออโต้โชว์” ฟังดูค่อนข้างน่าสงสัย ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วจางเฮงจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมเวิร์กช็อปนักแข่งรถ
สิ่งนี้ฟังดูเข้าท่าที่สุดจากทั้งหมด 3 อย่างที่กล่าวมา
สิ่งที่ทําให้เขามีความสุขมากเลยก็คือ เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากกลุ่มนี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยรุ่นพี่ปี 4 ที่เริ่มจากการเป็นคนที่ชื่นชอบการดูแข่งรถ เขาและกลุ่มเพื่อนที่มีความชอบเหมือนๆกันตัดสินใจที่จะก่อตั้งกลุ่มสังคมนี้ขึ้นมา และหลังจากการเรียนรู้ด้วยตนเองและฝึกฝนมาอย่างมากเขาก็ได้รับความสามารถพิเศษ และกระทั่งมีทีมมาขอเซ็นสัญญากับเขาในตอนที่เขาเรียนอยู่ปีที่สี่ในมหาวิทยาลัยเพื่อให้เขามาเป็นนักแข่งรถมืออาชีพและไปขับรถแข่งในรุ่น GT300 สําหรับฤดูกาลนี้
เมื่อ 3 ปีที่แล้วเขาจดบันทึกสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนลงบนกระดาษไว้ทั้งหมดและแบ่งปันความรู้ให้กับสมาชิกของชมรม กระทั่งถ่ายวิดีโอสอนประจําวัน และบันทึกประสบการณ์และความคิดเห็นของเขาไว้ในบล็อกที่เขาคอยอัพเดทอยู่เสมอ
เขาเป็นคนใจกว้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับทาเคดะ เท็ตสึยะ คนที่แทบจะไม่ให้คําแนะนําอะไรกับจางเฮงเลยในระหว่างทางกลับไปที่ร้านหลังจากตอนที่พวกเขาไปตลาดปลาด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ต่างก็มีสไตล์การฝึกซ้อมและการขับขี่ที่แตกต่างกันมาก
รุ่นพี่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก เขาเป็นนักแข่งที่ใจกว้างและที่เชื่อมั่นในเรื่องของแรงแห่งการเคลื่อนที่ เขาเหยียบคันเร่งไปตลอดทาง ในขณะที่เจ้าของร้านขายอาหารทะเลเป็นคนขับรถเชิงเทคนิค จางเฮงได้เจอวิดีโอเก่าๆของทาเคดะ เท็ตสึยะในวันแข่งรถ และมารู้ว่าผู้ชายคนนี้นั้นแสนจะเจ้าเล่ห์เมื่ออยู่ในการแข่งขัน สไตล์ของเขาคือการทําตัวเป็นกระแสลม โดยการขับรถไปต่อท้ายรถคันอื่นอย่างใกล้ชิดจากนั้นก็เร่งความเร็วให้เต็มสปีดใน 2 รอบสุดท้ายเท่านั้น
ประโยคที่เขาพูดย้ำบ่อยๆก็คือ “การแข่งรถมันเป็นเกมเกี่ยวกับยุทธวิธี ไม่ใช่แค่การแข่งกันเพียงฝีมือเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ทางจิตใจด้วย คนขับรถทั่วไปจะมองแค่ทางถนนข้างหน้าแต่คนที่ขับรถที่เก่งกาจจะต้องไม่ผูกมัดไปกับข้อจํากัดทางสายตาแต่ต้องดูภาพที่ใหญ่ขึ้น”
แต่ทุกครั้งหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้เขาก็จะคําพูดสบประมาทต่อ “เฮ้อ แต่มือใหม่อย่างแกคงไม่มีวันเข้าใจโลกนี้หรอก! แกควรที่จะตั้งใจส่งอาหารทะเลก่อนนะ เป็นเพราะแกแลยนะ พักหลังมานี้ธุรกิจของฉันก็เริ่มไปได้สวย มีคําสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอีก 20%! แต่ก็ยังใช้กฎเดิมอยู่นะ – แกจะต้องจ่ายเงินชดใช้ให้ฉันถ้าแกไปส่งพลาด! “
จางเฮงได้รับใบขับขี่ของเขาแล้ว แต่ในที่สุดก็พบว่ามันไม่มีประโยชน์เลยเพราะเขายังต้องรีบกลับมหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนก่อนที่โตเกียวจะตื่นอยู่ดี อีกอย่างรถ L300 ที่ทาเคดะ เท็ตสึยะขุดขึ้นมาจากกองขยะนั้นไม่มีประกันและไม่ได้มีการตรวจสอบรถยนตร์ และยิ่งไปกว่านั้นแผ่นป้ายทะเบียนรถนั่นก็เป็นของปลอม!
ตอนนี้มันสมเหตุสมผลแล้วที่ทาเคดะเท็ตสึยะจะเมินในตอนที่จางเฮงทําผิดกฎจราจรก่อนหน้านี้ เพราะตํารวจคงไม่สามารถตามจับตัวพวกเขาได้อยู่ดี ดังนั้นมันจึงไม่สําคัญว่าจางเฮงจะขับรถได้ไม่ดีขนาดไหน แต่ถ้าพวกเขาถูกตํารวจเรียกพวกเขาได้จบเห่แน่ๆ – พวกเขาคงถูกจับโยนเข้าคุก
เนื่องจากเป็นเช่นนั้นจางเฮงจึงทําได้เพียงขับขี่รถยนตร์อย่างรวดเร็วในแบบนี้ต่อไปและก้มตัวหลบต่ำเมื่อใดก็ตามที่เขาอยู่บนท้องถนน
อย่างไรก็ตาม เขาได้เจอบันทึกและวิดีโอสอนที่จัดทําโดยผู้ก่อตั้งเวิร์กช็อปนักแข่งที่ดูแล้วทําให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งมากๆ – แนวทางการขับรถแข่งของเขานั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่จางเฮงได้เรียนรู้จากเจ้าของร้านขายอาหารทะเลอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุดหลังจากผ่านไป 3 เดือนที่ยากลําบากมาได้ ทาเคดะ เท็ตสึยะก็ได้ถ่ายทอดความรู้ในการปรับแต่งรถยนตร์ของเขาให้กับจางเฮง
**
รถกระป๋องตราเพชร – รถบังคับวิทยุยี่ห้อ Auldey ที่คนไทยเรียกติดปากว่า ”รถกระป๋องตราเพชร” ผลิตโดย บ.อัลฟ่ากรุ๊ป ประเทศจีน ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1993