48 Hours a Day - ตอนที่ 35 โตเกียวดริฟท์ V
ตอนที่ 35 โตเกียวดริฟท์ V
หลังจากลงจากรถบัสพวกเขาใช้เวลาเดิน 15 นาที แล้วหลังจากข้ามแยก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
จางเฮงมองไปที่ร้านค้าเล็กๆ ที่ชื่อว่าคุราฮาระซีฟู้ดและถามว่า “พ่อเธออยู่ที่นี่เหรอ?”
“ใช่ แต่ข้างในกลิ่นเหม็นหน่อยนะ … ฉันว่า นายยืนรอฉันอยู่ข้างนอกดีกว่า” ยิ่งพวกเขาสนิทกันมากเท่าไหร่อามิโกะก็ยิ่งดูยุ่งเหยิงขึ้นทุกทีแต่เธอยังคงคิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ
“ไหนๆฉันก็มาถึงที่นี่แล้ว ให้ฉันไปด้วยเถอะ” แต่ตรงกันข้าม จางเฮงสมัครใจที่จะไป
พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านแผ่นป้ายโฆษณาโรลอัพและตู้แช่แข็งเก่าเก็บที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในร้านขายอาหารทะเล กลิ่นเหม็นฉุนคาวปลาเตะเข้าที่จมูกของพวกเขา ในทันทีที่พวกเขาสูดเอาอากาศหายใจเข้าไปกลิ่นของพวกปลาและกุ้งนี่แรงมากๆ – อาหารทะเลทุกชนิด – มีอยู่ทุกที่ แต่ไม่มีใครอยู่ในร้านเลย – ไม่มีเลยยกเว้นปลาไหลมอเรย์ที่กำลังดิ้นอยู่ในกล่องโพลิสไตรีน
“โอโต้ซัง~ โอโต้ซัง~” อามิโกะตะโกนออกมา แต่ไม่มีใครตอบกลับ “หรือเขาจะไปโรงพยาบาลแล้วจริงๆ?” หญิงสาวบ่นพึมพำและเดินขึ้นบันไดไปด้วยความลังเล โดยมีจางเฮงเดินตามหลังไปอยู่ไม่ห่าง
บันไดไม้ที่ยังไม่ได้ถูกซ่อมมาเป็นเวลานาน ทิ้งรอยร้าวและรอยแยกอยู่ทุกที่ ทุกก้าวที่ย่างเดินไปบนบันไดนั้นจะส่งเสียงดังก๊อกแก๊กและดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับกำลังร้องบอกว่าจะอดทนรับแรงกระแทกต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
จางเฮงคิดว่าชั้นล่างอัดแน่นเหมือนปลากระป๋องแล้ว แต่ชั้นบนแทบจะไม่มีที่ว่างพอที่จะเดินได้เลย มีเสื้อผ้าสกปรกๆ, ขวดเบียร์และกระทั่งนิตยสารโป๊กระจัดกระจายไปทั่ว มีคนเปลือยครึ่งตัวหนวดเครารุงรังนอนกรนอยู่บนพื้น
“ฉันนี่โง่จริงๆ! ที่เชื่อคำโกหกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า!” อามิโกะเอามือขึ้นมากุมไว้ที่หน้าผาก
“แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็ถือเป็นข่าวดีนะ ใช่ไหม? ดีกว่านอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล”
“นี่แย่กว่าอีก แย่มากเลยด้วย! ทำไมผู้ชายที่โกหกลูกสาวของตัวเองแบบนี้ถึงได้อยู่ในโลกนะ?” อามิโกะดึงชายคนนี้ด้วยสองมือและพยายามพาเขาขึ้นไปบนเสื่อทาทามิที่ด้านข้าง
ตอนที่เขาเห็นว่าอามิโกะดูใช้ความพยายามอย่างมาก จางเฮงจึงเสนอตัวมาช่วย “มา ให้ฉันช่วยเถอะ”
ขณะที่พวกเขากำลังดึงตัวชายคนนี้ ก็มีบางอย่างหล่นลงมาจากกระเป๋า อามิโกะหยิบมันขึ้นมาเพื่อสำรวจดูและพบว่านั้นคือกระเป๋าตังสีน้ำตาล เธอตกตะลึงและดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ทันใดนั้นชายคนนั้นลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเสื่อทาทามิ! เขาพุ่งเข้าใส่อามิโกะและตะโกนใส่เธออย่างดุเดือด!
ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ จางเฮงใช้สัญชาตญาณป้องกันตัวที่เบลล์สอนเขา แล้วโยนชายคนนั้นลงบนพื้นด้วยการจับทุ่มข้ามไหล่ ผู้ชายคนนั้นล้มลงไปกับพื้นพร้อมเสียงดังตุ้บอย่างแรง; ดวงตาของเขากลิ้งเหลือกไปทางด้านหลังในตอนที่เขาล้มลงไปกับพื้น หมดสติ
จากนั้นอามิโกะก็มีปฏิกิริยาตอบสนองและตะโกนว่า “ไม่นะ! นี่เขาตายรึยัง?!” หญิงสาวโดดไปข้างหลังด้วยความตกใจ
“เอ่ออ ไม่หรอก! แต่อีกสักพักเดี๋ยวเขาก็ตื่น แล้วเขามาโวยวายอะไรใส่เธอเหรอ?”
“ส่งกระเป๋าเงินคืนมาให้ฉัน…” อามิโกะพูดเสียงอู้อี้
“ฉันจะกลับไปเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อไป” จางเฮงตอบอย่างอายๆ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พาชายเมาและหมดสติกลับไปที่เสื่อทาทามิ
จางเฮงเห็นว่าอามิโกะยังคงถือกระเป๋าเงินเก่าๆนั่น เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ทำไมเหรอ? มีเงินอยู่ข้างในมากรึปล่าว?”
อามิโกะส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก กระเป๋าเงินนี้เป็นของขวัญวันเกิดจากแม่เมื่อ 12 ปีก่อน ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขายังใช้มันอยู่” เธอเปิดกระเป๋าแล้วพบรูปภาพสีเหลืองเก่าๆในช่องของกระเป๋าฝั่งขวาผ่านแผ่นใส นั่นเป็นภาพครอบครัว
อามิโกะชี้ไปที่เด็กทารกอายุ 1 ขวบและพูดว่า “นี่คงเป็นฉันและนั่นคือแม่กับพ่อที่อยู่ด้านหลัง แม่พูดว่านั่นตอนั้นเขายังไม่ได้เป็นนักพนัน และพวกเราทุกคนมีความสุขมาก!”
จางเฮงสะดุดตากับรถนิสสันที่อยู่ด้านหลังชายคนนั้น เขาจ้องมองไปมัน “เธอไม่เคยบอกฉันเลยว่าพ่อเธอเป็นนักแต่งรถด้วย”
“แต่งรถเหรอ? ไม่ ไม่ใช่หรอก จะเป็นไปได้ไง? นายไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้เขาเป็นยังไง เขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับฉันในตอนที่ฉันเป็นเด็ก ตอนที่ร้านขายอาหารทะเลเพิ่งเปิดเป็นครั้งแรก ธุรกิจไปได้ไม่ค่อยสวยนัก มันแข่งขันกับร้านประจำท้องถิ่นไม่ได้เลย และเพื่อเพิ่มรายได้ของร้าน พ่อจึงเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ หาลูกค้าต่างประเทศ คุยกับพวกเขาทีละคนๆและบางครั้งก็ไปถึงที่หน้าประตูบ้าน! ช่วงจุดสูงสุดของร้าน เขาเคยขายอาหารทะเลไปถึงลอนดอน, ลอสแองเจลิสและกระทั่งเปรู! คนที่ทำงานจริงจังขนาดนี้ ไม่น่าเคยเกี่ยวข้องกับพวกโบโสะโซคุหรอก… และเท่าที่ฉันจำได้ เขาไม่เคยขับรถเลยนะ เขาจ้างคนให้ไปส่งสินค้าตลอด” อามิโกะพยายามนึกถึงและจากนั้นเธอก็ดูที่ภาพนั้นอีกครั้ง “รถคันนี้ต้องเป็นของคนอื่นแน่ คงมีคนไปจอดไว้ที่นั่นตอนที่ถ่ายรูป”
“อ้อ อย่างงั้นเหรอ…” จางเฮงไม่ได้ถามคำถามอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่พูดว่า “ฉันค่อนข้างสนใจรถยนต์น่ะ ป่านนี้รถคันนี้น่าจะกลายเป็นโบราณวัตถุไปแล้ว ใช่ไหมละ หื้ม? งั้นฉันขอถ่ายรูปนี้ไว้ได้ไหม?”
“ได้สิ แต่อย่าให้ติดฉันนะ ตอนเด็กฉันดูน่าเกลียด” อามิโกะใช้นิ้วปิดบังใบหน้าวัยเด็ก 1 ขวบของเธอ ในขณะที่จางเฮงกำลังถ่ายรูป
หลังจากนั้นเธอก็ล้างถ้วยชา 2 ถ้วยและต้มน้ำในกาต้มน้ำไฟฟ้าบนโต๊ะ เธอค้นไปทั่วทุกซอกทุกมุมของตู้อาหารและพบห่อใบชาสีดำ
อามิโกะนำมันขึ้นมาที่จมูกและสูดดม “นี่…น่าจะเป็นชาอู่หลง”
ทั้งคู่คุยกันในตอนที่พวกเขากำลังดื่มด่ำไปกับชา แต่บทสนทนาส่วนใหญ่คือเรื่องในวัยเด็กของอามิโกะ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ชายที่ไม่ได้โกนหนวดโกนเคราบนเสื่อทาทามิก็ลืมตาตื่นและลูบไหล่ที่ปวดตุบๆ เมื่อเขาเห็นจางเฮงดวงตาเบิกกว้างอย่างระแวดระวัง
อามิโกะอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นชายที่มีเคราก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากความเกลียดชังกลายเป็นความสนใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นพ่อและลูกสาวก็คุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น
ท้ายที่สุดอามิโกะก็หยิบกระเป๋าเงินของเธอออกมาและหยิบเงิน 15,000 เยนวางลงบนโต๊ะ แต่ท่าทางชายคนนั้นดูไม่ค่อยมีความสุข เขายิ่งพูดใส่อารมณ์มากขึ้นและเขาก็ลุกขึ้นจากเสื่อด้วยความโกรธ
จางเฮงยืนกันอยู่ข้างหน้าอามิโกะ หน้าผากเขายับย่นไปหมด! ไม่นานมานี้ผลจากการออกกำลังกายของเขาก็ค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักกล้ามที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่มีเนื้อส่วนเกินห้อยออกมาจากร่างกายของเขา ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่จางเฮงได้ทุ่มชายคนนั้นผ่านไหล่ไปแล้ว ท่าทางชายนั้นก็อ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา
อามิโกะที่อยากจะผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปและทำตัวให้ดีขึ้น เธอดูเศร้าซึมและที่ขอบตาของเธอบวมช้ำและแดงก่ำ “ไปกันเถอะ!”
ตลอดทางกลับไปบนรถรางอามิโกะเอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง จางเฮงระวังตัวที่จะไม่รบกวนเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยิบเอาห่อหมากฝรั่งปรุงแต่งรวมรสออกมาแล้วพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบผิดๆถูกๆว่า “อย่ากินเลย ฉันจะกินสตรอเบอร์รี่”
“ถ้าเธอไม่เลือกหยิบไปสักอัน ฉันจะกินรสสตรอเบอร์รี่ทั้งหมด” อามิโกะแก้ไขประโยคให้ถูกต้องตอนที่เธอเลือกหยิบมาชิ้นหนึ่ง รอยย่นที่หว่างคิ้วของเธอหายไปอย่างช้าๆ แล้วเธอก็เปลี่ยนมาพูดภาษาจีนกลาง “ฉันขอโทษนะ จางซังที่นายต้องมาเห็นอะไรที่ดูไม่น่ารื่นรมย์เอาซะเลย”
“ไม่ใช่เลยนะ! เธอคอยช่วยเหลือฉันมาตลอด; ให้ฉันได้ช่วยเธอบ้างแบบนี้มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีเหมือนกันนะ! แล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ลงเอยด้วยดีรึปล่าว?”
“ไม่เลย ลูกจ้างของพ่อของฉันกลับไปที่บ้านเกิดเขาเดือนนี้ พ่อไม่เจอใครที่เหมาะสมที่จะช่วยเขาจัดส่งสินค้าเลย ร้านค้าคงจะอยู่รอดได้อีกไม่นานเท่าไหร่ ยังไงซะพ่อก็เอาแต่หาข้อแก้ตัวอยู่ตลอด! ฉันแยกแยะความจริงจากคำโกหกไม่ได้อีกแล้ว เพราะงั้นฉันเลยให้เงินทั้งหมดของฉันกับพ่อไป นั่นน่าจะเพียงพอสำหรับการรักษาความสงบในตอนนี้” อามิโกะพูดอย่างหมดหนทาง