48 Hours a Day - ตอนที่ 32 โตเกียวดริฟท์ II
ตอนที่ 32 โตเกียวดริฟท์ II
10 นาทีต่อมา จางเฮงยืนอยู่หน้าประตูร้าน ITS’DEMO พร้อมกับไอศกรีมโคนที่เข้ามาอยู่ในมือของเขาอย่างน่าประหลาด
“ฉันขอโทษนะ จางซัง*! ฉันอยากกินไอศกรีมขึ้นมากะทันหัน ในตอนที่เรากำลังเดินกันอยู่และปล่อยให้นายไปเดินบนถนนอยู่คนเดียว” หญิงสาวโค้งคำนับขอโทษ
“ไม่หรอก เป็นความผิดฉันเอง ฉันมัวแต่มองไปรอบๆไม่ได้เดินตามเธอไปใกล้ๆ เพื่อนร่วมชั้นของฉัน อามิโกะ!” จางเฮงเพิ่งสำรวจกระเป๋าของเขาเสร็จ
ของนั้นไม่มีอะไรมาก: หนังสือเดินทาง, บัตรนักเรียน, กระเป๋าเงิน (30,000 เยนญี่ปุ่นและบัตรโดยสาร), กุญแจและโทรศัพท์มือถือ ในบรรดาของเหล่านี้ทั้งหมดสิ่งที่จางเฮงให้ความสำคัญที่สุดก็คือโทรศัพท์ ตามที่หญิงสาวคนนี้กล่าวนี่เป็นวันแรกของเขาที่นี่
สำหรับอามิโกะก็คงมีโอกาสเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรซึ่งพาเขาไปชมวิวยามค่ำคืนของโตเกียว ในสถานการณ์เช่นนี้ส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายมีแนวโน้มที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน จางเฮงดูสายที่ไม่ได้รับล่าสุดและพิมพ์ชื่ออามิโกะลงไป
แน่นอนว่าเขาควรจะถามผู้หญิงคนนั้นไปตรงๆ อย่างหาข้ออ้างว่าเขาไม่รู้จะสะกดชื่อเธออย่างไร แต่มันดูหยาบคายไปนิดหน่อยสำหรับเขา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นสีหน้าท่าทางของหญิงสาว นั้นทำให้เขารู้ว่าเขาเดาถูกต้องแล้ว
อามิโกะดูน่ารักทุกครั้งที่เธอยิ้มนั้นเผยให้เห็นเขี้ยวทั้งสองข้างของเธอ “จางซัง ชิบูย่าน่ะเป็นแหล่งรวมแฟชั่น! มีร้านค้าและสถานที่น่าสนใจอยู่ที่นี่เยอะแยะเลย! แต่บางครั้งก็มีพวกโจรแล้วก็นักต้มตุ๋นอยู่ที่นี่ด้วย เพราะงั้นนายควรอยู่ใกล้ๆฉันเอาไว้นะ!”
…
จางเฮงไม่มีอะไรจะแย้งในเรื่องนั้น อามิโกะได้ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นจากการเป็นไกด์นำเที่ยวและคอยแนะนำเมืองโตเกียวขณะที่พวกเขาเดินเรื่อยๆไปตามท้องถนน ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่คุยกันเป็นภาษาจีนกลางและเธอก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญเสียด้วย เธอเรียนเอกภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยและวางแผนที่จะสมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปที่ประเทศจีนในปีหน้าเพื่อศึกษาต่อ
แต่ความเข้าใจในประเทศจีนของเธอมาจากสิ่งที่เธอเห็นในทีวีและจากที่อาจารย์สอนเท่านั้น ดังนั้นเพื่อที่จะศึกษาให้มีความรู้ลึกยิ่งขึ้น เธอจึงมีจุดประสงค์ในการเป็นเพื่อนกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้
“อา จริงๆแล้วบ้านของฉันอยู่ที่ชินางาวะ ฉันเรียนที่โตเกียวมาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม ฉันไม่เคยจากบ้านมาก่อน ถ้าจะให้พูดถึงการไปอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากบ้านนั่นทำให้ฉันทั้งตื่นเต้นแต่ก็แอบกลัวไปพร้อมกัน!” อามิโกะลูบจมูกเธออย่างอายๆ “พ่อแม่ของฉันที่บ้านต้องคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ เพราะงั้นต่อไปฉันต้องดูแลตัวเองให้ได้! ฉันจึงต้องใช้โอกาสนี้เป็นการฝึกดูแลตัวเองไปด้วยในตัว! เอ่อ…ฉันพูดอะไรไปไร้สาระมากเลยใช่ไหม?”
“ไม่หรอก นั่นเยี่ยมมาก!”
ครั้งนี้ชื่อภารกิจคือ ‘โตเกียวดริฟท์‘ ดูจากชื่อแล้ว จางเฮงบอกได้เลยว่าจุดประสงค์หลักของเกมนี้คือการทดสอบสกิลการขับรถของผู้เล่น – และยังยืนได้จากเป้าหมายภารกิจ
แม้ว่าดูเหมือนว่าอัตราการไหลของเวลาจะลดลงเมื่อเทียบกับเกมก่อนหน้านี้ ซึ่งกินเวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ภารกิจในครั้งนี้ใช้เวลานานขึ้นเป็น 2 เท่าถึงจะสำเร็จ หรือจะพูดให้ถูกคือ 60 วัน
มันอาจฟังดูเหมือนใจกว้างที่ได้เวลามาเยอะ และแม้แต่สำหรับผู้เล่นที่เป็นนักแข่งรถหรือขับรถแข่งจูนเนอร์อย่างฮาร์ดคอร์ ก็คงเป็นไปได้ที่จะชนะการแข่งรถใต้ดิน กระนั้นคนที่น่าจะทำมันได้ง่ายที่สุดใช้เวลาได้ 60 วัน มันคงเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนทั่วไป
และยิ่งกว่านั้นปัญหาที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญในรูปแบบของเกมแบบนี้ คงไม่ได้แก้ง่ายๆด้วยการพัฒนาสกิลในการขับขี่เพียงอย่างเดียว
ตอนนี้ในกระเป๋าตังของจางเฮงมีอยู่แค่ 30,000 เยนเท่านั้น แล้วจะมองยังไงดีเนี่ย? งั้น อย่างไอศกรีมที่อามิโกะซื้อมาเป็นเป็นตัวอย่างเช่น ไอศกรีมราคาอันละ 300 เยน และจากใบปลิวที่ได้มาตอนเดินผ่านหน้าร้านราเมน จางเฮงพบว่าราเมนเพียงชามเดียวมีราคาอยู่ระหว่าง 800 ถึง 1,200 เยน
แน่นอนว่าอาหารในมหาวิทยาลัยคงจะมีราคาที่รับได้กว่านี้เล็กน้อย หรือหากจำเป็นเขาคงต้องพิจารณาที่จะทำอาหารด้วยตัวเอง อย่างน้อยเขาอาจจะอยู่เพียง 60 วันแต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเฉยๆ
แต่ตอนนี้เขาจะต้องขับรถให้เป็นก่อน แล้วก็หาสถานที่แข่งรถ จากนั้นก็คิดหาวิธีพัฒนาสกิลการขับรถของเขาและลงสมัครเข้าแข่งขัน และในการที่จะทำอย่างนั้นได้เขาจะต้องมีทักษะการสื่อสารขั้นพื้นฐานให้ได้ก่อน
ถ้ามีเป็นผู้เล่นคนอื่นมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงจะไม่ฟังอามิโกะอธิบายถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตส่วนตัวของเธอและรีบเข้าประเด็นหลัก
แต่จางเฮงไม่ใช่แบบนั้น – เขามีความอดทนเพียงพอ นอกเหนือจากตัวละครที่ยอดเยี่ยมของเขาเอง เขายังรู้ว่าทุกสิ่งต่างเกิดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล
ความเป็นมนุษย์นั้นมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเพราะพวกเขาสะท้อนตัวตนของตัวเองและวินิจฉัยอยู่ตลอด – และนี่เป็นแหละคือจุดแข็งของจางเฮง
เกมแรกไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้คะแนนมากว่า 20 คะแนนหรือของเท่านั้น – แต่จางเฮงได้วิเคราะห์จากประสบการณ์ของเขามาหลายครั้งหลายคราและได้ข้อสรุปที่สำคัญมากคือ – ไม่ว่าผู้สร้างเกมจะเป็นใคร ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาสนับสนุนให้ผู้เล่นได้สำรวจในโลกที่พวกเขาอยู่ ณ ตอนนั้น
ตีนกระต่ายนำโชคเป็นเครื่องยืนยันได้ดีเลยแหละ ว่าของดีๆไม่ได้ปรากฏอยู่ในภารกิจหลัก ถ้าจุดประสงค์เดียวของเขาคือการเอาชีวิตรอดนั้นก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องเดินทางไปยังใจกลางเกาะ แต่คือภารกิจรองนี้ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่เขาทำเพื่อพัฒนาตัวเองและคุณภาพชีวิตนั้นได้กลับมาเป็นคะแนนพิเศษและรางวัล
ไม่ต้องหมายความว่าผู้เล่นคนอื่นไม่รู้เรื่องสิ่งนี้ แต่การต้องคิดหาวิธีที่จะทำภารกิจให้สำเร็จภายใต้ความกดดันของเดดไลน์ พวกเขาคงไม่มีใครมีอารมณ์เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแสนเย้ายยวนใจที่อยู่รอบๆตัวของพวกเขาหรอก
แต่อย่างไรก็ตามจางเฮงไม่มีปัญหาอะไรเรื่องนั้นที่นี่เพราะเขามีเวลาอยู่เสมอ
สำหรับเกมนี้เขามีเวลา 420 วัน – มากกว่าปกติถึง 7 เท่า นอกจากนั้นเขายังได้พัฒนาความชอบส่วนตัวในโลกทั้งหลายรูปแบบที่เกมนำเสนอ ในระหว่างรอบแรกของเขาบนเกาะทุกอย่างดูเหมือนจริงมากสำหรับเขา ถ้าเวลาไม่หยุดจนเกิดบัคขึ้นมาที่เป็นสาเหตุให้เกิดลูป ก็คงไม่มีทางที่เขาจะเจอข้อบกพร่อง
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ที่มีประชากรกว่า 37 ล้านคนนั่น ก็ไม่ได้อะไรเลย
ทุกคนที่นี่ดูเหมือนจะตื่นตัวอยู่ตลอดและตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกอย่างเป็นธรรมชาติ หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผ่านการเขียนโปรแกรม นั้นคงจะต้องใช้การคิดคำนวณอย่างหนักมากจนน่ากลัวเลยแหละ! และในความเป็นจริงคงไม่สามารถใส่โค้ดได้มากพอเพื่อที่จะบรรลุจนถึงความซับซ้อนในระดับนี้ได้ นี้ไม่ใช่แค่เกมแต่เป็นงานศิลปะที่ไร้ที่ติ!
แต่น่าเสียดายที่ผู้เล่นแค่รีบมาพักแรมชั่วคราวอยู่ในโลกนี้ โดยไม่มีเวลาที่จะหยุดและชื่นชมกับบรรยากาศ จางเฮงคงเป็นข้อยกเว้นเพียงคนเดียว
อามิโกะกล่าวออกมาว่า “นี่ฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่า? ฉันควรจะแนะนำเมืองโตเกียว แต่ฉันก็ดันเริ่มพูดถึงเรื่องตัวเอง นายต้องเบื่อแล้วแน่ๆ! เดี๋ยวฉันซื้อไทยากิให้นายเป็นการขอโทษเอาไหม?”
“…ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังหาข้ออ้างที่จะกินมันนะ”
“ฮิฮิ!” อามิโกะตาเป็นประกายในแบบของเธอ หลังจากที่เปิดเผยความรักที่มีต่ออาหาร
“แต่ครั้งนี้ให้ฉันจ่ายนะ! เธอให้ไอศครีมมาแล้ว ฉันควรจะขอบคุณบ้าง – ถ้าเธอไม่ได้อาสามาเป็นไกด์ให้ฉัน ฉันเกรงว่าฉันคงจะอยู่แต่ในมหาวิทยาลัยแน่เลย!” จางเฮงหยิบกระเป๋าตังออกมา เขาคงไม่ฉวยโอกาสจากความใจดีของผู้หญิงคนนี้ได้อีกต่อไป
เขาซื้อไทยากิ 4 ตัวจากแผงขายริมถนน นี่เป็นขนมที่แพร่หลายมากในญี่ปุ่นและไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย แม้ว่าชื่อไทยากิแต่จริงๆแล้วหมายถึง ‘ปลาจานย่าง’ จริงๆแล้วมันเป็นเค้กที่สอดไส้ด้วยถั่วแดง จางเฮงจ่ายไปในราคาเพียง 640 เยนสำหรับทั้งหมด 4 ชิ้น
“จางซัง…นายเนี่ยเป็นคนดีจริงๆเลยนะ” อาเมโกะพูดพึมพำในขณะที่เธอกินไทยากิร้อนๆ “เราอยู่ไม่ไกลจากสวนโยโยงิแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ดึกแล้ว ไม่งั้นฉันคงพานายไปเดินเล่นที่นั่นได้”
***
ซัง (さん, san) ใช้ลงท้ายสำหรับชื่อบุคคลเปรียบเหมือนคำว่า “คุณ” ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง