48 Hours a Day - ตอนที่ 27 แคมป์ปิ้ง
ตอนที่ 27 แคมป์ปิ้ง
ตอน 5 โมงเย็นรถมินิบัสก็มาถึงที่จุดหมายปลายทาง
ทุกคนขนข้าวของออกจากท้ายรถและบอกลาคนขับรถอย่างร่าเริง
เมื่อเด็กในเมืองเหล่านี้เห็นเชิงเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีที่อยู่ใกล้ๆ รื่นรมย์ด้วยท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาว พวกเขาก็ได้รับสุนทรียะ
สวี่จิ้งตื่นเต้นเป็นพิเศษ “ว้าว! ที่นี่ไม่เลวเลย เราควรมาที่นี่ทุกเสาร์อาทิตย์เลยนะ”
เสียวเสี่ยวกล่าวตอบว่า “เงินของครอบครัวเธอหล่นลงมาจากฟ้าเหรอ? 300 หยวน! ฉันไม่มีเงินมาที่นี่ได้ทุกสัปดาห์หรอก!”
“ช่างเหอะน่า! ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว เราต้องหาที่ตั้งเต็นท์และทำอาหารนะ” เสิ่นซีซีดุ
สวี่จิ้งหัวเราะคิกคัก “แต่ฉันไม่รู้วิธีทำอาหารนะ ฉันรับผิดชอบเรื่องการกินเท่านั้น”
“ได้ เอาความน่ารักของเธอมาแลกเป็นอาหารก็แล้วกัน!”
ทั้งกลุ่มยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน; บรรยากาศอบอุ่นและร่าเริง พวกผู้หญิงเป็นคนเลือกสถานที่ตั้งแคมป์ – ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความคิดเสียวเสี่ยว – หาตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมและมีคนน้อย
ลุงของเธอเป็นนักท่องเที่ยวแบบสะพายเป้ที่ชอบเดินทางด้วยการเดินเท้าและคุ้นเคยกับภูเขาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักใกล้ๆ หญิงสาวคนนั้นรบเร้าให้ลุงของเธอเขียนรายชื่อสถานที่ซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จักที่มีทิวทัศน์อันน่าทึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นนักท่องเที่ยวก็มีน้อยและอยู่ห่างไกลกัน; ไม่มีเสียงดังและความวุ่นวาย
น่าเสียดายที่ต้องบอกว่านอกจากเสียวเสี่ยวที่เคยไปตั้งแคมป์กับลุงของเธอแค่ครั้งหรือสองครั้งเมื่อเธอยังเด็ก คนอื่นๆก็ไม่เคยมีใครมีประสบการณ์การตั้งแคมป์ใดๆเลย และที่แย่ไปกว่านั้นด้วยความเป็นเด็กในวัยนั้นเสียวเสี่ยวไม่ได้ทำอะไรนอกจากเล่น; ลุงของเธอเป็นคนจัดการก่อสร้างกองไฟและทำอาหารทุกอย่าง
เป็นผลให้แม้แต่การเลือกสถานที่ในการตั้งเต็นท์ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย
ทุกคนดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย – คนหนึ่งบอกว่ามันควรจะอยู่บนยอดเขา อีกคนหนึ่งว่าควรอยู่ที่ไหนสักแห่งที่บังลมได้ จากนั้นบางคนก็เสริมว่าพวกเขาต้องระวังก้อนหินที่ตกลงมา
ในท้ายที่สุดจางเฮงไม่สามารถยืนดูการสนทนาที่ไม่มีจุดจบนี้ได้ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “เอ่อ … แถวนี้ปลอดภัยนะ ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้วดังนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวว่าจะขาดความอบอุ่น เราจะเลือกที่ตั้งแคมป์ตรงไหนก็ได้แหละ”
อย่างที่คิดไว้ ไม่มีใครสนใจที่เขาพูดเลย
…
ด้วยความตื่นเต้นกับพื้นที่เปิดโล่งแบบนี้ พวกเขาจึงไม่เชื่อสิ่งที่จางเฮงบอก
พระอาทิตย์เกือบจะตกดินแล้วและหลังจากการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและถ้วนถี่ สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินตั้งแคมป์บนพื้นที่เปิดโล่งที่เชิงเขา
ไม่ต้องพูดอะไรมากจุดที่พวกเขาเลือกนั้นค่อนข้างดีเลย – มันมีมุมมองที่กว้างขวางและนอกเหนือจากการอยู่ห่างจากน้ำไปหน่อยก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นๆอีกแล้ว
แต่ตอนนี้ปัญหาคือท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วและพวกเขาก็ยังไม่ได้เริ่มกางเต็นท์เลย
งานแบบนี้จะต้องไม่ทำให้ขายหน้าพัง แต่สำหรับมือใหม่แล้วการกางเต็นท์นั้นช่างใช้เทคนิคและมีความท้าทายทางอย่างมาก: การใส่เสาเต็นท์เข้าไปที่มุม, การร้อยเชือก, ปักหมุดลงไปบนพื้นแล้วนำเชือกมายึดเพื่อทำให้เต็นท์มั่นคงและอยู่ตัว
หากไม่มีประสบการณ์ใดๆ สำหรับมือใหม่แล้วนี้คงใช้เวลานานแน่ๆในการเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนแรก
โชคดีที่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับจางเฮง เพราะเขาเคยสร้างบ้านด้วยมือเปล่ามาก่อน เขาเกือบกางเต็นท์ทั้ง 3 หลังขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว จนกระทั่งอันสุดท้ายเขาก็ทำไปตามขั้นตอนต่างๆอย่างที่เคยทำมา
สวี่จิ้งปรบมือ “เยี่ยมมาก จางเฮง! ครั้งหน้าถ้าฉันบังเอิญติดเกาะร้างแล้วเลือกว่าจะให้ใครสักคนมากับฉันได้ ฉันจะเลือกนาย!”
“เธอนี่แย่จัง! แม้แต่บนเกาะร้างเธอก็จะหาคนไปรับเคราะห์ด้วยอีกเหรอ!” เฉินหวงตงเดาะลิ้น
“ฉันเคยเห็นรายการการเอาชีวิตรอดในป่ามาบ้างนะ! มันคงไม่มีประโยชน์หรอกต่อให้เราจะได้ไปเกาะร้างกันทั้งกลุ่มก็ตามเหอะ” เหว่ยเจียงเหยียนส่ายหัว
จางเฮงยิ้มและไม่พูดอะไร
คงไม่มีใครเอาเรื่องที่คุยกันอย่างไร้สาระแบบนี้มาใส่ใจ
และตอนนั้นเองความคิดก็ผุดขึ้นในหัวของสวี่จิ้ง “ตอนนี้ก็มืดแล้ว มาจัดปาร์ตี้รอบกองไฟกันเถอะ!”
เหมือนผู้หญิงคนนี้ไม่เคยกังวลอะไรในชีวิตเธอเลยนะ
“ปาร์ตี้รอบกองไฟ ตลกละ มากินก่อน ฉันหิวจะตายแล้ว” เสียวเสี่ยวบ่น
มีเพียงเสิ่นซีซีเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือจางเฮงตอนที่เขากางเต็นท์ ในขณะที่คนอื่นๆนั้นไม่เข้าใจกลไกการกางเต็นท์ พวกเขาจึงเริ่มที่จะเตรียมอาหารเย็นในอีกด้านหนึ่งแทน
ในโลกที่ศิวิไลซ์นั้นไม่จำเป็นต้องจุดไฟด้วยกิ่งไม้และคอยปั่นมันจนกว่าไฟจะติด ไม่แม้แต่ในป่าแบบนี้ ใช้แค่เตาแบบพกพาสำหรับใช้กลางแจ้งเท่านั้นเอง พร้อมใช้งานทันทีที่เสียบกระป๋องแก๊ส; เป็นทางเลือกที่สะดวกสบายมาก
จริงๆแล้วจางเฮงก็ดีใจที่ได้เห็นสิ่งนั้น เขามาที่นี่ก็เพื่อจะมาสนุกไม่ได้จะมาแสดงฝีมือของเขา ทักษะการเอาชีวิตรอดใดๆที่เขามีก็เพื่อใช้เพื่อปกป้องชีวิตในยามฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าเพียงเขามีไฟแช็กบนเกาะนั่นเขาก็คงจะไม่ต้องถูมือของเขาจนหนังถลอกเพื่อให้จุดไฟติดหรอก
อาหารค่ำในคืนนั้นเป็นชาบู – เมนูกลางแจ้งที่สะดวกที่สุดสำหรับนักศึกษาที่ชอบส่งเสียงดังและมีฮอร์โมนพลุ่งพล่าน อย่างแรกใส่ส่วนผสมพื้นฐานก่อน จากนั้นก็โยนผักลงไปและตามด้วยเนื้อสัตว์ทั้งหมด นั่นแหละ เสร็จแล้ว
เมื่อจางเฮงกางเต็นท์เสร็จแล้วทั้งกลุ่มก็นั่งรอบหม้อไฟเป็นวงกลมโดยมีชามพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอยู่ในมือ นั่งเฝ้าและรอให้มีฟองเดือดปุดขึ้นมา
สำหรับหลายคน นี่คงเป็นความรู้สึกที่สดชื่น
ในฤดูร้อนซึ่งอุณหภูมิของภูเขากำลังพอเหมาะ; ไม่ร้อนเกินไปและไม่หนาวเกินไป มันรู้สึกสบายกว่าในหอพักที่อับชื้นและไม่มีเครื่องปรับอากาศ สิ่งเดียวที่ดูเหมือนนำพาเอาความสบายใจนี้ออกไปก็คือเจ้ายุงตัวดูดเลือดดั่งแวมไพร์นี่เอง
จางเฮงและเสิ่นซีซีหยิบยากันยุงออกมาจากถุงเกือบจะพร้อมกัน เมื่อเห็นอย่างนั้นพวกเขาจึงยิ้มให้กัน
“ทำไมเนื้อยังไม่สุกสักทีนะ?” สวี่จิ้งบ่นพึมพำอย่างน่าสงสาร เมื่อไม่นานมานี้เธอยังอบากจัดปาร์ตี้กองไฟอยู่เลยส่วนตอนนี้เธอเป็นห่วงเนื้อในหม้อมากกว่าใครเสียอีก
เฉินหวงตงผู้ซุกซนกำลังจะพูดแหย่เธอ ทันใดนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังออกมาจากป่าข้างๆ
เสียงนั่นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้สวี่จิ้งตื่นตระหนกไปอย่างมาก “พระเจ้า!!! มีสัตว์ป่าอยู่ในภูเขาไหม?!”
“ไม่หรอก ไม่มีเลย” เสียวเสี่ยวที่ตกใจกล่าว แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวและมันอยู่ใกล้กับเมือง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมักมีช่างถ่ายภาพจำนวนมากกระตือรือร้นที่จะมาที่นี่ พวกเขายังเห็นแคมป์อื่นๆที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขาผ่านมา หากมีสัตว์ป่าอยู่ที่นี่มันคงไม่สมเหตุสมผลเลยที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
ทันทีที่เธอพูดจบ ก็มีอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากป่า
กลับกลายเป็นว่านั่นไม่ใช่สัตว์ร้ายหากแต่เป็นมนุษย์ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รูปลักษณ์ภายนอกของผู้บุกรุกทำให้พวกเขาอยู่ไม่สุข
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยสักเต็มไปบนแขนของเขา ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มที่ดูเลวร้ายมาที่กลุ่มและพูดว่า “โอ้ ฉันว่าฉันได้กลิ่นหอมบางอย่างที่มาจากที่ไหนสักที่ ปรากฎว่ามีของอร่อยอยู่ที่นี่จริงด้วย! กินด้วยสิ! บังเอิ๊ญบังเอิญว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรมาเลยน่ะ”
เมื่อผู้บุกรุกพูดเสร็จจางเฮงก็ลุกขึ้นแล้วหันกลับไปและเข้าไปในเต็นท์ของเขา
เด็กหนุ่มยิ้มให้ “ก็ได้ ดีเลย ฉลาดดีนี่ ตอนนี้ฉันมีที่นั่งแล้ว เดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเองแล้วกัน”
ทุกคนเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีเจตนาไม่ดีเหว่ยเจียงเหยียนและเฉินหวงตงมองหน้ากัน ตอนนี้คงเป็นเวลาที่เหมาะแล้วที่จะทำแต้มต่อหน้าสาวๆ
เหว่ยเจียงเหยียนพูดขึ้นมาก่อนว่า “เพื่อน เราไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารกับคนแปลกหน้านะ”
“ไม่มีปัญหาเลย ฉันแนะนำตัวเองก่อนก็ได้ เราทุกคนเป็นเพื่อนกันได้ คุยกันนิดหน่อยแล้วเราก็จะได้รู้จักกันแล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบมีดพับออกมา
ใบหน้าของเหว่ยเจียงเหยียนและเฉินหวงตงซีดลงและสวี่จิ้งทำหน้าเหมือนกับว่าเธอเห็นผี พวกเขาทั้งหมดเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัย พวกเขาไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน การสู้กันในมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แม้ว่าจะมีการชกต่อยกันแต่ก็ไม่มีใครเคยใช้มีดมาก่อน
หัวใจของทุกคนไปอยู่ที่ตาตุ่มหลังการประกาศกร้าวของชายหนุ่มในครั้งต่อไปว่า “ฉันมีเพื่อนอีก 3 คนที่ไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน เดี๋ยวพวกนั้นก็จะมาที่นี่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเรามีที่ไม่พอนะ” เขามองไปรอบๆแล้วชี้ไปที่เหว่ยเจียงเหยียน, เฉินหวงตงและหวังฮวน “ทำไมพวกเธอทั้ง 3 คนไม่ลุกออกไปแล้วยกที่นั่งนี้ให้เพื่อนฉันละ ฮะ?”