48 Hours a Day - ตอนที่ 17 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง XI
ตอนที่ 17 เอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง XI
จางเฮงตื่นมาเห็นเบลล์เผางูตัวที่เกือบจะเขมือบเขาเมื่อคืนนี้
“จาง ตื่นมาทันเวลาอาหารเช้าพอดีเลย” นักสำรวจเขี่ยกองไฟด้วยกิ่งไม้เพื่อควบคุมปริมาณไฟ แล้วชี้ไปยังสิ่งที่อยู่ถัดจากเขาที่เลือดกำลังหยด “นั้นหนังงู ฉันเพิ่งถลกมันออก หลังจากที่ล้างทำความสะอาดแล้วเราสามารถใช้มันเป็นที่เก็บน้ำได้นะ เพราะมันมีความทนทานมากกว่าถังเสียอีก; หรือจะใช้มันเพื่อทำเสื้อผ้าก็ได้ เพราะมันจะทำให้เราเย็นขึ้น – มีประโยชน์มากในสภาพอากาศร้อน”
“ขอบคุณเรื่องเมื่อคืนนะ” จางเฮงลุกขึ้นนั่งลงบนพื้น รอบแดงรอบแขนยังเห็นได้ชัดอยู่
“โอ้ ไม่เป็นไรเลย นายช่วยฉันไว้จากทะเล ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดจากป่าแบบนี้เราก็ต้องช่วยกันใช่ไหม?” เบลล์พูดขณะที่ส่งงูเสียบไม้ย่างมาให้จางเฮง
เขากำลังจะปฏิเสธแต่ก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา – นี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตของเขาที่จะได้กินงูหลามแล้วไม่ถูกโยนเข้าคุก เพราะอย่างนั้นเขาเลยรับมา
เขากัดอย่างไม่มั่นใจและพบว่าจริงๆแล้วมันก็อร่อยดี มันไม่ได้มีกลิ่นแรงและรสชาติออกไปทางคล้ายๆไก่เพียงแต่เหนียวกว่า
เมื่อเขาคิดว่าสัตว์ตัวนี้เกือบเอาชีวิตของเขาไปเมื่อคืน จางเฮงจึงกัดเข้าไปอีกคำ
…
หลังมื้อเช้าทั้งสองก็ออกเดินทางอีกครั้ง
เบลล์ยังคงเป็นมัคคุเทศก์ที่เต็มไปด้วยความสามารถ เขาเคลียร์ทางด้านหน้าด้วยมีดและอธิบายสิ่งมีชีวิตต่างๆที่เจอกับจางเฮงฟังไปพร้อมกัน
“งูหลามที่เราเจอเมื่อคืนไม่ใช่นักล่าเพียงอย่างเดียวในป่านี้ เมื่องูหลามกินพวกมันมักจะกลืนหัวของเหยื่อก่อน และจากที่มันสายตาไม่ดีบางครั้งพวกมันก็กินเหยื่อที่ใหญ่กว่าท้องตัวเองแล้วระเบิดออก แต่งูมีการย่อยอาหารที่ดีมากพวกมันสามารถย่อยกระดูกและเนื้อทั้งหมดพร้อมกันได้โดยไม่มีปัญหา กระดูกสัตว์บางชิ้นที่เราเห็นว่ายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ใช่เหยื่อของงูหลามเลย”
จางเฮงจดเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ลงไปเงียบๆ ถึงหลายสิ่งจะดูเหมือนไม่ค่อยได้ใช้แต่ไม่มีทางรู้หรอกว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่จำเป็นจะต้องใช้มัน
ตัวอย่างเช่น เอ็ดและเด็กหนุ่มในกางเกงขาสั้นไม่เคยสอนเขาถึงวิธีเอาเกลือออกจากน้ำทะเล; มันเป็นสิ่งที่เขาเห็นจากคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์ที่มีคอมเม้นต์วิ่งผ่าน การใช้ความร้อนจะทำให้เกิดการตกผลึกและทำแบบนั้นซ้ำๆ ก็จะได้รับเกลือปรุงอาหารที่ค่อนข้างบริสุทธิ์และทำให้อาหารน่ารับประทานมากขึ้น
ตอนที่จางเฮงเรียนประถมเขาเคยไปที่สิบสองปันนากับปู่ของเขา เขาประทับใจอุทยานแห่งชาติที่นั่นอย่างมาก
แต่สถานที่นั้นได้รับการดูแลจากมนุษย์ และมีเพียงพื้นที่ส่วนเล็กๆเท่านั้นที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมเหตุเพราะเรื่องของความปลอดภัย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่จางเฮงอยู่ได้อยู่ในป่าที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ อย่างที่เบลล์เคยกล่าวไว้ว่าที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และนั่นทำให้จางเฮงได้เปิดหูเปิดตาของจริง
ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างทางเขาเห็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเล็กๆ ที่มีหน้าท้องกึ่งโปร่งแสงทำให้จางเฮงมองเห็นหัวใจตับและระบบย่อยอาหาร สิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่าคือร่างกายกบนั้นมีความยาวเพียง 1-2 มิลลิลิตร
“กบแก้วมักอาศัยอยู่ในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ จนถึงปัจจุบันมีจำแนกกบแก้วได้จำนวน 134 ชนิด ในบรรดานั้นมี 60 ชนิดที่กำลังจะสูญพันธุ์” นักสำรวจกล่าวขณะที่เขาวางสิ่งมีชีวิตเล็กๆลงบนใบไม้อย่างระมัดระวัง
“แล้วอันนี้ล่ะ?” จางเฮงชี้ไปที่ตุ่มก้อนที่โตบนต้นไทรเหมือนเนื้องอก มีหน่อใหม่งอกออกมาจากมัน
“โอ้ นั่นเฟิร์นชายผ้าสีดาเป็นพืชอิงอาศัย ต้นอ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อโตเต็มที่แล้ว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้ พบได้ทั่วไปในป่าฝนเขตร้อน”
และจางเฮงยังเห็น: บ่าง สัตว์ชนิดนี้ไม่ใช่แมวหรือลิงที่มีปีกเหมือนค้างคาวที่อยู่รอบคอ แขน ขาและหางของมัน การที่มันขยายพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ทำให้มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมร่อนอยู่กลางอากาศ สิ่งนี้ดูค่อนข้างขี้เล่น; แมงมุม Bagheera kiplingi เป็นแมงมุมสายพันธุ์ที่เคลื่อนที่ด้วยการกระโดดและแมงมุมเพียงชนิดเดียวที่กินพืชเป็นอาหาร – พวกมันกินถั่วและปลายใบไม้ และเพราะชื่อที่ออกเสียงยากเกินไปทำให้แม้แต่จางเฮงถามเบลล์ซ้ำถึง 3 ครั้งเขาก็ยังคงเรียกไม่ถูก; นกปักษาสวรรค์มีเสียงร้องเหมือนเสียงปืน ตอนที่จางเฮงได้ยินครั้งแรกเขาตกใจมากจนหัวใจเกือบวาย แต่นกนั้นสวยงามมากยิ่งตอนที่ขนของมันเปลี่ยนสีไป …
แม้แต่เบลล์ก็อดไม่ได้ที่จะอุทาน “สถานที่นี้เป็นสวรรค์ทางชีวภาพ! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นพืชและสัตว์ในป่าเขตร้อนมากมายขนาดนี้จากต่างที่มาอยู่รวมกันในที่เดียว! ไม่น่าเชื่อ! นักชีววิทยาคงจะรักที่ผืนนี้แน่”
จางเฮงรู้สึกถึงบางสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาก้มลงหยิบขึ้นมาและเห็นว่ามันเป็นฟันของสัตว์บางตัวที่มีรูกลมอยู่ด้านล่าง
“นี้ดูเหมือนมีคนทำขึ้นมาเลย เพราะรูที่เป็นรูปแบบนี้มันไม่ใช่รูตามธรรมชาติ” เบลล์นำฟันจากเพื่อนของเขาและตรวจสอบมัน “ฉันรู้มาว่าคนพื้นถิ่นบางคนจะสวมฟันสัตว์ที่ล่าได้ไว้รอบคอเพื่ออวดความแข็งแกร่ง ยิ่งเกมของพวกเขาทรงพลังมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งอยากแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้เวลาเลือกคู่ครองมันจะง่ายขึ้นสำหรับพวกเขาที่จะได้เลือกคู่ที่ต้องการ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไปล่าสิงโตตามลำพังเพื่อที่เขาจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในเผ่า จากนั้นเขาไม่เคยกลับมาอีเลย”
นั้นก็สมเหตุสมผลสำหรับกลุ่มชาวเผ่าเล็กๆแบบนี้ จางเฮงไม่ขอออกความเห็นเรื่องนี้ แล้วเขาถามคำถามที่เขาเป็นห่วงมากกว่า “ยังมีชาวพื้นเมืองอยู่บนเกาะนี้ไหม? แล้วพวกเขาจะเป็นพวกมนุษย์กินคนหรือเปล่า?”
เบลล์ส่ายหัว “มีโอกาสน้อยนะเพราะเกาะนี้ไม่ใหญ่มากแล้วนายบอกว่านายอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 1 ปีแล้ว ถ้ามีคนอื่นอยู่บนเกาะนี้นายก็คงเจอพวกเขาไปแล้ว… แถมพวกนี้ยังดูค่อนข้างเก่าอีกด้วย”
“นายกำลังบอกจะว่ามีคนพื้นถิ่นอยู่ที่นี่เหรอ?” จางเฮงเริ่มมีเหงื่อหยดลงมาที่หลัง หากชาวพื้นเมืองเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่พวกนั้นคงจับตัวเขาและเอ็ดไปเป็นซุปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงบนเกาะ
“อืมม ไปต่อกันเถอะ” เบลล์สนใจใคร่รู้ ในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ของอารยธรรมที่สาปสูญนั้นช่างดึงดูดความเป็นนักสำรวจในตัวเขา จนเขาเกือบลืมไปว่าพวกเขามาเพื่อค้นหาวิธีที่จะออกจากเกาะ
ทั้งสองยังคงเดินตรงไปยังใจกลางของเกาะ
ตอนนี้พวกเขาเกือบจะถึงครึ่งทางของการเดินทางแล้ว และยิ่งเข้าไปลึกเรื่อยๆก็ยิ่งพบหลักฐานของอารยธรรมมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
เบลล์มองดูกระท่อมเล็กๆที่สึกกร่อนอย่างสมบูรณ์ และเครื่องใช้และอุปกรณ์ที่ทำจากหินก็ปกคลุมไปด้วยมอส บ่งบอกว่าผ่านมาเป็นเวลานานมากแล้ว เคยมีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ที่นี่ในป่าของเกาะนี้
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? ทำไมพวกเขาถึงหายไปหมด? การสำรวจนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆนาที