-แล้วที่ว่าสถานการณ์ดีขึ้นนั่นเรื่องอะไรอีกล่ะ มันคาใจฉันมากเลยนะ ที่เธอบอกว่ารอสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแล้วจะแนะนำคนที่เธอรักให้ฉันรู้จักน่ะ หรือว่าเธอ…
ฉันเลยพูดเกลี้ยกล่อมขัดคำพูดดาฮยอนที่ทำท่าทางเหมือนจับอะไรบางอย่างได้
“อีกไม่นานหรอก ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป มันก็ไม่มีอะไรดีต่อฉัน แล้วก็ต่อเขาด้วยนี่ ก็ต้องตามหาเส้นทางชีวิตของใครของมันสิ”
-ครอบครัวของเธอล่ะ แล้วคุณพ่อของเธอล่ะ จะทำยังไง เธอเคยบอกว่าถ้าช่วยพ่อได้ ถึงจะแค่นิดเดียวก็จะทำไม่ใช่เหรอ ขอแค่ให้ท่านมองเห็นเธอสักนิดก็ยังดีนี่นา
“ก็แค่…ที่ผ่านมาเหมือนฉันจะกระวนกระวายแล้วอ้อนวอนท่านอยู่ฝ่ายเดียวมากเกินไปน่ะ ตอนนี้ก็เลยตั้งใจจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้างแล้ว”
-ยัยหนู เธอน่าจะคิดแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วสิ แล้วนี่มันอะไร อันนี้ก็ไม่ใช่ อันนั้นก็ไม่เชิง สุดท้ายก็กลายเป็นจุดด่างพร้อยไร้ประโยชน์ในชีวิตของเธอเท่านั้น น่าเจ็บใจจริงๆ เลย
***
ถึงแม้จะเห็นด้วยกับคำพูดของฉัน แต่ก็คงจะเสียใจที่ฉันมีความลับที่ไม่ยอมบอกให้ฟัง ดาฮยอนเลยยังบ่นพึมพำอยู่พักหนึ่งหลังจากนั้น
ฉันพูดเกลี้ยกล่อมเพื่อนตัวเองอยู่ซ้ำๆ จนสุดท้ายก็ต้องแฝงท่าทีลำบากใจลงไปในน้ำเสียงด้วย ดาฮยอนถึงยอมหยุดซักไซ้ฉันแล้ววางสายไป
พอก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสายไปแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ เพราะฉันคิดว่าถ้าพูดความจริงทั้งหมดออกมา พายุจะต้องกระหน่ำขึ้นอีกรอบแน่
ทว่าพอพายุลูกนั้นสงบลง ดาฮยอนก็จะกลายเป็นคุณน้าที่ดีต่อลูกฉันมากกว่าใครแน่นอน
แต่ก็ยิ้มบางๆ ได้เพียงครู่เดียวก่อนจะรู้สึกหดหู่ลง หลังจากเห็นวันที่ที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ความคิดสัพเพเหระก็แวบขึ้นมา
วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของแม่ ซึ่งหลังจากแม่เสียไปก็ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากบ้านนั้นเลยสักครั้ง
ขณะที่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ยกเรื่องแม่ขึ้นมาพูด ท่านก็จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวน่ากลัวจนไม่สามารถจัดเตรียมอะไรเกี่ยวกับวันครบรอบได้เลย หลังจากนั้นพอพ่อแต่งงานใหม่แล้วมีแม่เลี้ยงเข้ามา การจัดเตรียมงานวันครบรอบของแม่ที่เป็นภรรยาคนก่อนจึงไม่สามารถทำได้ไปโดยปริยาย
ยิ่งกว่านั้นหลังจากคุณปู่เสีย พ่อก็สืบทอดตำแหน่งประธานและรับผิดชอบดูแลภาพรวมของบริษัท ดังนั้นพ่อจึงแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย
แน่นอนว่ามันเป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อแม่ แต่ฉันก็พอจะเข้าใจเหตุผลว่ายังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับวันครบรอบของแม่เลย
แต่หลังจากคุ้นเคยกับการใช้รถโดยสารสาธารณะคนเดียวและสามารถไปไหนมาไหนไกลๆ ได้ ฉันก็มักจะแวะไปที่โรงเก็บกระดูกอยู่บ่อยๆ
พี่ฮวานก็คงจะเป็นห่วงเหมือนกันที่คราวนี้ฉันก็จะไปหาแม่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว เขาจึงแนะนำฉันเบาๆ ว่าไม่ลองถามพ่อดูเหรอ
ตอนนั้นฉันคิดว่างานท่านน่าจะยุ่งและอาจจะกลายเป็นการรบกวนเกินไปจึงปฏิเสธพี่ แต่พอวันครบรอบใกล้เข้ามาจริงๆ สุดท้ายฉันก็กดโทรศัพท์หาท่านตามความต้องการของตัวเอง
-มีอะไร
น้ำเสียงแฝงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจนทำให้ฉันรู้สึกเกร็งขึ้นมาอัตโนมัติ
“พรุ่งนี้ครบรอบวันเสียชีวิตของแม่ค่ะ”
-พ่อจำได้
“หนูอยากถามว่าพ่อจะทำยังไงน่ะค่ะ เผื่อว่าครั้งนี้พ่อจะไป ก็ไปกับ…”
-…เวลาคงไม่ได้
“ค่ะ”
เพราะคำตอบที่ฟังดูมีอะไรติดค้างอยู่ในใจของฉัน พ่อเลยพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
-พ่อยุ่งอยู่ แค่นี้ก่อนนะ
“พ่อคะ!”
-มีอะไรจะพูดอีกล่ะ
“…เปล่าค่ะ”
พ่อรู้แน่ๆ ว่าฉันมีเรื่องอยากพูด แต่ท่านก็พูดว่า ‘แค่นี้นะ’ แล้วตัดสายไป
ฉันรู้ว่าการดึงดันถามหาคำตอบที่ถึงไม่ถามก็รู้แล้ว มันเป็นเพียงแค่การถามซ้ำให้มั่นใจเท่านั้น แต่ฉันก็อยากถามพ่ออยู่ตลอดว่า ‘พ่อยังโทษแม่อยู่ไหมคะ’ เพราะประเด็นคือจริงๆ แล้วฉันก็คิดว่าตัวฉันเองไม่สามารถให้อภัยแม่ได้เหมือนกัน
พอเอาแต่นั่งอยู่แบบนี้ก็เหมือนจะคิดอะไรไร้สาระไม่หยุดเลย
“ค่อยๆ เตรียมไปดีไหมนะ”
จากนั้นก็คิดว่าวันนี้ควรรีบไปก่อนที่แดดจะแรงมากกว่านี้ดีกว่า
***
หลังจากเห็นภาพชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงโรงเก็บกระดูก ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพียงแค่คิดว่ามีคนมาก่อนแล้วเหรอ แต่ฉันก็ต้องหยุดชะงักกึกเมื่อเขาหันตัวกลับมา อีกฝ่ายเองก็คงรู้ว่าเป็นฉัน เขาถึงหยุดยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองฉันนิ่งๆ
แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่ฉันยังคงจำใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี ถึงบนใบหน้าจะมีร่องรอยของการหมุนผ่านตามกาลเวลา ทว่ากลิ่นอายของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สายตาที่มองมาทางฉันยกเป็นเส้นโค้งอย่างนุ่มนวล
ฉันรีบหมุนตัวกลับก่อนที่ปากของเขาจะขยับเรียกชื่อฉันออกมา แต่เขากลับไม่สนใจและเรียกชื่อรั้งฉันไว้ราวกับบอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นการพยายามโดยเปล่าประโยชน์
“หนู ยอนจิน!”
ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันก็คงจะดี ไม่รู้เหรอว่าที่ฉันตั้งใจหันกลับไปเพราะไม่อยากทำเป็นรู้จักและไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาแบบนี้
ทว่าเขากลับเรียกฉันอีกครั้งเหมือนสัมผัสได้ว่าฉันกำลังจะหนีออกไปจากตรงนี้
“ยอนจิน…”
ฉันเลยถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไป
“สวัสดีค่ะ”
“นานแล้วสินะ จำลุงได้ด้วยเหรอ”
“จำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ ก็นะ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ แถมตอนนั้นหนูเองก็ยังเด็กมากด้วย”
เขาแสดงสีหน้ายินดีออกมาเพราะคำทักทายของฉัน จากนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนผิดหวังเพราะคำตอบอันคลุมเครือของฉันด้วย แต่ไม่นานก็พยักหน้าพร้อมกับพูดเห็นด้วย
“ไม่ได้มาเยี่ยมแม่หรอกเหรอ ทำไมจะกลับไปเสียเฉยๆ ล่ะ”
“…”
พอฉันไม่ตอบ เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและดูเหมือนจะรู้ว่าคำที่บอกว่าจำไม่ค่อยได้ของฉัน มันเป็นเรื่องโกหก
“ดื่มกาแฟสักแก้วไหม”
แต่ฉันก็เดินตามออกมาอย่างง่ายดายหลังคำพูดนั้น เขากดกาแฟหนึ่งแก้วจากเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่อยู่ในห้องรับรองของตึกแล้วยื่นให้ฉัน
“อ๊ะ หนูอยากดื่มอะไรสดชื่นๆ มากกว่ากาแฟน่ะค่ะ”
ฉันมองแก้วกระดาษที่ถูกยื่นมาตรงหน้าแล้วส่ายหน้าไปมา ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากดื่มมันเลยเพราะได้ยินมาว่ากินกาแฟในระหว่างตั้งท้องไม่ใช่เรื่องดี
แค่บอกเหตุผลที่ตัวเองคิดว่าใช้ได้ออกไป แต่อีกฝ่ายกลับกระวนกระวายเกินความจำเป็น ก่อนจะย้อนถามฉัน
“อย่างนั้นเหรอ โทษทีนะ นั่นสิ อากาศร้อนๆ แบบวันนี้ อะไรสดชื่นก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว ลุงคิดน้อยไปจริงๆ อยากดื่มอะไรที่สดชื่นๆ ล่ะ”
“เดี๋ยวหนูกดเองดีกว่าค่ะ”
ฉันอยากให้ท่าทีกระวนกระวายของเขาสงบลงจึงรีบพูดพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
แต่ปกติฉันไม่พกเงินเศษอยู่แล้ว หลังจากหยิบแบงก์หมื่นวอนที่มีอยู่เพียงใบเดียวออกมาแล้วก็ลังเล ฉันกังวลว่าเครื่องนี่จะรับแบงก์หมื่นวอนไหมนะ แล้วมันจะทอนออกมายังไงล่ะ
ระหว่างที่ฉันกำลังพะวักพะวน อีกฝ่ายคงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง เขาเขยิบมายืนตรงหน้าฉันแล้วสอดแบงก์พันวอนเข้าไปในเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่เป็นเครื่องดื่มเย็นจากนั้นก็มองฉัน ฉันจึงพยักหน้าเบาๆ เพื่อขอบคุณตามมารยาทแล้วกดปุ่มเลือกเครื่องดื่ม
ฉันหยิบเกลือแร่ออกมาแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งยาวตรงริมหน้าต่าง ซึ่งเขาก็นั่งลงข้างๆ พลางสำรวจท่าทีของฉันไปด้วย ฉันรู้ว่าเขากำลังหาจังหวะเริ่มพูด แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้พลางจิบน้ำในมือไปด้วย
สุดท้ายเขาก็ทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดนี่ไม่ไหวจึงค่อยๆ ปริปากพูดก่อน
“หนูโตมาสวยเชียวนะ ตอนเด็กๆ ก็น่ารักขนาดนั้น แต่ตอนนี้โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
“เหมือนแม่มากเลยล่ะ”
“…งั้นเหรอคะ”
ตั้งแต่อายุเข้าสู่เลขสอง ฉันเคยส่องกระจกแล้วยอมรับกับตัวเองด้วยเหมือนกัน มันคล้ายคลึงกับใบหน้าของแม่หลังจากแต่งงานตั้งแต่สมัยช่วงยี่สิบต้นๆ และช่วงก่อนฉันจะย้อนกลับมาในอดีต มันก็เหมือนกับรูปหน้างานศพของแม่อย่างกับพิมพ์เดียวกัน
หน้าฉันเหมือนแม่ถึงขนาดนั้นราวกับท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่พ่อมักจะเลี่ยงการมองหน้าฉันไปด้วย
“ว่ากันว่าลูกสาวคนแรกจะเหมือนพ่อ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นซะแล้วสิคะ”
“ไม่ชอบที่เหมือนแม่เหรอ”
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกค่ะ”
เขามองหน้าฉัน สายตาของเขาท่วมท้นด้วยความทรงจำในอดีต แววตาเลือนรางของเขาเหมือนดวงตาเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกมากๆ
ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่สบายใจกับการกลายเป็นตัวแทนของแม่แล้วโดนสายตาของเขาจับจ้องมา ฉันจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“ดอกไม้…”
“หื้ม?”
“ทุกครั้งที่มามักจะมีดอกไม้วางอยู่ก่อนแล้ว หนูก็เลยสงสัยตลอดเลยค่ะ ว่าใครเอามาวางไว้กันนะ เคยคิดว่าอาจจะเป็นพ่อด้วยค่ะ แต่บางทีคงเป็นคุณลุง”
“งั้นเหรอ”
“ความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคุณลุงมีสูงมากเลยค่ะ เพราะหลังจากนั้นพ่อก็ทำเหมือนลืมแม่ไปแล้ว ท่านบอกว่างานยุ่ง แต่จริงๆ แล้วมันก็แค่ข้ออ้างนั่นแหละค่ะ ถ้าชวนมา ยังไงก็น่าจะหาเวลาให้ได้ใช่ไหมล่ะคะ”
“ต้องบริหารบริษัทใหญ่ขนาดนั้น ก็ต้องหาเวลาส่วนตัวไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมคะ”
ฉันยิ้มอย่างหดหู่แล้วพูดต่อ
“ถึงอย่างนั้น หนูก็คิดว่าโชคดีแล้วค่ะ ที่พ่อไม่มาวันนี้”
“…”
“จริงๆ เมื่อวานหนูโทรไปหาพ่อแล้วถามว่าไม่มาเยี่ยมแม่ด้วยกันเหรอ พอท่านปฏิเสธก็เศร้านิดหน่อย แต่ตอนนี้กลับคิดว่าโชคดีแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่แปลกดีนะคะ”
“ขอโทษนะ”
ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วย้อนถามเพราะคำขอโทษจากเขา
“เรื่องอะไรคะ”
“ลุงรู้ว่าการมาเจอกันแบบนี้มันน่าหนักใจ ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่มาให้หนูเห็นหน้า เท่าที่จะทำได้…”
“เพราะอย่างนั้นก็เลยมาแต่เช้าตลอดเลยน่ะเหรอคะ”
“ใช่”
“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะหนูมาผิดเวลาจากปกติเอง”
ฉันอดกลั้นไม่พูดต่อว่า ‘ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงมาสายกว่านี้แล้ว’ ฉันไม่ใช่เด็กน้อยที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนต้องพูดแบบนั้น และถึงจะรู้ว่าคำพูดของฉันมีหนามที่สามารถทิ่มแทงจิตใจให้เศร้าหมอง แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“ถึงอย่างนั้น ลุง…ก็รู้สึกดีที่ได้เจอหนูแบบนี้นะ”
“ส่วนหนู…ถ้าทำได้ก็ไม่อยากเจอหรอกค่ะ”
“…งั้นสินะ รู้อยู่แล้วล่ะ”
ถ้าเจอเขา ความรู้สึกผิดบาปที่มีต่อพ่อก็ดูเหมือนจะปะทุขึ้นอีกครั้ง
พวกผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเพราะยังเด็กก็เลยไม่รู้อะไร แต่เด็กนั่นแหละที่อ่อนไหวต่อความเปลี่ยนแปลงของพวกผู้ใหญ่มากกว่าใคร เป็นเด็กแล้วทำไมจะไม่รู้ล่ะ เรื่องที่พวกผู้ใหญ่มักจะมองข้ามกันอย่างง่ายดายก็คือเรื่องนั้นนั่นเอง
MANGA DISCUSSION