ในความทรงจำของฉัน แม่เป็นคนสดใสยิ้มแย้มเสมอราวกับไม่เคยมีน้ำตาออกจากดวงตาคู่นั้นสักครั้งเลย
ว่ากันว่าพ่อของแม่หรือก็คือคุณตาของฉัน ท่านเป็นผู้ชายเสเพลที่ไม่คิดจะทำงานหาเงินทั้งที่มีร่างกายปกติครบถ้วนสมบูรณ์ดี
คุณลุงที่อายุห่างกับแม่พอสมควรก็ไร้ความสามารถและไม่รับรู้ถึงปัญหาของตัวเอง เพราะอย่างนั้นพอบอกว่าจะทำธุรกิจเขาก็เลยถลุงใช้เงินของครอบครัวจนหมด และคุณยายที่เป็นคนรับผิดชอบดูแลชีวิตความเป็นอยู่ทุกคนมาจนถึงตอนนี้ ร่างกายท่านก็เสื่อมโทรมอย่างมากเพราะความเหนื่อยยากในช่วงที่ผ่านมาจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำงานหาเงินไปมากกว่านี้ได้แล้ว
สุดท้าย คุณแม่ก็ต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวตั้งแต่ก่อนจะเรียนจบมัธยมปลายเสียอีก
พอจบมัธยมปลาย ท่านก็มุ่งหน้าหางานอย่างเอาจริงเอาจังเป็นอย่างแรก ถึงแม้ว่าจะทุ่มเวลาเรียนในโรงเรียนให้กับการทำงานหมด แต่เงินที่แม่ได้กลับมากลับไม่เหลือสักเหรียญเดียวเพราะใช้ไปกับค่าครองชีพเสียทุกครั้ง
ความยากลำบากในชีวิตที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยส่งผลให้แม่ค่อยๆ อ่อนเพลียและเหนื่อยล้ามากขึ้น ทว่าระหว่างนั้นแม่ก็ได้เจอพ่อ
แม่กับพ่อเจอกันโดยบังเอิญแล้วก็รักกันเหมือนโชคชะตากำหนดไว้ หลังจากรู้จักกันแล้วก็รู้ว่าพ่อเป็นเศรษฐีที่มีเงินเยอะมากจนสามารถช่วยเหลือในสถานการณ์ของแม่ในตอนนั้นได้
ถ้าเรื่องราวมันแบบนั้น จะเข้าใจแม่มากขึ้นอีกนิดแล้วให้อภัยแม่ได้ไหมนะ
และในขณะเดียวกันสำหรับแม่แล้ว ท่านจำเป็นจะต้องหาคนที่สามารถปกป้องตัวเองได้มากกว่าความรัก ซึ่งคนๆ นั้นก็คือพ่อ
ภายใต้การใช้ชีวิตอันแสนเหนื่อยล้าราวกับพยายามไปมากแค่ไหนก็สูญเปล่า พ่อไม่ได้ช่วยทำให้ความพยายามนั้นเกิดผล แต่กลับยิ่งทำให้แม่ต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของแม่ทำให้ญาติๆ ของพ่อลุกฮืออย่างรุนแรง แต่คำพูดกับการกระทำโดยใช้กำลังของพวกเขาไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ กับแม่ที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียไปมากกว่านี้แล้ว
แม่คิดเพียงว่าแค่แต่งงาน พวกเขาก็น่าจะยอมรับไปเอง และถึงไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ความรักของพ่อก็น่าจะสกัดกั้นผลกระทบทั้งหมดได้
ทว่าพอเอาเข้าจริง สถานการณ์กลับแย่กว่าที่คิด ทั้งพ่อแม่สามีที่ไม่พอใจในตัวแม่ ญาติๆ ที่เอาแต่ต่อว่านินทาและดูถูกครอบครัวของแม่ ส่วนสามีก็ไม่เพียงแค่ยุ่งกับงานเท่านั้น แต่ยังไม่สนใจเรื่องราวภายในบ้านอีกด้วย
พ่อเป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่งและบึ้งตึงเป็นปกติ แต่กับแม่ พ่อมักจะเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่ แค่นั้นก็ทำให้แม่รู้สึกพอใจแล้ว แต่พอยิ่งใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์กลับค่อยๆ เกิดรอยร้าว
เริ่มตั้งแต่รูปแบบการใช้ชีวิตไปถึงจนกระทั่งความรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถไล่ตามความเพียบพร้อมของพ่อได้
ดุเหมือนยิ่งนานมากเท่าไหร่ ความด้อยของตัวเองก็ยิ่งปรากฏให้เห็นมากเท่านั้น และในบางครั้งที่ฟังคำพูดของสามีไม่เข้าใจ แม่ก็จะรู้สึกละอายในตัวเองไปเสียทุกครั้ง
หลังจากนั้นเวลาพูดคุยสนทนากันจึงลดน้อยลงไปอัตโนมัติ และคุณแม่ที่เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอดถึงแม้จะยากจนก็ค่อยๆ สูญเสียความมั่นใจของตัวเอง
สิ่งเดียวที่ทำให้คุณแม่ปล่อยวางจิตใจลงได้คือตอนดูแลพวกดอกไม้ในสวนหน้าบ้าน ฉันจำภาพของแม่ที่กำลังตัดแต่งดอกไม้ด้วยสีหน้าสบายใจได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะมองด้วยสายตาในตอนเด็กๆ ก็ตาม
ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แม่ยิ้มบ่อยขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตอนดูแลดอกไม้ หน้าตาของแม่ก็สดใสถึงขนาดฮัมเพลงอย่างเพลิดเพลินแม้จะเป็นในเวลาปกติ
และช่วงเวลานั้นที่แม่เริ่มพาฉันออกไปข้างนอก
พอออกไปข้างนอกแล้วถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นมีคนๆ หนึ่งกำลังรอแม่อยู่ ฉันรู้สึกลังเลใจแล้วยืนหลบอยู่หลังแม่เพราะคนแปลกหน้า แต่แม่ก็ดึงตัวฉันให้ออกมาข้างหน้าแล้วพูดขึ้น
“ทักทายซะสิ คุณลุงเขาสนิทกับแม่ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”
ฉันลังเลและไม่ได้พูดทักทายออกไป แต่ชายวัยกลางคนตรงหน้ากลับพูดขัดแม่ที่กำลังเร่งฉัน
“หนูคือยอนจินสินะ เหมือนแม่มากเลยนะเนี่ย”
* * *
เมื่อได้สติขึ้นมาจากการหลับใหลก็ลืมตาขึ้นเพราะกลิ่นไอหอมหวานที่มาสะกิดตรงปลายจมูก
ฉันทอดสายตามองเพดานพร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ จนถึงตอนนี้ทำไมยังฝันถึงวันนั้นอยู่อีกนะ ความทรงจำในวัยเด็กมันมีขอบเขตก็เลยไม่เหลืออะไรอยู่นอกจากเศษเสี้้ยวเล็กๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
ตอนนั้นฉันอยู่ในวัยที่ยังไม่รู้ประสีประสาด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะยิ่งอายุมากขึ้น ความทรงจำก็ถูกสั่งสมมากขึ้น เรื่องราวสมัยก่อนจึงค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปเช่นกัน
แต่น่าแปลกที่ฉันจดจำการพบกันในวันนั้นได้อย่างชัดเจน
น้ำเสียงและช่วงเวลาที่คุณลุงคนนั้นเอามือข้างหนึ่งลูบแก้มฉันขณะสบตากัน
เหตุผลที่ยังคงจำการพบกันครั้งแรกมาได้จนถึงตอนนี้ด้วยความสามารถในการจดจำของเด็กน้อยน่าจะเป็นเพราะดวงตาแฝงความรู้สึกมากมายที่มองฉันอย่างสั่นไหวคู่นั้นมันสลักลึกลงไปในใจมากๆ
มาทีหลังถึงได้รู้ว่ามันหมายความว่าอะไรและอยากบอกอะไรกับฉัน
ถึงตอนนี้แล้วจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ฉันถอนหายใจเบาๆ พลางพลิกตัว แต่แล้วกลับเกิดอาการเจ็บน้อยๆ และเสียวแปลบตรงท้อง
ฉันเคยได้ยินมาว่ามันเป็นอาการเจ็บที่เกิดขึ้นเพราะมดลูกขยายใหญ่เพื่อสร้างพื้นที่ให้เด็กเติบโต เพราะอย่างนั้นจึงสะกดเสียงครางเอาไว้ในลำคอด้วยการขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรไป หรือว่ารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”
“…ปะ เปล่าค่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ฉันสะดุ้งก่อนจะตอบกลับ
“ปกติไม่ค่อยตื่นเช้าน่ะค่ะ ก็เลยหงุดหงิดหลังตื่นนอนนิดหน่อย”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นนอนต่ออีกหน่อยสิ”
“กี่โมงแล้วคะ”
เขาเช็กเวลาในโทรศัพท์มือถือแล้วตอบสั้นๆ ว่า ‘เก้าโมง’
“เก้าโมงแล้วเหรอคะ คุณคงหิวแล้วแน่เลย เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร ยังไม่หิวเลย ยังไงอีกเดี๋ยวก็เที่ยงแล้วนี่ ค่อยกินควบเช้าเที่ยงไปเลยตอนนั้นเถอะ”
“แล้ววันนี้ไม่ไปไหนเหรอคะ”
“วันหยุดไง อยากพักผ่อนอยู่บ้านหลังจากไม่ได้พักมานานแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…”
ฉันปล่อยให้ท้ายประโยคหายไปพร้อมกับความลังเล ท่าทีของฉันทำให้เขาพยักพเยิดเหมือนบอกให้พูดออกมา หลังจากคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรลังเลอะไร ฉันเลยพูดขึ้น
“ฉันหมายถึงคุณไม่ไปเดทเหรอคะ วันหยุดที่รอมานานทั้งที ถ้าอยู่บ้านเฉยๆ คุณเซบินก็คงจะเสียดายน่าดูเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่สะดวกใจที่ผมอยู่บ้านเหรอ”
“…คะ?”
ฉันเบิกตากว้างกับการย้อนถามอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าไม่ใช่ก็ช่างมันเถอะ ถึงเป็นแฟนกัน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเจอ เดทกันตลอดเวลานี่ ต้องมีชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนด้วยเหมือนกัน”
“งั้นเหรอคะ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
คงจะคาใจที่ฉันทำสีหน้าเกินคาด เขาเลยเอ่ยถามออกมา
“เปล่าค่ะ ก็แค่…แค่คิดว่าพวกคุณมีเวลาเจอกันไม่พอ เพราะเงื่อนไขของฉันพูดหรือเปล่าน่ะค่ะ มันเป็นโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันหลังจากตั้งตารอมานานแท้ๆ นี่คะ”
“ก็ไม่เท่าไรนะ”
นั่นสินะ ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เพิ่งคบกันแค่ปีสองปี แล้วก็ไม่น่ามีเรื่องไม่คาดคิดอะไรอยู่แล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร
ฉันทอดสายตามองมุมข้างของสามี หลังจากที่เขานั่งลงตรงหน้าโต๊ะชาตรงมุมห้องพร้อมจับจ้องโน้ตบุ๊กจดจ่อกับการทำอะไรบางอย่าง ถึงสัมผัสความตึงเครียดได้จากสีหน้าของเขา
ไม่รู้ทำไมฉันถึงพูดอะไรไม่ได้และเพียงแค่มองอยู่เฉยๆ เขายกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกโดยไม่ละสายตาออกจากจอโน้ตบุ๊คเลย แล้วก็คงจะรู้สึกถึงสายตาของฉัน เขาจึงเหลือบมองก่อนจะพูดขึ้น
“มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ก็แค่รู้สึกว่ากลิ่นกาแฟหอมดีนะคะ”
“ชงให้แก้วหนึ่งเอาไหม”
ฉันส่ายหน้าเงียบๆ เพราะถึงไม่รู้อะไรมากมายแต่จำได้ว่าเคยได้ยินจากหลายๆ ที่ว่ากาแฟไม่ค่อยดีต่อคนท้อง
ยิ่งเป็นฉันเคยที่ให้ปล่อยลูกหลุดมือไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยิ่งอยากระมัดระวังในสิ่งที่ควรจะระวังและหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ควรจะเลี่ยง
“แค่ดมกลิ่นก็พอแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ”
“ว่ากันว่าปกติสิ่งที่อร่อยที่สุดของอาหารทุกอย่างก็คือกลิ่นนี่คะ”
พอฉันพูดหยอกล้อ เขาก็หัวเราะหึๆ
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นสิ ประสาทรับกลิ่นมันไปกระตุ้นความสามารถในการจินตนาการ ก็เลยทำให้นึกถึงรสชาติที่อร่อยที่สุดในความทรงจำ เพราะอย่างนั้นไม่ว่าตอนที่กินจะอร่อยแค่ไหน แต่ก็รู้สึกเหมือนไปไม่ถึงระดับที่คาดหวังไงล่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ ฉันก็มักจะนึกถึงรสชาติอร่อยๆ หลายๆ อย่างแต่พอลองกินดูแล้ว กลับผิดหวังอยู่เรื่อยเลยเหมือนกันค่ะ”
ฉันพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเพราะเขาเห็นด้วยกับคำพูดของฉัน
“แล้วก็กาแฟน่ะ ปกติก็ดื่มโดยการสูดกลิ่นอยู่แล้ว แค่กลิ่นก็เลยรู้สึกเพียงพอแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้างั้นผมก็ต้องดื่มให้ช้าที่สุดเลยน่ะสิ คุณจะได้ซึมซับรสชาติได้มากที่สุดไง”
คำพูดของเขาทำให้ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“รู้ไหมคะว่าคำพูดเมื่อกี้มันเลี่ยนมากเลย”
“…”
“แค่ทำตัวเหมือนปกติกับฉันก็พอแล้วล่ะค่ะ คำพูดแบบนั้นคุณเก็บไว้พูดกับคุณเซบินเถอะ”
เมื่อไม่มีคำตอบกลับมา ฉันจึงเหลือบมองเพราะคิดว่าเขาอาจจะโกรธ
“โกรธหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ทำไมถึงรู้สึกเหมือนคุณเปลี่ยนไปเลยนะ”
“คะ?”
“เมื่อก่อนดูคุณจะเกร็งๆ กับผมมากว่านี้นิดหน่อย…”
“อ๋อ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละค่ะ เมื่อก่อนฉันกังวลอยู่ตลอดเลย เพราะไม่อยากทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าคุณน่ะค่ะ แต่มาตอนนี้ จุดประสงค์มันถูกกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว แถมไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องระยะห่างของกันและกันแล้วด้วย ก็เลยเหมือนจะสบายใจขึ้นแล้วค่ะ ก็ไม่จำเป็นแล้วก็ไม่มีเหตุผลต้องทำอะไรดีๆ ให้คุณเห็นด้วยนี่คะ”
“อย่างนั้นสินะ”
“แต่ฉันก็จะระวังให้ไม่ทำตัวไร้มารยาทกับคุณมากเกินไปนะคะ”
“ไม่หรอก ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไร ดีกว่าแต่ก่อนซะอีกนะ ผมบอกให้ทำตัวสบายๆ แต่ดูเหมือนคุณจะเว้นระยะห่างตลอดเวลา ผมก็เลยรู้สึกตะขิดตะขวงใจน่ะ”
เพราะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรก็เลยไม่รู้ แต่เขาเองก็ต้องการช่วงเวลาปรับตัวเหมือนกันสินะ พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเลย เขาอายุมากกว่าฉันและมีภาพลักษณ์ที่ทำอะไรก็สำเร็จไปหมดทุกอย่าง มันเลยเป็นส่วนที่ฉันไม่ได้สนใจมาก่อนเลย
เขาคนก่อนไม่เคยคิดจะยอมรับฉันมาตั้งแต่แรก แต่เขาในตอนนี้กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน ฉันรู้สึกผิดที่ด่วนสรุปจิตใจของเขาและไล่ต้อนเขาไปตามวิธีการของตัวเอง
“ฉันเป็นอย่างนั้นเหรอ…ขอโทษที่ไม่ใส่ใจเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรน่า ผมไม่ได้พูดเพราะอยากได้ยินคำขอโทษหรอกนะ”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ยังไงก็อยากขอโทษ”
ฉันถอนหายใจยาวพลางพลิกตัวแล้วเอาแขนข้างหนึ่งหนุนนอน
“ฉันแกล้งทำเป็นนิ่ง แต่จริงๆ แล้วก็กังวลมากเลยนะคะ กับทุกเรื่องมาจนถึงตอนนี้”
“ผมรู้”
“คะ?”
“เพราะคุณพูดอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ดวงตาของคุณเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาเลย”
พอฉันตกใจแล้วถามว่า ‘จริงเหรอคะ’ เขาก็พยักหน้า
ไม่จริงน่า หรือว่าฉันแสดงออกทุกอย่างทางสีหน้าเหรอ จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้นะ ต่อจากนี้มันจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องทำหน้าตายเอาไว้ให้ได้ทั้งนั้น
ฉันลูบไล้ตรงขอบตาเพราะรู้สึกกังวล ระหว่างที่กำลังคิดอย่างไร้สาระว่าจะต้องส่องกระจกเพื่อฝึกหรือเปล่า เปลือกตาของฉันก็ค่อยๆ หนักอึ้ง
“ฉัน…จะนอนต่ออีกหน่อยนะคะ”
“อืม นอนต่อเถอะ”
“หนึ่งชั่วโมง ไม่สิ ฉันจะนอนต่ออีกแค่สองชั่วโมง ถ้าฉันไม่ตื่นก็ช่วยปลุกหน่อยนะคะ”
“ได้”
ฉันหลับตาลงพลางพึมพำเป็นครั้งสุดท้าย
“เรื่องกาแฟไม่ต้องสนใจฉัน คุณดื่มก่อนทานข้าวได้เลยนะคะ”
เขาตอบกลับว่าเข้าใจแล้วด้วยน้ำเสียงแฝงร่องรอยของรอยยิ้ม
MANGA DISCUSSION