หลังจากฟังเซบินพูดเรื่องระหว่างตัวเธอกับคังทงอูราวกับโอ้อวดและยั่วโมโหฉัน ดาฮยอนเลยพูดเห็นด้วยกับฉันอย่างโอเว่อร์
“ใช่ค่ะๆ ฉันกำลังฟังสนุกอยู่เลยค่ะ ยิ่งฟังก็ยิ่งคิดว่ายอนจินเจอสามีที่ดีจริงๆ เลยนะคะ หน้าตาหัวหน้าดูนิ่งๆ เลยคิดว่าคงไม่ค่อยนุ่มนวลเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังแล้วก็ดูอ่อนโยนแล้วก็เอาใจใส่คนอื่นคนนึงเลยนะคะเนี่ย เธอโชคดีจังเลยอะ ยอนจิน”
“งั้นเหรอ”
อินฮยอกเองก็พูดขึ้นหลังจากมองอยู่เฉยๆ
“ผมคิดว่าทงอูดูเหมือนจะโชคดีมากกว่าคุณยอนจินอีกหรือเปล่าครับ”
“ตายจริง ใช่ไหมล่ะคะ ไม่ได้อวยเพราะเป็นเพื่อนของฉันนะ แต่เพราะยอนจินเป็นคนดีจริงๆ ค่ะ”
ดาฮยอนหัวเราะก๊ากกับคำพูดของอินฮยอกแล้วพูดเสริมขึ้น
“แล้วนี่ พวกคุณสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”
“พวกเราน่ะเหรอคะ เจอกันครั้งแรกตอนเข้าเรียนม. ปลายค่ะ อยู่ห้องเดียวกัน”
“ก็เป็นเพื่อนกันมานานเหมือนกันนะครับ ความรู้สึกแรกพบของกันและกันเป็นยังไงบ้างครับ”
“ตอนแรกดูเหมือนจะสนิทกันได้ยากเลยล่ะค่ะ ยอนจินน่ะสวยมาก แต่ดูขี้หงุดหงิดด้วย พูดก็น้อย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ ก็เลยรู้สึกเหมือนมีช่องว่างน่ะค่ะ”
“แล้วมาสนิทกันได้ยังไงล่ะครับ”
“พอได้รู้จักแล้ว ก็เลยรู้ว่าเธอขี้อายกับคนแปลกหน้ามากๆ ก็เลยไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นก่อนแล้ว หลังจากลองพูดคุยกันก็สนุกมากทีเดียวค่ะ ฉันรู้มาว่าครอบครัวยอนจินฐานะความเป็นอยู่เพียบพร้อมมากๆ เลย ปกติแล้วเด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวยมักจะขี้อวดแบบน่าหมั่นไส้ แต่เธอไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นเลย แถมมีความคิดลึกซึ้งด้วยค่ะ”
ดาฮยอนพูดพลางยักไหล่ ฉันจึงยิ้มเล็กน้อยกับคำพูดที่แสดงถึงความรักที่มีให้ฉันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
“ดาฮยอนเห็นว่าฉันไม่ชวนใครคุยก่อน ก็เลยชวนฉันคุยแล้วก็ปฎิบัติตัวกับฉันอย่างใจดี ฉันเองก็รู้สึกขอบคุณดาฮยอนที่คอยช่วยดูแลเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้อยู่เสมอเลยล่ะค่ะ”
“สนิทกันมากเลยนะเนี่ย ดีจังเลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันตอบรับคำพูดของเซบินสั้นๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับถามต่อด้วยความสงสัยและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถ้างั้นก็เรียนจบม. ปลายแล้ว ก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันต่อเหรอคะ”
“ค่ะ”
“คณะอะไรเหรอคะ”
“อ่า บริหาร…”
“อย่างนั้นเองสินะ ว่าแต่ทำไมเรียนจบแล้วไม่หางานทำล่ะคะ เห็นเขาบอกกันว่าครอบครัวของคุณยอนจินก็ทำธุรกิจนี่นา ปกติแล้วเรียบจบก็เข้าทำงานในบริษัทของพ่อแม่กันไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่น…”
พอฉันเงียบ สามีก็พูดปรามเซบิน
“พอได้แล้ว เสียมารยาทน่า”
“ก็แค่เสียดายนี่นา แต่งงานแล้วมาทำแค่งานบ้านเนี่ย น่าเสียดายความรู้ความสามารถที่เรียนมาออกนะ ไหนๆ ก็เสียเงินเข้าไปเรียนแล้วกลับเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ซะงั้น”
“แล้วทำไมเธอต้องไปเสียดายแทนคนอื่นเขาล่ะ”
เซบินทำสีหน้าขุ่นเคืองใจเหมือนจะถามว่าพูดขัดทำไมจากการต่อว่าของทงอู
“จริงๆ แล้วฉันก็อยากทำตัวเป็นประโยชน์กับครอบครัวเหมือนกัน ก็เลยเลือกเรียนบริหารค่ะ แต่การช่วยเหลือของฉันมันไม่จำเป็นอะไรอยู่แล้วเพราะมีพี่ชายอยู่ ที่บ้านก็เลยบอกว่าไม่ต้องกังวลน่ะค่ะ”
ฉันเพียงแค่รอให้คุณพ่อรับรู้ว่าฉันเรียนคณะบริหารแล้วเสนอออกมาด้วยตัวเองว่า ‘ลองไปเรียนรู้งานดูสิ’ ก็เท่านั้น
สุดท้ายแล้วคำพูดที่ไม่มีทางได้ยินก็ทำให้ฉันละทิ้งทุกอย่าง หลังจากยอมแพ้ แม่เลี้ยงจึงเสนอให้ฉันเรียนรู้สิ่งที่จะสามารถทำได้ในฐานะผู้หญิงมากกว่างานในบริษัท
รับรู้ได้ว่าเป็นการบอกใบ้ถึงข้อเสนอเรื่องการแต่งงานการเมือง ซึ่งมีขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้เพราะฉันผ่านพ้นสถานภาพนักศึกษาและกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอย่างเช่นการรับช่วงต่อบริษัทเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คิดว่าด้วยฐานะของแม่เลี้ยงแล้วเธออาจจะคิดว่าลูกชายกับลูกสาวของตัวเองจะมีโอกาสมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว
สามีทอดสายตามองฉัน ไม่ใช่แค่เขา แต่คนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องมาทางฉันเหมือนกัน พอรับรู้ถึงสายตาของทุกคน ฉันจึงรีบคลายสีหน้าแล้วยิ้มอย่างเก้อเขินแทน
“ช่วงนี้เห็นเขาบอกกันว่ามีครอบครัวที่ส่งลูกให้เรียนสูงๆ เพื่อแต่งงานด้วยนี่ หรือว่าจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าคะ”
“คะ?”
“พวกคนจนก็ตั้งใจส่งให้ลูกสาวแต่งงานกับครอบครัวที่ฐานะดีกว่า ส่วนพวกคนรวยก็แต่งงานการเมืองกันเพื่อฐานะทางสังคม อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ”
“…”
คำพูดที่แฝงความหมายว่าเล่าเรียนเพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ฉันเลยทำหน้าตึงและกัดริมฝีปากแน่น
“โทษนะคะ พูดเหมือนรู้ไปซะทุกเรื่อง…!”
“พอเถอะดาฮยอน ที่เขาพูดมาก็ถูก ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผลสุดท้ายมันก็เป็นแบบนั้นนี่”
“นี่ แล้วเธอจะทนฟังอยู่เฉยๆ เหรอ”
“ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก”
ฉันพูดปลอบดาฮยอนว่า ‘ใจเย็น ฉันไม่เป็นไรจริงๆ’ แต่นั่นก็เป็นการปลอบโยนตัวเองไปด้วย
ฉันไม่ได้อยากแสดงความอ่อนไหวและต่อปากต่อคำอย่างไร้ประโยชน์ แถมไม่อยากทำลายบรรยากาศด้วย
ดาฮยอนเลยเงียบไป แต่อารมณ์คงยังไม่คลายเท่าไหร่ เธอจึงจ้องยอนเซบินเขม็งแล้วพ่นลมหายใจอย่างหนักหน่วง
ปฏิกิริยาตอบรับเกิดขึ้นคนละทางกับที่คาดไว้ อินฮยอกคงคิดว่าปล่อยไว้น่าจะไม่ได้การเลยตั้งใจจะพูดขึ้นมาว่า ‘เซบิน เธอ…’ แต่สามีกลับพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งก่อน
“ยอนเซบิน คราวนี้เธอพูดไม่ดีนะ ขอโทษซะ”
“ฉันก็แค่พูดความจริงเฉยๆ เอง ฉันไม่ได้บอกว่าคุณเซบินเป็นแบบนั้นซะหน่อยนี่นา”
“…”
“บางคนอยากเรียนแต่เรียนไม่ได้เพราะไม่มีเงิน บางคนก็เรียนไปด้วยทำงานพิเศษไปด้วย วันหนึ่งนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะต้องหาค่าเทอม แต่บางคนพ่อแม่มีฐานะดีอยู่แล้ว ถึงไม่ต้องพยายามเท่าไรก็ใช้ชีวิตสบาย…”
“แล้วยังไง”
ทงอูพูดตัดบท เซบินจึงพูดอะไรไม่ออกอีก ก่อนจะพูดขึ้นราวกับประท้วง
“นายก็รู้นี่ ฉันก็ทำงานหนัก ลำบากแค่ไหนกว่าจะเรียนจบมา ถึงป่วยก็ทำตัวป่วยไม่ได้ ข้าวก็กินไม่ตรงเวลา ฉันกัดฟันพยายามอย่างหนักเพื่ออนาคต บางคนไม่ต้องพยายาม แต่ก็สามารถทิ้งอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายๆ เพราะเหตุผลว่าครอบครัวไม่ต้องการ…”
“เธอก็คือเธอ ยอนจินก็คือยอนจิน แต่เธอกำลังตำหนิชีวิตของยอนจินโดยใช้ตัวเธอเองเป็นบรรทัดฐาน นั่นเป็นความคิดที่ไร้สาระมาก เธอทำแบบนี้เหมือนลดคุณค่าของตัวเองลงไปอีกด้วยซ้ำ”
“ทงอู…”
เซบินทำหน้าไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดเย็นชาและเฉียบขาดเหมือนไม่เข้าใจตัวเธอ
ฉันเองก็ตกใจไม่น้อยกับท่าทางของเขาแต่ก็ทำเพียงแค่จ้องมองดูอยู่เงียบๆ
พอบรรยากาศตึงเครียดมากขึ้น หนึ่งในเพื่อนของเซบินที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ก็พูดขึ้นมาเบาๆ
“คือว่า คุณทงอูคะ เซบินไม่ได้พูดเจาะจงถึงคุณยอนจินหรอกค่ะ พอเป็นคนอื่นๆ เป็นแบบนั้นคงจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมแล้วเจ็บปวดใจก็เลยพูดออกมา คุณทงอูน่าจะเข้าใจคำพูดของเซบินผิดไปนะคะ”
“ใช่แล้วค่ะ คุณก็รู้นี่คะ ว่าเซบินใช้ชีวิตมาอย่างลำบากจริงๆ จนสมควรบ่นบ้างเหมือนกันนะคะ แถมดูเหมือนจะเมาๆ ด้วย ก็เลยรู้สึกรุนแรงกับเรื่องในอดีตน่ะค่ะ”
เพื่อนที่นั่งอีกฝั่งก็พูดเสริมบ้างแล้วพยักหน้าไปด้วย
“ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำผิดน่ะถูกแล้ว ฉันพูดไม่ดีเอง”
เซบินส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
เธอรู้ว่าถ้ามาถึงตรงนี้แล้วยังนิ่งเงียบไปมากกว่านี้ มันก็แค่ทำให้ตัวเองกระจอกลงเท่านั้น ก็เลยทำสีหน้าเรียบเฉยให้ได้มากที่สุดแล้วเอ่ยเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเล็กๆ น้อยๆ
“ขอโทษค่ะคุณยอนจิน ฉันหัวร้อนเพราะคำพูดของทงอูน่ะค่ะ ไม่ได้พูดเจาะจงถึงคุณยอนจินหรอกนะคะ”
“ฉันเข้าใจค่ะ ว่าคุณเซบินไม่ใช่คนแบบนั้น”
ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้พร้อมกับรอมยิ้มใสซื่อ
ทว่าเธอกลับทำท่าทางเหมือนหงุดหงิดมากกว่าเดิมเพราะท่าทางของฉัน จากนั้นฉันจึงทำสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแล้วพูดต่อ
“ขอโทษนะคะ เพราะฉัน คุณก็เลยถูกต่อว่า ทำยังไงดีล่ะคะ”
“…ไม่หรอกค่ะ ปกติทงอูเด็ดขาดกับเรื่องที่เขาคิดว่ามันไม่สมควรอยู่แล้ว อย่างที่เขาพูดแหละค่ะ ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองแล้วเริ่มตำหนิ ก็เหมือนฉันลดคุณค่าของตัวเองลง บางทีทงอูคงจะเป็นห่วงเรื่องนั้นล่ะมั้งคะ”
คำพูดเสแสร้งของเธอทำให้ฉันกลั้นหัวเราะเยาะอยู่ในใจ กลับกันไม่รู้ทำไมความโกรธถึงหายไปหมดแล้ว ความรู้สึกฉันบอกว่าถ้านั่นเป็นวิธีการรักษาหน้าตัวเองก็ลองให้เธอทำต่อสิ
“ทงอู ขอโทษนะ นายพูดถูกแล้วล่ะ ฉันทำผิดเอง แต่ฉันขอโทษแล้วนะ ทีนี้ก็เลิกโกรธได้แล้ว น้า”
ถึงอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่เลย แต่หากโกรธต่อก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาก็เลยถอนหายใจเบาๆ พลางพยักหน้าให้เท่านั้น
***
ความเงียบสงบวนเวียนอยู่ทั่วบ้านหลังจากเหลือกันเพียงสองคนเมื่อทุกคนกลับไป และบรรยากาศโหวกเหวกเสียงดังเมื่อครู่นี้ ยิ่งทำให้ความเงียบตอนนี้ชัดเจนกว่าเดิม
ฉันกวาดพวกอุปกรณ์จำพวกใช้แล้วทิ้งใส่ถุงขยะจนส่งเสียงดังกรอบแกรบแล้วเช็ดโต๊ะเป็นการปิดท้าย ท่าทางของสามีที่คอยช่วยอยู่ข้างๆ ฉันเงียบๆ ทำให้ฉันตระหนักขึ้นมาว่าเขามีเรื่องจะคุยด้วย จึงเอ่ยถามออกไปก่อน
“มีเรื่องอะไรจะคุยหรือเปล่าคะ”
“…ขอโทษนะ”
ฉันงุนงงกับคำพูดของเขาก่อนจะหัวเราะขึ้นมา เขาจ้องมองท่าทางของฉันเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ
“คุณรู้ไหมคะว่าตัวเองเอาแต่พูดขอโทษฉัน เมื่อกี้นี้ก็บอกว่าขอโทษ ช่วงนี้เหมือนคุณไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่าขอโทษเลยค่ะ นี่ยังไม่ทันผ่านวันด้วยซ้ำ แต่ก็มีเรื่องให้พูดขอโทษอีกแล้วสินะคะเนี่ย ดูยังไงก็น่าแปลกใจแล้วก็น่าทึ่งด้วยค่ะ”
พอพูดจบ สามีถึงได้ยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับเข้าใจแล้วว่าฉันหัวเราะทำไม จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง
“คุณคิดอะไรอยู่กันแน่…”
เป็นคำพูดที่ไร้การเกริ่นนำ แต่ฉันก็รับรู้ว่าเขาอยากพูดเรื่องอะไรจึงตอบกลับไป
“ไม่รู้จริงๆ เหรอคะ”
สีหน้าที่ตั้งใจจะควบคุมฉันแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด บางทีพวกคนที่เคยนั่งอยู่ด้วยกันตรงนั้นก็อาจจะไม่รู้ว่าเขารู้หมดทุกอย่าง เขาเชื่อเธอถึงขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าความรักมันบังตาไปหมด
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าไม่ได้มาหาเรื่องฉันแล้วบอกให้หย่า ฉันก็จะอดทนเท่าที่ทนได้ค่ะ”
“ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องอดทนหรอก”
“คะ?”
เขาจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่งแล้วมองหน้าฉันตรงๆ แล้วอธิบาย
“ผมรู้ดีว่าคุณไม่ใช่คนที่จะอ้างครอบครัวหรือพ่อแม่ผมแล้วทำให้ชีวิตเซบินยุ่งยาก เพราะฉะนั้นถ้าเซบินทำตัวเสียมารยาทเกินความจำเป็น คุณก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอยู่เฉยๆ หรอกนะ ก็แค่ตอบโต้ตามท่าทีปกติของคุณก็ได้”
“พูดแบบนั้นแล้วจะไม่เป็นไรเหรอคะ”
เขาคือคนที่เคยโมโหตอนที่ฉันไปหายอนเซบิน เพราะกลัวว่าฉันจะทำให้เธอเจ็บปวดไม่ใช่หรือไง เทียบกับสถานการณ์เดิมแล้ว มันเป็นคำพูดที่สร้างความตกใจให้ฉันจริงๆ
“อืม”
ดูเหมือนจะคิดว่าฉันพอเชื่อถือได้เพราะทะเบียนสมรส เขาทำท่าทีเหมือนฉันเสียสละตัวเองเพื่อเขา แต่ในความเป็นจริง ท่าทีของเขากลับทำให้ฉันที่ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากเรื่องของตัวเองกดดันไม่น้อย
ถ้าเป็นตัวฉันเมื่อก่อนก็คงจะทำหน้ายินดีสุดๆ และฉวยโอกาสนี้เอาไว้แน่ๆ
เมื่อสั่งสมความเชื่อใจของสามีทีละนิดแบบนี้ ความเชื่อมั่นในตัวผู้หญิงคนนั้นก็จะถูกทำลายไปพร้อมๆ กัน ทำให้มันบาดหมางขึ้นทีละนิดจนความสัมพันธ์ของทั้งสองห่างเหินกันมากขึ้นด้วยสินะ จากนั้นก็คงจะได้ใจของสามีมาด้วยแกล้งทำเป็นใสซื่อ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ลูกก็จะเติบโตอย่างมีความสุขมากกว่าใครๆ ภายใต้การปกป้องดูแลของเขาน่ะสิ
ความละโมบผิดๆ แวบขึ้นมาในหัวทีละนิดทำให้ฉันยืนยันกับตัวเองได้อีกครั้งว่าความรู้สึกที่เคยพูดว่าหมดไปแล้ว มันยังครบถ้วนไม่ยอมหายไปไหน ในขณะเดียวกัน ฉันก็ส่ายหน้าไปมาพยายามกำจัดความโลภนั้นออกไป
ไม่ได้หรอก ระหว่างที่คิดแบบนั้น เขาก็จะรับรู้ถึงมันแล้วเริ่มผลักไสฉันอีกครั้งเหมือนเดิม
ก็แค่ปล่อยให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ตอนนี้สำหรับฉันที่มีทั้งอนาคตและลูกน่ะ มันพอดีที่สุดแล้ว ถ้าหากโลภมากกว่านี้ ฉันก็กระวนกระวายกลัวว่าโอกาสทุกอย่างมันจะหายไปหมด
จากนั้นเขาก็เอ่ยถามเพราะสีหน้าที่หม่นหมองลงของฉัน
“สีหน้าไม่ดีเลยนะ ไม่สบายอีกหรือเปล่า”
สัมผัสที่แตะลงมาบนหน้าผากโดยไม่เว้นช่องว่างให้ตอบกลับทำให้ฉันสะดุ้งแล้วผละตัวออกไปข้างหลัง เขาคงจะประหม่าเหมือนกันเลยลงมือลงแล้วพูดต่อ
“เหมือนมีไข้นะ วันนี้คุณคงจะเหนื่อยมากเกินไป เข้านอนเลยก็ดี”
“น่าจะดีเหมือนกันค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะคะ”
ฉันจึงรีบเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดปาก
“…บ้าไปแล้ว”
เฮ้อ ฉันถอนหายใจแล้วสูดลมหายใจกลับเข้าไปลึกๆ หลังจากถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอามือที่ปิดปากลง ใบหน้าของฉันกลับมาเรียบนิ่งโดยไม่รู้ตัว
แต่มันกลับไม่ง่ายเลยกับการปิดซ่อนความรู้สึกในหัวใจเอาไว้ เพราะอย่างนั้นมือของฉันเลยจับอยู่ที่หน้าอกตัวเองแทน
‘ลูก แม่ไม่มีใครนอกจากลูกแล้ว แม่จะใช้ชีวิตอยู่เพื่อลูกคนเดียวนะ’
ฉันพึมพำราวกับให้คำยืนยันในใจ
จนกระทั่งหัวใจที่เต้นกระหน่ำสงบลงอย่างช้าๆ ฉันถึงยิ้มได้อย่างผ่อนคลาย
MANGA DISCUSSION