1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 9-3 การพบกันโดยบังเอิญ (2)
ฉันรู้สึกโล่งใจเพราะหากเขาพูดแทรกกลางคัน ฉันคงต้องกลืนคำพูดที่ตีขึ้นมาถึงแถวๆ คอกลับลงไปอีกครั้งแล้วไม่กล้าพูดมันออกมาอีกแน่ หลังจากรู้สึกขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ
“ขอโทษที่ทำตัวไม่ดีช่วงที่ผ่านมานะคะ”
“…ไม่เป็นไรครับ”
ไม่รู้ว่าเป็นแค่คำที่พูดตามมารยาทหรือเปล่า อินฮยอกยิ้มอย่างหยอกล้อพร้อมกับพูดอธิบายเหมือนจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องคิดมาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ดีซะอีก คุณยอนจินแสดงท่าทางมีมารยาทกับทุกคน แต่กลับกล้าบ่นงึมงำใส่ผมแค่คนเดียว แถมดูเหมือนจะเปิดใจให้ผมนิดหนึ่งด้วย”
“…”
“ผมยังอยากให้คุณยอนจินเอาตัวเองออกมาจากความสัมพันธ์ของสองคนนั้น แล้วตามหาเส้นทางแห่งความสุขนะครับ แต่ถ้าคุณยอนจินไม่ยอมแพ้กับทงอู ผมก็ขอให้คุณไม่ได้รับความเจ็บปวดจากเซบินมากเกินไป แล้วถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็โทรมาหาผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องลังเล”
“…พวกคุณเป็นเพื่อนกันนี่คะ ไม่ว่าใครก็มองว่าฉันเป็นคนเข้าไปแทรกกลาง แต่คุณมาอยู่ข้างฉันแบบนี้ จะไม่เป็นไรเหรอคะ”
“เรื่องนั้นก็คือเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็คือเรื่องนี้สิครับ ยังไงสองคนนั้นก็ทำตัวตามความรู้สึกตัวเองโดยไม่สนการตักเตือนจากรอบข้าง ผมเองก็แค่ทำตัวตามความรู้สึกของผมเหมือนกัน แต่ถึงผมจะไปอยู่ข้างคุณยอนจิน เจ้าพวกนั้นก็ไม่เห็นสะทกสะท้านอะไรเลยนี่ครับ”
คำพูดเท่ๆ ทำให้ฉันมองเขาด้วยความตกใจ เพราะคิดว่าหลังจากทำแบบนั้นแล้วพวกเขาจะรักษาความเป็นเพื่อนได้อยู่หรือเปล่า
ครู่หนึ่งที่ฉันรู้สึกพะวักพะวนกลัวว่าความเป็นเพื่อนของพวกเขาจะห่างเหินกันเพราะตัวเอง แต่สีหน้าสบายใจของอินฮยอกก็ทำให้ฉันพยักหน้า ในความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะต้องมีอะไรที่ฉันไม่รู้อยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าคำพูดคล้ายกับว่าสำหรับเขาแล้วถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉันมันไม่มีข้อแม้ จะทำให้กำแพงภายในใจของฉันบางลงจนโพล่งความคิดที่ซ่อนไว้ภายในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“จะได้รับความเจ็บปวดหรือไม่ได้รับ ฉันก็ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ”
“หื้ม?”
“ฉันไม่ได้คิดจะขออะไรสักอย่างตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ ยังไงความสัมพันธ์นี้ก็ไม่น่าจะไปกันได้นานขนาดนั้นอยู่แล้ว เพราะฉันนั้นเรื่องที่คุณอินฮยอกกังวล มันจะไม่เกิดขึ้นค่ะ”
“คำพูดแบบนั้น…”
พออีกฝ่ายทำหน้าตกใจพร้อมกับย้อนถามกลับ ฉันจึงเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณว่านี่เป็นความลับ จากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“เป็นความลับกับคุณเซบินนะคะ เพราะดูเธอจะไม่สามารถแยกแยะเหตุผลได้แล้ว ถ้าเกิดเป็นเรื่องของคุณทงอูน่ะค่ะ”
อินฮยอกมึนงงสักพักก่อนจะพูดเห็นด้วยว่า ‘คนเราก็ต้องมีด้านแบบนั้นอยู่แล้วสิครับ’ แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาสั้นๆ
เขารับกระป๋องเปล่าจากมือฉัน เอาไปรวมกับของตัวเองแล้วเดินไปทิ้งลงในถังขยะ ขณะที่เขาเดินกลับมา ฉันก็มองพร้อมกับคิดว่าคงจะต้องเตรียมตัวกลับแล้วเลยลุกจากม้านั่ง แต่เขากลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เดินเล่นกันเถอะครับ ถือซะว่าเป็นการย่อยอาการที่เราทานไปเมื่อกี้ด้วยไง ไหนๆ ก็มาถึงสวนสาธารณะแล้ว จะกลับไปเฉยๆ มันน่าเสียดายออกใช่ไหมล่ะครับ”
ฉันจึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเพราะสัมผัสกับสายลมอันสดชื่นที่พัดผ่านเส้นผมไปพอดี
***
พอพวกเราเดินกลับมาเพื่อจะกลับขึ้นรถ อินฮยอกก็ยืนอย่างใจลอยโดยไม่คิดจะเปิดประตู ฉันขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับพร้อมกับคิดว่ามันแปลกๆ แล้วปิดประตูรถฝั่งตัวเองลง หลังจากนั้นเขาก็มายืนอยู่ข้างประตูแล้วเคาะกระจกหน้าต่าง
เมื่อลดกระจกลง อินฮยอกก็ก้มหัวลงมาสบตาฉันแล้วเอ่ยลา
“ถ้างั้นก็กลับดีๆ นะครับ”
“คุณอินฮยอกไม่ขึ้นรถเหรอคะ”
“วันนี้ผมอยากขึ้นรถเมล์ดู หลังจากไม่ได้ขึ้นมานานแล้วน่ะครับ บางครั้งทำแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน”
“อย่าทำแบบนั้นเลยค่ะ ขึ้นรถดีกว่า ให้ฉันขับไปส่งเถอะนะคะ”
แต่เขากลับส่ายหน้า
“ขึ้นรถเมล์ก็แค่แป๊ปเดียวเองครับ งั้นเดี๋ยวผมไปเลยดีกว่า คุณยอนจินก็กลับได้แล้วล่ะครับ”
“คุณอินฮยอกคะ คุณอินฮยอก เดี๋ยวก่อน…”
ฉันมองอีกฝ่ายวิ่งออกไปแบบนั้นโดยไม่ทันได้ห้ามอะไรอย่างเหม่อลอย ลองย้อนคิดอย่างรอบคอบ เขาคงตั้งใจจะทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนเลือกสวนสาธารณะแห่งนี้แล้วก็ได้
เขาอาจกลัวว่าฉันจะเหนื่อยเพราะต้องวกไปวนมาสินะ
และหลังจากนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น เมื่อฉันเช็กโทรศัพท์แล้วก็เห็นข้อความเข้าสั้นๆ ว่า ‘กลับดีๆ นะครับ’ เลยยิ้มออกมาแล้วส่งข้อความกลับไป
[วันนี้ขอบคุณนะคะ คุณอินฮยอกก็กลับดีๆ เหมือนกันค่ะ]
***
ฉันทำสีหน้าเกินคาดเมื่อดูเวลาแล้วมองเห็นรถของสามีจอดอยู่ตรงที่จอดรถ พลางคิดว่าบางทีฉันอาจจะใช้เวลาที่สวนสาธารณะมากเกินกว่าที่ตัวเองคิดไว้หรือเปล่า
แต่มันเพิ่งจะเลยสามทุ่มมานิดหน่อยเอง ตอนออกมาจากโรงแรมก็ประมาณสองทุ่มแล้ว ก็ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่สวนสาธารณะยาวนานขนาดนั้นนี่นา
มันเกิดความคาดหมายกับการที่อีกฝ่ายจะกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าฉัน เพราะตอนฉันออกมาจากที่นั่น เขายังคงทานข้าวอยู่ด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าหลังจากแยกกับยอนเซบินที่โรงแรมแล้ว เขาก็ตรงกลับบ้านเลย
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรไร้สาระว่าเซบินมีธุระอื่น หรือไม่เขาก็เหนื่อยเลยแยกกันเร็ว ลิฟต์ก็หยุดลง
พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นสามีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมสีหน้าเหนื่อยล้า
“ไม่นึกว่าคุณจะกลับมาก่อน มาตอนไหนเหรอคะ”
“ผมก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
“งั้นเหรอคะ”
พอฉันพูดผ่านๆ ว่า ‘คิดว่าคุณจะอยู่กับคุณเซบินนานกว่านี้หน่อยแล้วค่อยกลับมาเสียอีก’ เขาก็ปิดปากเงียบ ฉันคิดว่าเขาดูจะอึดอัดกับการพูดเรื่องของเธอคนนนั้นต่อหน้าฉัน แต่ขณะกำลังจะเดินไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เสียงแผ่วเบาของสามีก็ทำให้ฉันหยุดอยู่กับที่
ฉันไม่ค่อยได้ยินนักเพราะมันเบาจนถูกเสียงผ้าโฉบผ่านกลบ เลยเอียงหัวแล้วย้อนถามกลับอีกรอบ
“คะ?”
“ผมถามว่าคุณอยู่กับอินฮยอกจนกลับมานี่เลยเหรอ”
“อ๋อ ค่ะ ฉันแยกกับคุณลุงที่โรงแรม แล้วก็มีเรื่องจะคุยกับอินฮยอกตามลำพังพอดี เลยอยู่คุยกันต่ออีกสักพักแล้วก็กลับค่ะ”
“พวกคุณอยู่ในสถานะที่มีเรื่องต้องคุยกันตามลำพังด้วยงั้นเหรอ คุณกับเพื่อนผมน่ะ หรือไม่ก็…”
น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาที่ถามว่า ‘มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้มากกว่านั้นหรือเปล่า’ ทำให้อารมณ์ของฉันหดหู่ลง
ฉันกังวลกับเจตนาที่แท้จริงของการพูดแบบนั้น แต่เขากลับใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ขอบปากตัวเองแล้วตกอยู่ในห้วงความคิด และคงมีอะไรบางอย่างค้างคาใจเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็นึกย้อนกลับไปในความทรงจำแล้วพูดขึ้นช้าๆ ราวกับตามหาคำตอบที่ไม่สามารถแก้ไขได้
“คิดๆ ดูแล้ว ได้ยินว่าตอนฮันนีมูน เจ้านั่นตามไปถึงบ้านพักตากอากาศหลังจากผมออกมาด้วยสินะ”
“รู้ได้ยังไงคะ”
คำที่ออกมาจากปากเขาทำให้ฉันตกใจไม่น้อย ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้มันจะเก็บเป็นความลับได้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะไม่เคยคาดมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากของสามี
“ผมไม่ได้พูดเพราะจะว่าอะไรคุณหรอกนะ”
“ถ้างั้นทำไมจู่ๆ ถึงพูดออกมาล่ะคะ”
“เพราะผมสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วน่ะสิ ผมรู้มาว่าระหว่างพวกคุณสองคนเหมือนมีอะไรบางอย่าง…หรือว่า รู้จักกันแต่แรกอยู่แล้วหรือเปล่า”
“…ต้องฟังให้ได้ใช่ไหมคะ”
สายตาแน่วแน่ของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจนต้องถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปตรงหน้าสามีแล้วนั่งลงตรง
“อยากรู้ส่วนไหนชัดๆ ล่ะคะ อยากรู้ว่าพวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หรือเหตุผลที่รู้จักกันอยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก”
“ทุกอย่าง มันเป็นเรื่องราวระหว่างภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายกับเพื่อนของผมนี่ ผมคิดว่าตัวเองมีสิทธิเพียงพอที่จะรู้นะ”
“…ใช่ค่ะ”
ฉันจึงพยักหน้าอย่างยินยอม แน่นอนว่าเขามีส่วนร่วมในความสัมพันธ์กับทั้งฉันและอินฮยอกด้วย บอกไปก็คงไม่เป็นไร จากนั้นก็คิดว่าต้องอธิบายตั้งแต่ตรงไหนถึงจะอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมพร้อมกับเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง
“เรามีความสัมพันธ์แบบที่เคยรู้จักกันผ่านๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ น่ะค่ะ ฉันกับคุณอินฮยอกรู้จักกันผ่านผู้ใหญ่ ไม่ใช่รู้จักกันเองโดยตรงค่ะ”
“อ๋อ เพราะอย่างนั้นกับคุณลุงก็เลย…”
“ค่ะ แม่ของฉันกับคุณลุงสนิทกันน่ะค่ะ”
ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากกว่าจะเรียกว่าสนิทกันเฉยๆ ก็เถอะ แต่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนั้น
“เจอกันประมาณสองสามเดือนก็มีเรื่องเกิดขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็เลยไม่ได้เจอกันอีกเลยค่ะ คงเพราะยังเด็กมากๆ ด้วย ตอนแรกฉันเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณอินฮยอกคือลูกชายของคุณลุงที่เคยเจอกันตอนนั้น แล้วระหว่างนั้นก็รู้ว่าใช่จริงๆ แต่จู่ๆ จะทำเป็นรู้จักแล้วเปลี่ยนท่าทีมันก็ยังไงๆ อยู่ ฉันก็เลยอยู่เฉยๆ น่ะค่ะ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ถึงขึ้นไปหาตอนฮันนีมูนน่ะ…”
“เขาบอกว่าเป็นห่วงเพราะเราเมื่อก่อนสนิทกัน ก็เลยมาหาน่ะค่ะ”
“เป็นห่วงเหรอ”
สีหน้าราวกับไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไรทำให้ฉันอดหัวเราะในใจไม่ได้ ขณะคิดว่าจะทำยังไงดี พูดความจริงไปเลยดีไหม หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ก็นึกภาพของยอนเซบินเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ฉันเลยขมวดคิ้ว
“คุณเซบินบอกคุณอินฮยอกว่าจะแยกคุณทงอูออกจากฉันตอนฮันนีมูนน่ะค่ะ พอได้ยินคำพูดที่บ่งบอกว่าฉันจะถูกทิ้ง คุณอินฮยอกเป็นห่วงคนที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างฉัน ก็เลยมาหาเท่านั้นแหละค่ะ”
ฉันพูดออกไปเพราะความโกรธ แต่หลังพูดไปขนาดนี้อยู่ๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าท้ายที่สุดแล้วทงอูจะยอมรับเธอคนนั้นได้ถึงตรงไหนนะ ฟังคำของฉันแล้วเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบไหนกัน บางทีเขาอาจจะคิดว่าคำพูดของฉันเป็นเรื่องโกหกที่ตั้งใจจะใส่ร้ายยอนเซบินก็ได้ แต่ฉันก็พูดต่อโดยไม่หลบตาเขาเลย
“หลังจากทำแบบนั้นแล้ว คุณเซบินก็ดูตั้งใจจะจับคู่ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณอินฮยอกด้วยค่ะ เมื่อกี้ตอนเจอกันในห้องน้ำก็พูดเหมือนกัน เธอบอกว่าอยากให้ฉันกับคุณอินฮยอกสานสัมพันธ์กันต่อน่ะค่ะ”
“…เซบินน่ะเหรอ”
“ก็ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่เข้ามากีดขวางความสัมพันธ์ของคุณกับเธอก็จะหายไปไงคะ แล้วก็คุณคิดยังไงกับคำพูดที่ว่า สำหรับผู้หญิง การเดินไปพร้อมกับคนที่รักเรา ไม่ใช่คนที่เรารัก มันเป็นเส้นทางที่มีความสุขมากกว่า”
“…”
“มันเป็นคำที่กินใจทีเดียวเลยใช่ไหมล่ะคะ ยังไงคำที่คนฉลาดพูด ก็ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ ด้วย คุณคิดเหมือนกันหรือเปล่าคะ”
“เซบินเป็นคนพูดเหรอ”
เขาพึมพำเหมือนไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงเจือความครุ่นคิดในใจทำให้ฉันระเบิดหัวเราะออกมา
“ถ้าจะคิดว่าฉันโกหก ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ฉันยักไหล่แล้วลุกขึ้น ทว่าระหว่างหมุนตัวเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ได้ยินคำตอบที่ช้าไปจังหวะหนึ่งของสามีดังมาจากด้านหลัง
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณโกหก”
“ถ้างั้นคุณก็ยอมรับว่าคนรักของคุณเป็นผู้หญิงแบบนั้นเหรอคะ”
“…ถ้าเซบินยังมีด้านที่ผมไม่รู้จักอยู่ ผมก็ทำได้แต่ยอมรับด้านแบบนั้นของเธอด้วยเท่านั้นแหละ แต่ผมไม่รู้เลยว่าเซบินทำตัวแบบนั้น แล้วผมเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องตอนนั้นด้วยเหมือนกัน ยังไงผมขอโทษแทนเธอด้วย”
“ฉันไม่ได้อยากรับคำขอโทษจากคุณสักเท่าไหร่เลยนะคะ…แต่จะรับไว้แล้วกันค่ะ แล้วก็ขอโทษที่ระบายอารมณ์ใส่คุณแบบไม่มีเหตุผล แต่ฉันไม่อยากถูกคุณเซบินควบคุมไปมากกว่านี้แล้วน่ะค่ะ ไม่ชอบที่เธอมาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของฉันแล้วพูดเสียดสีนู่นนี่ด้วย ก็เลยเหมือนจะอ่อนไหวไปหน่อย ขอโทษนะคะ”
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย ถึงจะบอกว่าไม่ได้สนใจ แต่ดูเหมือนมันจะทับถมมากขึ้นทีละนิดๆ ภายในใจของฉัน ถ้าดูจากที่มันเกินขีดจำกัดแล้วระเบิดออกมาไม่รู้ตัวแบบนี้น่ะนะ
สามีส่ายหน้ากับคำขอโทษของฉันเหมือนบอกว่าไม่ได้ติดใจเอาความอะไร
“ถามอีกอย่างได้ไหม”
“ค่ะ”
“ก็แค่ถามเผื่อไว้ คนที่ไปโรงเก็บกระดูกคุณแม่กับคุณ คืออินฮยอกหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
เขามองพิจารณาฉันด้วยดวงตาเฉียบคมราวกับตั้งใจสังเกตว่าฉันพูดความจริงหรือเปล่า แต่เมื่อฉันสบตาเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง สามีก็พยักหน้าก่อนจะพูดว่าเข้าใจแล้ว
“ถ้างั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อ…”
แล้วก็ต้องกลั้นหายใจพร้อมกับกัดริมฝีปากทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ ท่าทางของฉันที่ขมวดคิ้วพลางจับบริเวณหน้าท้องเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยความตกใจ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“…ปะ เปล่าค่ะ ดูเหมือนจะท้องอืดกับอาหารเมื่อกี้น่ะค่ะ”
พออาการเจ็บที่รู้สึกในชั่วพริบตาหายไปราวกับโกหก ฉันก็ปกปิดความกระสับกระส่ายแล้วตอบเขา จากนั้นก็รีบเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วก่อนเขาจะลุกแล้วเดินมาหา
‘ไม่น่า…’
ฉันรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ปกปิดเอาไว้ต่อหน้าสามีขึ้นมาทันที พลางปลอบใจตัวเองว่าอีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้น คงแค่เจ็บเพราะมดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้นแหละ
มองเห็นตัวเองที่หน้าซีดเหงื่อไหลไคลย้อยผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แค่อาการเจ็บเพียงครู่เดียวก็ถึงขนาดเหงื่อแตกแล้ว
ฉันยกมือลูบหน้าเพื่อเช็ดเหงื่อ หรือว่าตอนอยู่หน้าเขา ใบหน้าฉันเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่านะ เมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจราวกับจะพุ่งเข้ามาหาเสียตอนนั้น ฉันก็ส่ายหน้าเพื่อลบภาพเขาทิ้งไป
ครั้งนี้ฉันจะต้องไม่สูญเสียลูกเพราะเขา
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
พึมพำด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่
ถ้าหากพวกเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องสูญเสียลูกไปอีกครั้ง ฉันจะไม่มีทางให้อภัยแน่นอน