1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 9-2 การพบกันโดยบังเอิญ (2)
“จะกลับเลยใช่ไหมคะ”
“อืม ไว้คราวหน้า ถ้ามีเรื่องต้องขึ้นมาโซล ลุงจะชวนมาทานข้าวด้วยกันอีกนะ”
ฉันเอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเราหยุดอยู่หน้ารถ ซึ่งคำถามของฉันก็ทำให้คุณลุงยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบอย่างจริงใจ
“ได้ค่ะ”
“แล้วก็นะ ถ้าหนูมีเรื่องอะไรลำบาก อยากจะปรึกษาก็โทรมาได้ตลอด ห้ามคิดว่ามันเป็นการรบกวนเด็ดขาดเลยด้วย”
คงเพราะกังวลว่าฉันฟังแล้วจะเข้าใจว่าเป็นแค่คำพูดตามมารยาท คุณลุงจึงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะเหล่ตาไปทางอินฮยอกที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดเสริม
“แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือเดี๋ยวนั้นเลย หนูโทรหาเจ้าอินฮยอกก็ได้ ลุงกำชับไว้ให้แล้ว แค่โทรไป เขาก็ไปหาหนูทันที”
“รู้ไหมครับ เมื่อกี้ตอนนั่งอยู่กันแค่สองคน พ่อพูดไม่หยุดไม่หย่อนให้ผมสังเกตคุณยอนจินบ่อยๆ ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แล้วก็ให้คอยช่วย…”
ถึงแม้จะยกความเห็นของอีกฝ่ายมาพูดราวกับไม่สนใจ แต่อินฮยอกก็ไม่ได้ดูอารมณ์ไม่ดี เขาเพียงแค่ยักไหล่ ฉันมองอีกฝ่ายบ่นงึมงำแล้วก็หัวเราะคิกคัก
“ถึงไม่มีเรื่องอะไร ก็โทรไปได้ใช่ไหมคะ”
“แน่นอนสิ ยังไงลุงก็เหงาๆ คนเดียว ถ้าหนูยอมโทรมาคุยเป็นเพื่อน ลุงก็ต้องชอบอยู่แล้ว โทรมาได้ตลอดเลยนะ”
คำพูดของฉันคงเหนือความคาดหมาย คุณลุงถึงทำตาโตพลางอมยิ้มน้อยๆ อินฮยอกยืนนิ่งๆ รอให้พวกเราคุยกันเสร็จอยู่นิ่งๆ จากนั้นก็ส่งคุณลุงขึ้นประจำที่นั่งคนขับก่อนจะพูดขึ้นโดยมีประตูรถขวางไว้
“พ่อไปเถอะครับ คุณยอนจินน่ะ เดี๋ยวผมไปส่งเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“อืม ไปส่งเธอให้ดีล่ะ”
พอรถของคุณลุงเคลื่อนตัวออกไป อินฮยอกก็หันมามองฉัน
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเราก็ย้ายที่กันเลยไหมครับ คุณบอกว่ามีอะไรจะคุยกับผมนี่นา”
ถ้ากลับเข้าไปในโรงแรมอีกครั้งมันก็ยังไงๆ อยู่ พวกเราจึงตัดสินใจย้ายที่ และไม่รู้ว่าจะโล่งอกดีไหมเพราะตอนมาที่นี่เขาไม่ได้ขับรถมา ดังนั้นพวกเราออกเดินทางด้วยรถของฉันแทน
ขับรถออกมาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มองเห็นสวนสาธารณะที่ปูถนนไว้อย่างดี มันตั้งอยู่ระหว่างทางกลับบ้านพอดี อากาศด้านนอกยังคงร้อนอบอ้าว แต่ถ้าเทียบกับตอนกลางวันแล้วก็ถือว่ายังพอมีลมเย็นพัดผ่านอยู่บ้าง จึงมีคนมาเดินเล่นหรือออกกำลังกายไม่น้อยเลย
หลังจากจอดรถพวกเราก็ลงมานั่งตรงม้านั่งโดยฉันเดินนำมาก่อน ส่วนอินฮยอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือเครื่องดื่มกระป๋องเย็นๆ ที่เขากดออกมาจากเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ พอรับกระป๋องเครื่องดื่มที่เขายื่นมาให้ หยดน้ำที่เกาะเป็นหยดๆ ข้างกระป๋องก็ไหลตามมือแล้วหยดลงพื้น
เมื่อได้ยินเสียงดังกริ๊กเบาๆ มาจากด้านข้าง ฉันจึงเหลือบมองเล็กน้อยแล้วก็เห็นอินฮยอกเอนหัวไปข้างหลังและกำลังดื่มเครื่องดื่มในมืออยู่ แต่ฉันไม่คิดอยากดื่มสักเท่าไหร่อยู่แล้วเลยเอานิ้วหัวแม่มือไล้ตรงปากกระป๋องเท่านั้น ก่อนจะโพล่งถามขึ้น
“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะคะ”
“จู่ๆ ถามถึงเรื่องอะไรกันครับ”
“ฉันได้ยินจากคุณเซบินหมดแล้วค่ะ แล้วก็คิดว่าแปลกๆ ด้วย ทำไมคนๆ นี้ถึงตามหาฉันเจออยู่เรื่อย ทำไมถึงชอบโผล่มาทุกครั้งที่สภาพฉันน่าหัวเราะเยาะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอครับ”
ทว่าเขาไม่มีท่าทีตระหนกเลย อินฮยอกสงบนิ่งเหมือนเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะคิดว่าจะถูกจับได้สักวัน
“ฉันอยากฟังว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นค่ะ คุณเซบินบอกว่าเป็นเพราะคุณอินฮยอกมีใจให้ฉัน… แต่นั่นมันไม่ใช่นี่คะ”
“แล้วถ้ามีใจจริงๆ ล่ะครับ”
“คะ?”
บริเวณขอบตาที่ย่นเล็กน้อยราวกับจะถามว่าทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่ทำเอาฉันรู้สึกตกใจ
ไม่เห็นรอยยิ้มหรือร่องรอยของการล้อเล่นบนใบหน้าของอินฮยอกเลย ฉันจึงมองเขาด้วยความมึนงงเพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่อินฮยอกกลับหันไปมองข้างหน้าแล้วพูดขึ้น
“เซบินน่ะ…ทั้งเข้าสังคมเก่ง ฉลาด มั่นใจแล้วก็มีความสามารถ คนอื่นก็เลยรู้สึกประทับใจได้ง่ายๆ ตอนเจอกันครั้งแรกใช่ไหมล่ะครับ อีกอย่างเธอก็ทำตัวน่ารักอยู่ตลอด ไม่จู้จี้กับคนที่ตัวเองชอบ แล้วก็มีความเป็นมิตรสูงเลยรู้จักคนกว้างขวางด้วยครับ”
“…”
“แต่ถ้าอยู่นอกสายตาแล้วล่ะก็ คนๆ นั้นจะถูกเธอไล่ต้อนอย่างรุนแรงจนใจแป้วไปเลยครับ ต้องบอกว่าเธอจะทั้งแหย่ ทั้งกระตุ้นตรงนู้นตรงนี้ แล้วทำให้หมดกำลังใจ แถมไม่ย่อท้อจนกระทั่งอีกฝ่ายจะยอมแพ้ดีกว่าไหมนะ”
“นั่นสินะคะ แต่เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับตอนนี้…”
“ถ้าผมบอกว่าเห็นเซบินมานาน เลยเป็นห่วงคุณยอนจินเพราะรู้ถึงนิสัยแบบนั้นของเพื่อน มันพอจะเป็นคำตอบได้ไหมครับ ผมไม่อยากให้คุณยอนจินเจ็บปวดหรอกครับ”
“ทำไม…”
“เพราะผมชอบคุณ”
ฉันอยากถามว่าเพราะอะไรกันแน่ สำหรับเขาแล้ว มันไม่มีเหตุผลต้องทำถึงขนาดนั้นเพียงเพราะเราเจอกันในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนเด็กเลย แต่พอถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เขาก็ตอบกลับมา
“อะไรนะ…”
ชอบฉันงั้นเหรอ การคาดเดาที่ไม่มีทางเป็นไปได้ของยอนเซบิน กลับกลายเป็นความจริงเสียอย่างนั้น ฉันไม่เคยสงสัยแม้แต่นิดเดียวจนถึงตอนนี้ก็ด้วย ไม่สิ ทั้งชีวิตด้วยซ้ำ แต่เขากลับบอกว่าชอบฉัน
ฉันตกใจแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แต่เขามองท่าทางของฉันแล้วอธิบายต่อเสียเฉยๆ
“หมายถึงในฐานะน้องสาวต่างหากล่ะครับ”
พอฉันถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว อินฮยอกก็หัวเราะคิกคัก
“ตกใจมากเลยสินะครับ ถ้าเป็นความจริง ผมก็คงทำอะไรสักอย่างไปแล้วล่ะครับ”
“อะไรกันคะ ถึงจะหยอกเล่น แต่เรื่องแบบนั้น…”
“ถึงตอนนั้นคุณยอนจินจะยังเด็ก แต่ผมน่ะ โตประมาณนึงแล้วนะครับ โตพอจะรู้สถานการณ์ ยอมรับมัน และตัดสินใจตามความตั้งใจของตัวเองได้”
ฉันตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องในอดีต เขากำลังนึกถึงช่วงที่แม่ฉันยังมีชีวิตอยู่และพวกเราได้เจอกัน คนที่ใช้เวลาร่วมกันภายในสถานที่เดียวกันกำลังยอมรับสถานการณ์นั้นด้วยความคิดและสายตาที่แตกต่างกับฉัน ซึ่งการได้รับรู้เรื่องนั้นมันก็ประหลาดไม่น้อย
“เพราะอย่างนั้น ผมถึงรู้ว่าพ่อกำลังมองคุณแม่ของคุณยอนจินด้วยสายตาแบบไหน และในใจผมก็เตรียมพร้อมไว้แล้วด้วยว่า ในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมโอเคนะครับ เพราะผมเกิดมาได้ไม่เท่าไหร่ แม่ของผม ท่านก็จากไปแล้ว เลยโตมาอย่างว้าเหว่กับพ่อแค่สองคน เรียกว่าเป็นความเพ้อฝันน้อยๆ กับการมีครอบครัวใหม่ดีไหมนะ ผมคาดหวังไว้สูงน่ะครับ ถึงจะเจอบางครั้งบางคราว แต่คุณแม่ของคุณยอนจินก็ทั้งสวย ทั้งใจดี ผมเลยชอบ ส่วนคุณยอนจินก็ตัวเล็กน่ารัก ถ้ามาเป็นน้องสาวของผม ผมก็ต้องดูแลคุณให้ดี ผมให้คำมั่นกับตัวเองแบบนั้นเลยนะ จริงๆ ผมอยากมีน้องตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วด้วยครับ”
“…”
“แล้วตอนที่ได้ยินว่าต่อจากนี้จะได้อยู่กับแม่ของคุณยอนจินแล้วก็คุณยอนจิน ผมก็ดีใจจริงๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกตัดการติดต่อไปแบบนั้นน่ะครับ พ่อเองก็ไม่ได้บอกอะไรเลยด้วย แต่หลังจากนั้นผมถึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกท่าน น่าจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ผมคิดด้วยซ้ำว่าคุณยอนจินเองก็น่าจะไม่มีพ่อเหมือนกัน”
แต่ฉันไม่เคยได้ฟังเรื่องอะไรเลย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวคงไม่ได้คุยอะไรกันมากมายสินะ
สำหรับฉัน มันไม่มีแม้แต่เวลาให้ทำความเข้าใจ ให้เลือก แต่ตอนนั้นขณะเจอฉัน ขณะเล่นเป็นเพื่อนฉัน ดูเหมือนเขาจะรู้ทุกอย่างหมดแล้วสินะ ก็เลยปฏิบัติกับฉันอย่างอ่อนโยนเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แบบนั้น
“ตอนแรกผมก็อยากเจอคุณยอนจิน เลยลองรบเร้าพ่อ ลองถามข่าวคราว แต่พอโตขึ้น ผมเองก็ค่อยๆ ลืมคุณยอนจินไปเหมือนกัน ไม่สิ ต้องบอกว่าฝังไว้เป็นความทรงจำในอดีตมากกว่าลืมนะครับ แต่ว่าตอนม. ปลายหรือเปล่านะ จู่ๆ ผมก็สงสัยขึ้นมา เพราะเห็นพ่อใส่สูทสีดำแล้วออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ในวันเดียวกันของทุกๆ ปี ไม่รู้ทำไม แต่พอวันนั้นมาถึงบรรยากาศมันจะแตกต่างกับวันอื่นน่ะครับ”
ในหัวของฉันก็นึกถึงช่อดอกไม้ที่วางอยู่ก่อนเสมอเวลาฉันไปเยี่ยมแม่ คุณลุงไปแต่เช้าเพราะกลัวว่าจะเจอฉัน และวันนั้นที่อินฮยอกพูดถึงคือวันครบรอบเสียชีวิตของแม่นั่นเอง
“หรือว่า…”
ฉันโพล่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองพูดแทรกเขา อินฮยอกที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็เลยหยุดชะงัก ฉันจึงปล่อยให้ท้ายประโยคเลือนหายด้วยความไม่มั่นใจ
อินฮยอกยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางพยักหน้าตอบคำถามเรื่องที่ฉันคาดการณ์ไว้
“วันนั้นผมก็เลยไม่ไปโรงเรียนแล้วแอบตามพ่อไปครับ พอตามไปแล้วก็เห็นโรงเก็บกระดูกโรงหนึ่ง ผมกลัวว่าพ่อจะจับได้เลยหลบอยู่ไกลๆ แล้วหลังจากพ่อออกไปจากตรงนั้น ผมถึงได้ไปตรงที่พ่อเคยยืน แล้วก็ตกใจมากเลยครับ เพราะรูปของผู้เสียชีวิตคือใบหน้าในความทรงจำที่ลืมเลือนไป ผมช็อกมากว่านี่มันอะไรยังไงกันแน่ เลยนึกย้อนกลับไปว่าพ่อเริ่มทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย…”
ฉันยิ้มอย่างขมขื่นกับคำพูดนั้น ส่วนเขาก็มีแววตาเจือความรู้สึกผิดราวกับรู้ความหมายของรอยยิ้มฉัน
“วั้นนั้นพอกลับบ้าน ผมก็เปิดอกพูดกับพ่อ แล้วก็ขอให้ท่านเล่าความจริงครับ ตอนบอกว่าแอบตามไป ก็เหมือนท่านจะสับสนแล้วก็ลำบากใจ แต่พ่อก็ยอมแพ้เล่าให้ฟังว่าวันนั้นมีเรื่องอะไรน่ะครับ คุณยอนจินได้รับความเจ็บปวดขนาดไหน รวมถึงความรู้สึกผิดที่พ่อมีต่อคุณยอนจินด้วยครับ”
จากนั้นเขาก็ยกยิ้มครู่หนึ่งราวกับรู้สึกผิดหน่อยๆ ถึงแม้จะได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว แต่ฉันก็เพียงแค่สับสนเล็กน้อยเท่านั้น เขาพูดเหมือนสารภาพว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ใช้ชีวิตมาโดยไม่ได้สนใจอะไรด้วย
ฉันเลยพยักหน้า
สำหรับอินฮยอก มันก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ลอยผ่านไปสมัยยังเด็กเท่านั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันเองก็ไม่ได้มองว่าเขามีความหมายอย่างยิ่งใหญ่อะไรเหมือนกัน เป็นแค่คนที่เคยเจอกัน แค่ฝังไว้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำเท่านั้น
“ผมค่อยๆ ฝังตัวลงไปในความทรงจำทีละนิดๆ แต่แล้ววันหนึ่ง คุณยอนจินก็ปรากฏตัวขึ้นในฐานะคู่หมั้นของทงอู ตัวแปรที่ทำให้วัยเด็กของผมมีความสุข ต้องบอกว่าอะไรดีนะ คนเราแต่ละคนก็จะมีความทรงจำอันแสนสวยงามที่ตัวเองอยากปกป้อง คนละอย่างสองอย่างใช่ไหมล่ะครับ”
หลังจากฟังเขาสิ่งที่แวบผ่านเข้ามาในหัว คือภาพของพ่อกับแม่ในขณะที่ฉันยังเด็ก ซึ่งตอนนี้มันเลือนรางลงไปแล้ว แล้วก็ช่วงเวลาตอนอยู่กับอินฮยอกและคุณลุง
ร่องรอยของความทรงจำเหล่านั้นที่จางหายไปตามเวลาจนสูญเสียรูปร่าง ทำให้ฉันพยักหน้าอย่างมึนงงโดยไม่รู้ตัว
“สำหรับผม นั่นคือคุณยอนจินครับ”
“คะ?”
“จริงๆ พอฟังแค่ชื่อ ก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณยอนจินจริงๆ นะครับ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไปเจอคุณยอนจินเหมือนถูกชื่อนั้นดึงตัวไป ถึงจะคิดอย่างมีสติว่าไม่มีทางเป็นคุณยอนจิน แต่อีกด้านหนึ่งสัญชาตญาณกระซิบว่าบางทีอาจจะใช่ อัตราความเป็นไปได้มันมีครึ่งๆ เลยนี่ครับ”
อินฮยอกพูดติดตลกเสริมว่า ‘ถึงแม้สุดท้ายเซนส์ของผมจะถูกต้องก็เถอะ เซนส์ของผู้ชายก็พอใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะครับ’
“เซบินไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงที่คุกคามพื้นที่ของตัวเองอยู่เฉยๆ แน่นอน แล้วทงอูก็ไม่มีทางทำตัวดีกับคนที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับเซบินด้วย เพราะรู้ว่าถ้าเข้าไปแทรกกลางความสัมพันธ์ของสองคนนั้น สุดท้ายแล้วก็จะเจอเรื่องเลวร้าย ผมเลยคิดว่าถึงจะเป็นผู้หญิงคนอื่น ก็ไปตักเตือนเขาสักหน่อยเถอะ แต่ถ้าเป็นคุณยอนจินจริงๆ ผมก็อยากปกป้องครับ เจ้าหญิงตัวน้อยๆ ในความทรงจำของผมตอนเด็ก…”
หลังจากมองอินฮยอกพึมพำต่อว่า ‘นี่มันน่าขนลุกเกินไปหรือเปล่านะ’ ราวกับตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศ ฉันก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นบ้าง
“พูดตามตรงว่าฉันสับสนค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรจะบอกกันดีๆ สิคะ มันเป็นการเจอกันครั้งแรกที่แย่จริงๆ แต่พอเป็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกผิดสิคะเนี่ย”
“ก็สมควรเป็นแบบนั้นแหละครับ เพิ่งเจอกันแต่ก็ขึ้นเสียงตักเตือน จริงๆ มันก็มีความอยากแกล้งหน่อยๆ ปะปนอยู่ด้วยล่ะครับ”
คำพูดพร้อมรอยยิ้มเคอะเขินทำให้ฉันก็หัวเราะคิกแล้วพูดอย่างกลั่นแกล้งเล็กน้อย
“นั่นสิ ก็คุณเล่นโผล่มาในทุกๆ เหตุการณ์แล้วเอาแต่พูดทำร้ายจิตใจกัน คำพูดแต่ละคำๆ เนี่ยเหมือนเยาะเย้ย ถากถางฉันเลยนี่นา”
“โอ้โห ผมเดาไว้แล้วก็จริง แต่ดูเหมือนคุณจะแค้นฝังลึกเชียวนะครับเนี่ย”
“ขอบคุณนะคะ”
“หืม?”
“ที่เป็นห่วงน่ะค่ะ ขอบคุณที่จำฉันได้จนถึงตอนนี้ ขอบคุณที่เก็บรักษา ทะนุถนอมความทรงจำเกี่ยวกับฉันไว้อย่างสวยงามด้วยค่ะ แล้วก็…”
ฉันลังเลเล็กน้อยเลยเงียบไป ถึงแม้ว่าจู่ๆ ท่าทางของฉันจะทำให้รู้สึกอึดอัด แต่อินฮยอกก็รออยู่เงียบๆ จนกว่าฉันจะพูดต่อ ไม่สิ เขาดูเหมือนจะงงกับคำพูดเหนือความคาดหมายมากกว่าจะรอฉันต่างหาก