“นั่นคือธุระของลุงเหรอคะ”
“แหม ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้วเลยลองพูดดูน่ะ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ได้สิ แต่จริงๆ ว่าไปแล้ว จะทำงานที่นั่นก็ต้องสัมภาษณ์ ตรวจประวัติกันทุกคนเลยไม่ใช่เหรอ จะใช้คนอยู่แล้ว พาคนรู้จักใกล้ๆ ตัวไปทำงานด้วยก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วสิ”
“พ่อหนูเคร่งครัดในเรื่องนั้นมาก คงน่าจะไม่ได้นะคะ”
“ลุงก็แค่ขอให้เธอลองพูดดูเองนะ”
“ค่ะ หนูรู้ จะลองพูดให้สักครั้งแล้วกันค่ะ แต่อย่าคาดหวังมากเกินนะคะ”
“อืม ขอบใจนะ”
อีกฝ่ายทำสีหน้าไม่พอใจกับคำตอบของฉัน แต่ก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขอบคุณ
“พอเธอพูดแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนความกังวลของลุงจะคลายลงไปได้สักที สบายใจแล้วล่ะ ป้าสะใภ้ของเธอ ก็คงจะดีใจมาก”
หลังจากนั้นก็พูดว่าลูกพี่ลูกน้องฉันหัวดี เดี๋ยวก็พูดว่านิสัยดี มนุษยสัมพันธ์ดี พูดพวกข้อดีต่างๆ ต่อราวกับจะเน้นย้ำกับฉัน จนกระทั่งเห็นเค้าลางว่าเขากำลังจะกลับ
“เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย คงรั้งเด็กที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกไว้นานเกินไปแล้วสิ งั้นเดี๋ยวลุงจะกลับแล้ว เธอก็พักผ่อนนะ”
“ค่ะ กลับได้เลยค่ะ”
“อ้อ เอาเบอร์โทรศัพท์เธอมาสิ”
“คะ? เบอร์เหรอคะ”
“ใช่ เธอบอกว่าไม่ชอบที่ลุงมาหาแบบนี้นี่นา ถ้ามีเบอร์จะโทรมาถามล่วงหน้าว่าเธอจะว่างเมื่อไหร่ อย่างนั้นคงดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
เพราะไม่มีข้ออ้างที่สมควรพอจะปฏิเสธเลย ฉันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากบอกเบอร์โทรศัพท์ตัวเองให้อีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากบันทึกเบอร์ตามที่ฉันบอก ริมฝีปากของลุงก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ
“จริงสิ เธอไม่รับเบอร์แปลกหรือเปล่า งั้นเดี๋ยวลุงโทรไปแล้วเธอก็เซฟไว้แล้วกันนะ ขึ้นหรือยัง”
“ค่ะ”
ฉันรู้สึกไม่ค่อยโอเคหากถูกลุงเรียกไปพบอีกหลังจากนี้ แต่ตอนนี้เพียงแค่กลับไปก็เป็นการปลอบโยนต่อฉันผู้แสนเหนื่อยล้าจิตใจแล้ว
ทว่าขณะที่ฉันเปิดประตูบ้านและกำลังจะส่งลุงกลับ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหางตาก็ทำให้ฉันส่งเสียงโอดครวญออกมา
“ทำไมเวลานี้…”
อีกฝ่ายเองก็คงเดาได้ว่าคนมาใหม่คือใครจากเสียงพึมพำของฉัน ดวงตาของลุงจึงเป็นประกายพร้อมกับเอ่ยถามทันที
“ใครน่ะ หรือว่าสามีเธอเหรอ ว้าว ใช่แน่ๆ พอได้เห็นใกล้ๆ นี่หน้าเหมือนที่เห็นในรูปเลย แต่ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะเนี่ย”
เพราะขายาวๆ เพียงแค่ก้าวไม่กี่ก้าวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าพวกเราไม่รู้ตัว สามีมองใบหน้าลำบากใจของฉันแล้วเบนสายตาไปมองหน้าลุง ก่อนจะหันกลับมามองฉันอีกครั้งก่อนจะถาม
“ใครเหรอ”
“อ้อ ยินดีที่ได้เจอนะ เจอกันแบบนี้ครั้งแรกเลย ผมเป็นลุงของเด็กคนนี้เอง”
“งั้นเหรอครับ ผมคังทงอูครับ”
ลุงยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือออกมาก่อนที่ฉันจะตอบอะไรกลับไปด้วยซ้ำ เป็นการกระทำที่ตั้งใจไม่น้อยแต่สามีกลับจับมืออีกฝ่ายเขย่าเบาๆ อย่างไม่ได้รู้สึกอะไร จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย
“ถ้าเป็นครอบครัวฝ่ายแม่ของคุณ ก็คงเป็นท่านที่เสียไปแล้ว…”
“อ๋อ ใช่ค่ะ”
“ได้เจอกันแบบนี้ อย่างน้อยผมก็ควรต้องเลี้ยงอาหารสักมื้อ…”
“รั้งคนที่กำลังจะกลับ มันเสียมารยาทนะคะ เรื่องอาหารเอาไว้ค่อยทานด้วยกันครั้งหน้าก็ได้ค่ะ”
ฉันรีบขัดคำพูดสามีเพราะกลัวว่าลุงจะพูดอะไรเหลวไหลออกมา พอฉันยิ้มพร้อมกับมองหาความเห็นด้วยจากลุง ซึ่งลุงก็คงสังเกตเห็นท่าทางฝืนใจของฉัน เลยต้องพยักหน้าตามอย่างจำใจแล้วพูดเสริม
“ใช่แล้วล่ะ เมื่อไหร่ก็ได้ ผมโอเคหมด แค่บอกผ่านเด็กคนนี้ ผมก็จะรีบแล่นมาเลย”
คำพูดของลุงทำให้ทงอูหยิบนามบัตรออกมายื่นให้พร้อมกับพูดต่อโดยอัติโนมัติ
“นามบัตรของผมครับ ถ้าคุณเป็นลุงของภรรยา ก็ถือเป็นครอบครัวของผมด้วยเหมือนกัน สะดวกตอนไหนก็ติดต่อมานะครับ”
“โธ่ ยอนจิน ยัยเด็กคนนี้เอาแต่บอกว่าสามีตัวเองงานยุ่ง ไม่ยอมบอกอะไรให้รู้แบบเต็มปากเต็มคำเลย ไม่รู้ว่าทำแบบนี้ก็ได้นะเนี่ย”
คำพูดของลุงทำให้สามีจ้องหน้าฉันก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับคำพูดของอีกฝ่าย
“ขนาดเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน ผมก็เอาแต่พูดว่างานยุ่งเลยดูแลเธอได้ไม่เต็มที่ เธอคงกลัวจะรบกวนงานผมน่ะครับ แต่งานตอนนี้เสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว น่าจะมีเวลามากขึ้นอีกหน่อย เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”
จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นมาอีกราวกับปิดกั้นทางเลือก
“อ้อ แต่ระหว่างประชุมหรือเวลางาน ผมก็รับโทรศัพท์ไม่ได้นะครับ รบกวนเข้าใจจุดนั้นด้วย”
เป็นคำพูดที่เว้นระยะห่างและขีดเส้นไว้อย่างชัดเจน แต่อีกฝ่ายคงตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดเลยทำเพียงแค่พยักหน้าพร้อมกับพูดสนับสนุนว่า ‘แน่นอนสิ แค่คนงานยุ่งสละเวลาให้ถึงขนาดนั้น ก็ดีมากแล้วล่ะ’
***
“ไม่ต้องถึงขนาดให้นามบัตรไปก็ได้นะคะ”
พอปิดประตูเข้ามาในบ้านหลังจากส่งลุงเสร็จเรียบร้อย ฉันก็พูดขึ้นทันที การพูดเน้นย้ำเสียงดังของฉันทำให้เขามองฉันอย่างเกินความคาดหมาย แต่ฉันไม่สามารถซ่อนความขุ่นเคืองใจเอาไว้ได้แล้ว
“แต่ให้ไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันพูดเผื่อไว้ ถ้าลุงโทรมาให้คุณออกไปเจอ แค่ปฏิเสธไปก็พอนะคะ ยังไงคุณก็พูดเพื่อทักทายตามมารยาทอยู่แล้วใช่ไหมละคะ”
ระหว่างที่ล้างแก้วกาแฟของลุงตรงอ่างล้างจาน ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลยไปยืนตรงจุดที่เชื่อมระหว่างห้องครัวกับห้องนั่งเล่นแล้วเอ่ยถามสามีด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย
“จะดื่มอะไรไหมคะ วันนี้อากาศร้อน คุณคงจะคอแห้ง”
“อืม ถ้าหาอะไรให้ดื่มก็จะขอบคุณมากเลย”
“เอาอะไรดีคะ”
“แค่น้ำเย็นก็พอแล้วล่ะ”
ดูจากการลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาว่าน้ำเย็นแล้ว เขาคงไม่รู้ว่าที่บ้านมีเครื่องดื่มอะไรบ้าง ฉันเลยพูดต่อเพราะคิดว่าน่าจะบอกตัวเลือกเขาให้ชัดเจนขึ้นหน่อย
“มีน้ำผลไม้นะคะ กาแฟเย็นหรือชาเย็นก็มีเหมือนกันค่ะ”
“ถ้างั้นผมขอกาแฟ”
“ค่ะ”
ฉันใส่น้ำแข็งลงในแก้วทรงยาวจนเต็ม เมื่อเทกาแฟลงไปก็มีเสียงกระทบกันเบาๆ และเสียงเหมือนฟืนแห้งดังออกมาจากน้ำแข็ง มันดังสะกิดอยู่รอบหูใสกังวานจนฟังแล้วเพลิดเพลิน สดชื่นไปถึงภายในหัวส่งผลให้อารมณ์ฉันดีขึ้นตามไปด้วย
สามีคงแขวนเสื้อนอกไว้เพราะเขาเดินเข้ามาในครัวด้วยการสวมเพียงแค่เชิ้ตขาว ก่อนจะเป็นคนถือกาแฟเย็นแทนฉันแล้ววางมันลงบนโต๊ะ
ฉันตัวแข็งทื่อกับไออุ่นจากเขาที่มาสัมผัสทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นเลยยิ้มพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อคลายความกังวล หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์แล้วก็พูดขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยหรอกค่ะ…ไม่ใช่เรื่องอะไรยุ่งยากสักหน่อย”
“ถ้าเอาแต่สั่งให้คุณทำคนเดียวมากเกินไป ผมก็จะรู้สึกผิดนี่”
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าเขาแล้วเอามือเท้าคางพลางจ้องสามีตัวเอง
“พอมองคุณจริงๆ จังๆ ก็รู้ได้เลยนะคะ ว่าคำว่าได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวเป็นอย่างดีคืออะไร”
“หื้ม?”
“การดูแลเอาใจใส่ผู้หญิง มันซึมอยู่ข้างในตัวคุณเลยค่ะ”
พอฉันพูดยิ้มๆ เขาก็ทำหน้าเหมือนตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ เช่นกัน จากนั้นฉันก็คิดขึ้นมาอย่างไร้สาระว่าเขาเข้ากับกลิ่นกาแฟอย่างน่ากลัว แล้วค่อยๆ พิจารณาใบหน้าของเขาที่กำลังดื่มกาแฟเย็นอย่างละเอียด
จะหน้าเหมือนพ่อไหมนะ ลูกของฉันเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงก็คงต้องเหมือนพ่อมากๆ แน่เลย ไม่ว่าจะมองมุมไหน คังทงอูก็โดดเด่นกว่าคนอื่นเสมอ ไม่มีทางออกมาแย่อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าเพื่ออนาคตล่ะก็ ฉันขอไม่ให้ลูกเหมือนพ่อเขาน่าจะดีกว่า
หรือถ้าเหมือนจริงๆ ก็ขอแค่สันจมูกโด่งหรือหน้าผากเกลี้ยงเกลา แล้วก็เค้าโครงใบหน้าเรียวกับความหัวดี… ใช่ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ
ถ้าดวงตาตราตรึงใจและดูอ่อนโยนต่างกับพ่อที่น่ากลัวจนคนอื่นเข้ามาตีสนิทลำบากก็คงจะดี ส่วนนิสัยถ้าสดใสร่าเริงก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงแม้อาจจะทำอะไรให้เกิดปัญหาบ่อยๆ แต่การใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายความเป็นมนุษย์มากกว่าและน่าสนุกกว่าด้วย
อ้อ อีกอย่าง ถ้าสูงเหมือนพ่อก็น่าจะดีใช่ไหมนะ ช่วงนี้เด็กๆ อ่อนไหวกับเรื่องส่วนสูงมาก ถ้าเป็นไปได้ ตัวสูงไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
“วันนี้…”
“คะ?”
ขณะกำลังเอาใบหน้าในอนาคตของลูกเข้าไปแทนใบหน้าสามีแล้วไตร่ตรองแต่ละส่วนดู เขาก็พูดเกริ่นขึ้นมาจนฉันสะดุ้งเลยย้อนถามกลับ
“ได้ยินว่าวันนี้ครบรอบวันเสียชีวิตของคุณแม่คุณ…”
“อ๋อ ค่ะ”
“ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ใส่ใจเลย ผมรู้มาจากเพื่อนของคุณอีกทีน่ะ”
“ดาฮยอนเหรอคะ”
“เพื่อนคุณบอกว่าคุณไปหาคุณแม่คนเดียว ผมโดนดุว่าเป็นสามีที่ไม่เอาใจใส่ภรรยาด้วย”
“ขอโทษนะคะ ดูท่าดาฮยอนจะพูดอะไรไร้สาระออกไป ฉันขอโทษแทนเธอด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณดาฮยอน ผมก็คงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรแล้วก็ปล่อยผ่านไปเฉยๆ แล้ว แต่ถ้าคุณบอกก่อนผมก็น่าจะดีนะ”
“ฉันคิดแค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญกับคุณเท่าไหร่น่ะค่ะ คุณเองก็งานยุ่งอยู่แล้ว ฉันเลยไม่อยากหาเรื่องให้คุณต้องมาใส่ใจแบบเปล่าประโยชน์ด้วย”
ทว่าริมฝีปากของสามีกลับเหยียดตึง ฉันคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะโกรธเลยมองตาเขา แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเสียใจมากกว่าโกรธ
“แต่ยังไงตอนนี้ผมก็เป็นสามีของคุณไม่ใช่หรือไง”
“เวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน คุณไม่จำเป็นต้องฝืนทำอะไรเกินไปหรอกค่ะ และตอนนี้คุณก็กำลังทำเกินไปอยู่ ฉันละอายใจที่ทำให้คุณต้องมาใส่ใจกับธุระส่วนตัวของฉันน่ะค่ะ”
“คุณไม่จำเป็นต้องละอายใจเลย ถึงผมจะไม่ใช่สามี แต่ผมก็คิดว่าเราสนิทกันระดับหนึ่งนะ หรือผมคิดไปเองคนเดียวงั้นเหรอ”
ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะตัวเองเป็นคนพูดชวนให้เขามาอยู่ด้วยกันในความสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่แรก
“บางครั้งผมก็รู้สึกว่าคุณอยู่ไกลจากผมมากเลยนะ”
“อ๊ะ เรื่องนั้น คือ…”
“ผมรู้ว่าผมเป็นคนทำให้คุณรู้สึกถึงระยะห่าง แต่ทุกครั้งที่มองท่าทีของคุณ ผมก็รู้สึกเสียใจจริงๆ”
“ขอโทษค่ะ”
“เรื่องวันนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่คิดว่ามันเป็นการรบกวนเลย เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ใช่เรื่องคราวนี้ แต่ถ้ามีอะไรจะขอผม แล้วคุณพูดมันออกมาแบบไม่รู้สึกเกรงใจก็คงจะดี”
สามีพูดขณะจ้องมองฉันพร้อมกับรอคำตอบ น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมจนฉันต้องขอโทษออกมา
“ฉันขอโทษค่ะ ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ฉันก็เป็นคนเตรียมวันครบรอบของแม่คนเดียวตลอดเลย แล้วฉันก็สะดวกใจกับการไปคนเดียวมากกว่าด้วย ก็เลยไม่บอกน่ะค่ะ”
“คนเดียวเหรอ”
“ค่ะ พ่องานยุ่งมาก แล้วก็อยู่กับแม่เลี้ยงด้วยนี่คะ”
“แต่ดูเหมือนวันนี้คุณไม่ได้ไปคนเดียวนี่นา”
“อ๋อ ลุงน่ะเหรอคะ บังเอิญหน้าบ้านค่ะ จริงๆ แล้วตั้งแต่แม่เสียไป ก็แทบจะขาดการติดต่อกับเขาไปเลย แต่วันนี้อยู่ๆ ก็ได้เจอเฉยเลยค่ะ”
“ที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อกันเลยเหรอ”
“ค่ะ ตอนแม่ยังอยู่ก็ไม่ได้ติดต่อสนิทสนมกันขนาดนั้นอยู่แล้ว…ยิ่งมาตอนนี้ ฉันก็ยิ่งไม่อยากรู้จัก หรือพบเจออย่างใกล้ชิดเลยค่ะ”
ฉันมองเขาแล้วพูดอย่างชัดเจนเพื่อเน้นย้ำ
“เพราะฉะนั้น ถ้าลุงบอกให้คุณออกไปเจอตามลำพัง ก็ปฏิเสธเลยนะคะ”
น้ำเสียงขอร้องจากฉันทำให้เขามีเศษเสี้ยวหนึ่งของความเคลือบแคลงใจ แต่ก็ยอมทำสีหน้าเหมือนปล่อยผ่านพร้อมพยักหน้ารับ
“ผมไม่รู้ว่าคุณกังวลอะไรอยู่ แต่ผมจะทำตามที่คุณต้องการ ไม่ต้องกังวลนะ”
MANGA DISCUSSION