ถ้าหากวันนี้ฉันไม่ได้บังเอิญมาถึงเร็ว คงจะไม่ได้เจอคุณลุงแน่ๆ แล้วก็คงจะเกลียดชัง คับแค้นใจและระบายความโกรธเหมือนที่พวกญาติๆ เคยรู้สึกกับเขาและแม่…
ทว่าน่าแปลก พอได้เผชิญหน้ากันจริงๆ แล้ว กับอีกฝ่ายที่ทำแค่เพียงพยักหน้าอย่างไม่มีคำแก้ตัวใดๆ มันกลับทำให้ความคับแค้นที่พอกพูนอยู่ภายในใจดูได้สาระขึ้นมาทันที
“ตอนนี้หนูจะพอแล้วค่ะ เวลาที่สิ้นเปลืองไปกับการโทษแม่กับคุณลุง… มันน่าเสียดายมากเลยค่ะ”
“…ยอนจิน”
“หนูไม่ได้ยกโทษให้นะคะ แต่หนูอยากหลุดพ้นจากแม่แล้ว จนถึงตอนนี้ชีวิตของหนูก็ไม่ต่างอะไรกับถูกเงาของแม่บังมาตลอด จุดด่างพร้อยอันน่าอับอายของแม่ตามติดหนูมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วค่ะ หนูจะไม่ใช้ชีวิตอย่างหมดหวังเพราะอดีตของแม่ แล้วก็จะไม่รู้สึกผิดอีกต่อไปค่ะ ชีวิตที่ถูกกลืนเข้าไปในเงาของแม่จะจบลงแบบนี้ ตั้งแต่วันนี้ตัวตนของแม่ข้างในตัวหนูก็จะจางหายไปเหมือนกัน”
“…”
“วันนี้หนูมาที่นี่เพื่อจบทุกอย่างค่ะ”
ใช่ ต้องหลุดพ้นไปให้ได้สิ หลังจากจบชีวิตไปครั้งหนึ่ง พอได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ฉันจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เอาตัวเองไปผูกมัดกับอดีตและก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคต ดังนั้นก็แน่นอนว่าคราวนี้ก็ต้องลืมความรู้สึกนี้ไปให้หมดเหมือนกัน
“เข้าใจแล้วล่ะ ความผิดของพวกผู้ใหญ่ทำให้หนูต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่มาตลอดเลยสินะ ที่ผ่านลุงหลบเลี่ยงหนูมาตลอดเพราะกลัว ไม่อยากรับรู้ความผิดหวังจากหนู วันนั้นลุงไม่ควรหนีเลย ควรยอมรับความโกรธแค้นของหนูแล้วขอให้หนูยกโทษให้ไม่ว่าจะใช้เวลากี่ปีก็ตาม ลุงขอโทษจริงๆ”
ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ใช้ชีวิตหลายสิบปีกับการผูกมัดตัวเองกับอดีต และขณะที่ฉันคลายบ่วงนี้ออกพร้อมเตรียมมุ่งไปสู่อนาคต คนๆ นี้กลับยังโหยหาแม่อยู่แบบเดิม
พอคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกว่าเท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว
“ตอนนี้ลุงคงต้องไปแล้วสินะ”
อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดาย
“จริงๆ หลังจากนี้ลุงมีนัดทานข้าวเที่ยงกับลูกชาย หนูจำได้หรือเปล่า พวกหนูเป็นพี่ชายน้องสาวที่สนิทกันมากเลย”
“เรื่องตอนนั้นหนูจำไม่ค่อยได้นักหรอกค่ะ”
ฉันตอบนิ่งๆ เพราะมันไม่ใช่การโกหกอะไรเลย
“อย่างนั้นเหรอ”
“ถ้างั้นก็กลับดีๆ นะคะ”
“ลุงพูดเผื่อไว้นะ เผื่อมีเวลา หนูอยากจะไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม”
“คะ? ไม่ดีกว่าค่ะ หนูไม่ควรเข้าไปแทรกเวลาครอบครัว แถมไม่ได้นัดล่วงหน้าไว้ด้วย”
“เจ้าลูกชายน่ะ ถ้าได้เจอหนูก็คงจะดีใจมาก จริงๆ หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงหนูมากเลย เพราะสำหรับเจ้าเด็กคนนั้น หนูไม่ต่างอะไรกับน้องสาวแท้ๆ เลยล่ะ”
“ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หนูอาจจะมีธุระ ลุงคงดันทุรังเกินไป”
ฉันทิ้งช่วงเงียบครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับคุณลุงที่ทำสีหน้าเสียดาย
“ถ้าครั้งหน้ามีเวลาก็มาทานข้าวด้วยกันสักครั้งก็ได้ค่ะ”
“งั้นเหรอ ได้สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีมากเลย”
“ว่างช่วงไหนเหรอคะ”
“ถ้าเป็นเวลาที่หนูสะดวก ลุงก็ได้หมดแหละ”
“หนูก็ได้หมดเหมือนกันค่ะ”
ท่าทางตอบกลับแบบเรียบๆ คงจะทำให้เขารู้สึกว่าฉันพูดตามมารยาท ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม หลังจากเห็นการสงวนท่าทีของอีกฝ่าย
“เบอร์โทรศัพท์คุณลุงเบอร์อะไรคะ”
จากนั้นฉันก็กดเบอร์ตามคำบอกแล้วกดปุ่มโทรออก คุณลุงมองฉันกดโทรศัพท์แต่กลับมีท่าทีสับสนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้น
หลังจากเห็นคุณลุงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมา ฉันก็กดปุ่มตัดสายก่อนที่เขาจะรับ ตามด้วยการเขย่าโทรศัพท์มือถือตรงหน้าเขาเบาๆ แล้วพูดกับคุณลุงที่มองฉันอย่างงุนงง
“โทรมาเบอร์นั้นก็ได้ค่ะ”
“…ขอบใจนะ”
“คุณลุงกลับไปก่อนก็ได้นะคะ หนูจะไปทักทายแม่สักหน่อย”
“อืม ลูกสาวมาหาหลังจากรอมาตั้งนานนี่นะ ถ้ารู้ว่าลุงรั้งหนูไว้นานขนาดนี้ แม่หนูจะต้องโกรธแน่”
คำว่า ‘ไม่หรอกมั้งคะ’ ขึ้นมาจนถึงลำคอ แต่ฉันกลับหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าแทนที่จะพูดออกไป
***
ฉันทอดสายตามองช่อดอกไม้ที่ถูกวางลงตรงพื้นหินอ่อนด้านหน้าแผ่นจารึกชื่อผู้ตาย จากนั้นก็เงยหน้ามองภาพของแม่ก่อนจะพูดขึ้น
“ตอนนี้แม่ก็เป็นคุณยายแล้วนะ ถึงในรูปแม่จะดูสาวขนาดนี้ก็เถอะ”
ถึงแม้จะเป็นคำที่พูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เนื้อหามันกลับเข้ามาสัมผัสภายในใจ จากรูปถึงแม้แม่จะอายุสามสิบต้นๆ แต่ดูยังไงก็เหมือนคนอายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น การเรียกคนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ขนาดนั้นว่าคุณยาย ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกขมขื่นแล้วก็น่าขำไปพร้อมๆ กันจนต้องแค่นหัวเราะออกมา
“แม่ต้องขอบคุณหลานชายแม่นะ ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ หนูคงโทษแม่ไปตลอดชีวิตแน่ๆ”
ยิ่งพูด ร่องรอยของรอยยิ้มก็ยิ่งหายไป รู้ตัวอีกทีฉันก็พูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เมื่อกี้แม่ได้ยินที่หนูคุยกับคุณลุงหมดแล้วใช่ไหม ปกติถ้ามาที่นี่ หนูก็เอาแต่พูดระบายความโกรธแค้นว่าไม่ยกโทษให้แม่แล้วกลับไปตลอดเลย… แต่คราวนี้หนูจะไม่เก็บความรู้สึกที่ไม่ดีกับแม่ไว้อีกแม้แต่นิดเดียว หนูจะปล่อยมันไว้ที่นี่แหละ หนูไม่ได้ตัดสายสัมพันธ์แม่ลูกนะ แต่หนูแค่ตัดสินใจว่าจะไม่หันหลังกลับไปมองอดีตที่แม่เหลือทิ้งไว้อีกแล้ว”
จริงๆ แล้วมากกว่าการตัดขาดอดีตเกี่ยวกับแม่ ต้องบอกว่าตัดขาดตัวฉันในอดีตผู้โง่เขลาที่ถูกสามีขอหย่าและจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์น่าจะถูกกว่า
“เพราะตอนนี้ลูกเป็นอนาคตของหนู แล้วก็เป็นโลกทั้งใบของหนูด้วย”
ฉันลูบท้องไปมาอย่างเป็นนิสัย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดต่อ
“ถ้าหากแม่เลือกคุณลุงเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่แค่เพราะอยากหลุดพ้นจากบ้านหลังนั้น ถ้าสำหรับแม่แล้ว คุณลุงคือจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่หนู… ถึงตัวเลือกนั้นจะผิดศีลธรรมและเห็นแก่ตัวแค่ไหน แต่ก็ควรได้รับการยกโทษสักนิดสินะ”
พอมาเจออีกฝ่ายแล้วฉันถึงได้รู้ สัมผัสความรู้สึกได้จากแววตาแฝงความรักที่ไม่จืดจางลงไปเลยของคุณลุง แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว แต่เขาก็ยังรักแม่ด้วยใจจริง
นั่นเป็นความรู้สึกที่ตัวฉันในอดีตปรารถนา
ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมาตลอด ใช้ชีวิตด้วยการทำตามความต้องการของคนอื่นมายาวนานเพราะอยากได้รับความรักและการยอมรับ แต่ในความเป็นจริง ฉันกลับไม่เคยได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็ต้องค่อยๆ ดิ้นรนจนอ่อนล้า
ฉันพูดออกไปอย่างอวดดีว่าในฐานะแม่แล้ว ฉันไม่เข้าใจการกระทำของแม่เลย แต่ในความเป็นจริงฉันก็แค่เก่งแต่ปาก เพราะในอดีต ตัวฉันเองก็เคยทอดทิ้งลูกเพื่อความรักที่มีต่อสามีเช่นกัน
ถึงแม้ว่าการแท้งลูกระหว่างตั้งท้องจะไม่ใช่ความตั้งใจของฉัน แต่มันก็เป็นความจริงที่ตอนนั้นฉันไม่ได้รู้สึกรักและผูกพันกับลูกเลยแม้แต่น้อย บางทีตัวฉันในตอนนั้นกับตอนนี้อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยก็ได้
เพราะฉันยังหลงเหลือนิสัยพื้นฐานที่มีชีวิตอยู่โดยขาดแคลนความรักและปรารถนาความรักจากคนอื่นตลอดเวลา ถ้าจะมีสิ่งที่ต่างกันก็คงแค่เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไปเท่านั้น
ความรักในตอนนั้นเป็นรักข้างเดียวอย่างเปล่าประโยชน์ที่ปลิวกระจัดกระจายไปในอากาศเท่านั้น แต่ความรักในตอนนี้ ยิ่งฉันทุ่มเทมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งกลับมาหาฉันมากเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าฉันต้องการอะไรบางอย่างจากลูก เพียงแค่การกระทำที่เปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อลูก มันกลายเป็นความยินดีแล้วย้อนกลับมาหาฉันแค่นั้นเอง
ถ้าคุณลุงเป็นการมีอยู่ที่เหมือนโลกทั้งใบของแม่ เหมือนที่ลูกเป็นสำหรับฉัน ฉันก็ไม่สามารถต่อว่าแม่ได้อีกต่อไปแล้วไม่ใช่เหรอ
***
ช่วงเวลาที่เดินทางกลับบ้าน ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบดบังพอดี อากาศจึงเย็นสบายต่างกับที่คาดไว้ว่าแดดน่าจะร้อน
ในฤดูร้อน แสงแดดมักจะสาดส่องเข้ามาถึงบริเวณที่นั่งคนขับเสมอ เพราะฉะนั้นมันรู้สึกร้อนเป็นปกติ แต่ในใจฉันก็คิดว่าโชคดีที่ผิวถูกแดดเผาบ้าง
ทว่าเมื่อเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถ ก็มองเห็นเงาของคนๆ หนึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าตึก ยิ่งเข้าไปใกล้ เค้าโครงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
‘คิดดูแล้วก็ประมาณช่วงนี้หรือเปล่านะ’
…ที่พี่ชายของแม่มาหาฉัน
จริงๆ เหตุผลที่เขามาหาฉันมันชัดเจนทีเดียว ขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ เราเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งถึงขนาดนับนิ้วได้ แต่ทุกครั้งจุดประสงค์ของลุงก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่เสมอ
เงินและการสนับสนุน
เขาจะมาเวลาตั้งใจเริ่มทำธุรกิจ หรือมีหนี้สินเพราะธุรกิจล้มละลาย หรือไม่ก็มาขอการสนับสนุนจากพ่อให้ใครก็ไม่รู้ได้เข้าทำงานเท่านั้น
แต่พอแม่เสียแล้วเรื่องราวทุกอย่างเปิดเผยขึ้น ลุงเองก็ดูเหมือนจะใช้ชีวิตลำบากขึ้นด้วย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าตัดความสัมพันธ์กันทันที ดังนั้นพอแม่จากไป หลานเพียงคนเดียวอย่างฉันจึงกลายเป็นข้ออ้างบังหน้า
แต่พวกผู้ใหญ่ที่ยังคงโกรธเคืองแม่ไม่หายก็ไม่มีทางรับฟังคำขอของลุง และพ่อเองก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจจัดการอะไรง่ายๆ เพราะความรัก
และหลังจากนั้นเมื่อคิดได้ว่าตัวเองไม่มีทางได้อะไรไปมากกว่านี้ การมาเยือนของลุงก็ค่อยๆ เว้นห่างไปจนความสัมพันธ์ห่างหายไปอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
แต่ดูเหมือนว่าพอข่าวการแต่งงานของฉันแพร่กระจายออกไปก็คงจะไปเข้าหูลุงเข้า และจำได้ว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เคยมาหากันถึงเรือนหอโดยไม่รู้ว่ารู้จักที่นี่ได้ยังไง
พอมีลางว่าบางทีครั้งนี้เขาก็อาจจะพูดเหมือนตอนนั้น ฉันจึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
พอคิดว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วหันหลังหนีออกไปเลยดีไหม ลุงคงจะเห็นฉันแล้ว เพราะเขาทำท่าทางโบกไม้โบกมือมาทางนี้
ทันทีที่ฉันจอดรถอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาก็พุ่งตัวเข้ามาตรงหน้าประตูฝั่งคนขับอย่างไร้ความอดทนพร้อมกับมองส่องเข้ามาในรถและเคาะหน้าต่างสองครั้ง
ใบหน้ายิ้มแพรวพรายดูเสแสร้งสิ้นดี จนส่งผลให้ความหงุดหงิดของฉันพลุ่งพล่านขึ้นมา
ตลอดเวลาที่เดินเข้าไปในตึกแล้วขึ้นลิฟต์จนกระทั่งถึงหน้าบ้าน อีกฝ่ายก็ตีหน้าตายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แทรกตัวพรวดเข้าไปทันทีที่ฉันเปิดประตูโดยไม่มีจังหวะให้พูดอะไรทั้งนั้น ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความประทับใจ
“โอ้โห อยู่บ้านดีจังนะ”
ท่าทางมองปราดรอบบ้านพร้อมกับพูดว่า ‘ปกติบ้านแบบนี้มันราคาสักเท่าไหร่กันนะ’ ราวกับกำลังเปลี่ยนบ้านหลังนี้ให้เป็นจำนวนเงินที่ตัวเองสามารถหยิบยืมได้ไม่มีผิด
ฉันเลยเอ่ยถามโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความละโมบของอีกฝ่าย
“มาทำไมเหรอคะ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ลุงเพิ่งได้ยินข่าวว่าเธอแต่งงานน่ะสิ อยากรู้ว่าอยู่กันยังไงด้วย แล้วก็ตั้งใจจะมาดูบ้านเธอด้วยไงล่ะ”
“เดี๋ยวหนูเอากาแฟมาให้สักแก้ว ดื่มแล้วค่อยไปแล้วกันนะคะ”
พอฉันชงกาแฟอย่างลวกๆ ไม่ใส่ใจเสร็จแล้วยกออกมาให้ ลุงที่กำลังใช้รีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไล่ดูนู่นดูนี่ก็รีบกดปุ่มปิดมันแล้วรับกาแฟไป
MANGA DISCUSSION