1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 5-2 การขัดขวางอย่างโหดร้าย
“ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอก มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ”
“เรื่องจะคุยเหรอคะ”
“ขอโทษนะ หมายถึงเรื่องในครั้งนี้ ถึงจะมากันจนถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ผมก็ควรจะต้องปฏิเสธให้หนักแน่นกว่านี้สักหน่อย”
ตอนเห็นเขา เหมือนเขาเพิ่งจะเดินเข้ามาก็เลยคิดว่าคงไม่มีทางได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับดาฮยอนหรอก แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ดี พอเขาพูดเรื่องอื่นออกมา ฉันเลยรู้สึกวางใจ
“ดูเหมือนช่วงนี้จะมีแต่เรื่องที่ต้องขอโทษคุณ”
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันรู้นิสัยคุณพัคอินฮยอกอยู่แล้ว ยังไงเขาก็ต้องดึงดันเข้ามาในบ้านให้ได้แน่ๆ ปัญหาก็คือเราไล่เพื่อนๆ ที่มาหากันถึงหน้าบ้านไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ แต่ฉันแค่ตกใจที่คุณเซบินมาด้วยเฉยๆ ค่ะ”
“ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ เจ้านั่นบังคับดึงตัวพวกเพื่อนๆ สมัยเรียนมาบอกว่าให้มาเที่ยวบ้านใหม่กัน…ยังไงก็เถอะ เดี๋ยวผมจะเตือนมัน ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”
“จะไม่เป็นไรเหรอคะ แต่ยังไงก็คงไม่มีเรื่องมากันอีกครั้งอยู่แล้วมั้งคะ”
หลังจากนี้ก็น่าจะไม่มีข้ออ้างทำมาแบบนี้แล้ว เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าปล่อยๆ ไปก็น่าจะไม่เป็นไร หมายถึงแค่ไม่ทำอะไรเกินคาดก็พอ ฉันนึกถึงความเป็นไปได้ก่อนจะพูดต่อ
“อ้อ แต่ก็ช่วยเตือนคุณพัคอินฮยอกให้หน่อยก็ดีนะคะ”
ฉันพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อมองดวงตาของเขาขณะให้คำยืนยัน
“อะไรกัน สงสัยว่ามัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ไม่ยอมออกมาสักทีก็เลยมาตาม ทั้งสองคนกำลังนินทาผมอยู่เหรอครับ”
“ค่ะ”
ฉันตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่คิดโกหก
“คงไม่ได้ต่อว่าผมอยู่ใช่ไหมครับ”
ท่าทางที่พูดอย่างสบายใจ ถึงแม้จะรับรู้ผ่านบรรยากาศว่าเรื่องเป็นยังไงได้คร่าวๆ ดูน่ารังเกียจจริงๆ
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันว่าคุณไปแล้วล่ะค่ะ”
“หืม?”
พอฉันตอบกลับ เขาก็ทำสีหน้าสับสนเหมือนไม่คิดว่าฉันจะยอมรับความจริงออกมาแบบนั้น ส่วนสามีก็มองท่าทางของเพื่อนตัวเองแล้วหัวเราะสั้นๆ
“ใช่ ด่านายไปนิดหน่อย โผล่หน้ามากะทันหันแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่บอกกันก่อนได้ยังไง ฉันก็เกือบต้องฟังเธอบ่นเพราะนายเนี่ย”
“ถูกเมียบ่นหรือไง”
“เฮ้อ ใช่สิ ปกติดูบอบบาง แต่ถ้าโกรธก็น่ากลัวมากเลยล่ะ”
ท่าทางของสามีที่พูดตอบโต้สนทนากับอินฮยอกดูผ่อนคลายกว่าปกติ ฉันคิดว่าภาพลักษณ์ของทั้งคู่เวลาอยู่ด้วยกันมันดูเพลิดเพลินและสบายๆ ดีจริงๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะจู่ๆ พวกเขาก็พูดถึงฉันขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันไปโกรธคุณตอนไหนกันคะ ที่บอกเมียบ่นเนี่ย…!”
“ดูเหมือนจะโกรธจริงๆ แฮะ จากนี้ไปคงต้องขออนุญาตคุณยอนจินก่อน แล้วค่อยมาแล้วล่ะครับ”
“…น่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ”
ยังไงอีกไม่กี่เดือน ที่นี่ก็จะไม่ใช่เรือนหออีกต่อไป คงมาหากันแบบนี้อีกครั้งไม่ได้แล้ว
“นั่นหมายความว่าอย่ามาอีกครั้งหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ ทำตามที่คุณสบายใจเถอะค่ะ”
เขาทำหน้าแสดงความยินดีและตอบรับคำพูดของฉัน
“ถ้างั้นผมก็จะไม่ปฏิเสธนะครับ”
“น่าเกลียดจริงๆ คุณทงอู ปกติคุณอินฮยอกทำตัวแบบนี้กับคนอื่นด้วยหรือเปล่าคะ”
คงรู้ว่าไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำที่บอกให้เขาฟัง สามีจึงเพียงแค่หัวเราะหึๆ แล้วมองดูพวกเรา
ก่อนจะมีเสียงเรียกพวกเราว่า ‘ทำอะไรกันอยู่คะ เตรียมของเสร็จแล้ว รีบเข้ามาได้แล้วค่ะ!’ ดังมาจากทางฝั่งห้องนั่งเล่น
“มาเที่ยวบ้านใหม่แท้ๆ แต่เจ้าของบ้านดันอยู่ตรงนี้กันหมด เลยดูวุ่นวายหน่อยๆ นะครับ”
“แค่เก็บอันนี้ก็เสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นคุณทงอูไปก่อนเถอะค่ะ”
เมื่อเขาเดินไปออก ฉันก็หยิบหม้อที่วางไว้กลางโต๊ะมาถือ
ทันใดนั้น อินฮยอกที่ยังอยู่ตรงนี้ก็ชำเลืองมองก่อนจะทำเป็นใช้จมูกดมกลิ่นฟุดฟิด
“ดูเหมือนจะเป็นซุปกิมจินะครับ”
“ค่ะ กิมจิหมักเข้าเนื้อพอดีก็เลยลองต้มดูน่ะค่ะ”
“ใส่อะไรบ้างน่ะครับ”
“เนื้อหมู…”
“คิดแล้วเชียว ผมคิดว่ากลิ่นที่ฟุ้งขึ้นมาน่าจะมีเนื้อหมูอยู่ด้วยพอดีน่ะครับ”
“รู้ได้ยังไงคะ”
ฉันย้อนถามกลับก่อนจะรีบปิดปาก รู้ว่ามันเป็นการพูดผ่านๆ เพื่อให้ตรงกับเรื่องที่ฉันพูด แต่ตัวเองกลับหลงกลถามเขาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นก็เห็นว่าเขาจงใจแสดงออกอย่างตื่นเต้นจนเกินเหตุเพื่อหยอกล้อว่าในที่สุดฉันก็ให้ความสนใจกับเขา
แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงนิ่งเงียบแล้วมองอย่างแปลกใจแทน หัวใจของฉันดิ่งลงเพราะฉันรู้ว่าดวงตาคู่นั้นมีความหมายว่าอะไร
นั่น…เป็นดวงตาที่กำลังคะนึงความทรงจำผ่านตัวฉัน
“ผมชอบซุปกิมจิที่ต้มกับหมูจริงๆ นะครับ”
“…”
“แต่ไม่ว่าจะทำกินเองหรือซื้อกินข้างนอก รสชาติก็ไม่เหมือนซุปที่เคยกินตอนเด็กๆ เลยครับ”
ก่อนจะพึมพำว่า ‘เพราะคนทำคนละคนกันหรือเปล่านะ’ แล้วพูดต่อเหมือนเพิ่งนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“ตอนนี้คนอื่นคงกำลังทานอาหารอยู่นะครับ”
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”
“ถ้างั้นเอาอันนี้ไปทานด้วยเถอะครับ”
“คะ?”
“จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ แต่แปลก พอเห็นอาหารที่คุณยอนจินทำแล้วน้ำลายไหลเฉยเลยครับ ถ้าไม่ได้กินตอนนี้ก็คงจะเอาแต่นึกถึงซ้ำๆ แน่”
“มันก็ได้แหละค่ะ แต่…พวกคุณซื้ออาหารมาแล้ว ถ้าเอาอันนี้ออกไปด้วยมันไม่ยังไงๆ หน่อยเหรอคะ”
“อุตส่าห์ทำอย่างสุดความสามารถขนาดนี้ น่าเสียดายออกนะครับ แต่ยังไงพวกนั้นก็เป็นอาหารที่ซื้อมาแกล้มเหล้าอยู่แล้ว ถึงจะเอาซุปกิมจิไปร่วมวงด้วย ก็ไม่มีอะไรแปลกหรอกครับ”
“งั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวอุ่น…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพิ่งทำเสร็จไม่นานเท่าไหร่นี่นา กินแบบอุ่นพอดีๆ ดีกว่ากินร้อนๆ นะครับ”
เขาพูดแล้วดึงหม้อจากฉันไปถือเอง ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางห้องนั่งเล่น
“ทุกคนกำลังรออยู่เลยค่ะ ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย”
เซบินนั่งอยู่ข้างทงอูพร้อมกับทำไม้ทำมือไปทางที่นั่งว่างเยื้องๆ กันฝั่งตรงข้าม ท่าทางของเธอทำให้ฉันกล้ำกลืนลมหายใจเอาไว้แล้วเดินไปนั่งตรงนั้น
แก้วสำหรับใช้แล้วทิ้งที่เต็มไปด้วยเบียร์ถูกส่งมาให้ ฉันจึงรับมันมาถือแล้วมองเธอ
“แก้วกระดาษน่าจะไม่ยุ่งยากกับการล้างเก็บทีหลังน่ะค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ทุกคน แก้วแรกวันช็อตไหม”
เธอพูดพร้อมยิ้มอย่างเย้าหยอกก่อนจะยกแก้วแรกดื่มจนหมด ฉันเองก็ยกแก้วขึ้นแนบปากตามพวกเขาแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
เป็นเพราะฉันดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่งด้วยก็จริง แต่ก็นึกถึงลูกขึ้นมาชั่วขณะด้วยความกังวลว่าดื่มเหล้าขณะท้องน่าจะไม่ดี
“อ๊ะ หรือว่าดื่มเหล้าไม่ได้หรือเปล่าคะ”
“ค่ะ ฉันดื่มเหล้าไม่เก่งเท่าไหร่ค่ะ”
ตอนฉลองขึ้นบ้านใหม่ก่อนหน้านี้ ฉันก็แก้ตัวและปฏิเสธโดยใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผล แล้วก็หนีไปหลบอยู่ในครัวโดยอ้างว่าจะทำกับแกล้มเพิ่มในบางครั้งที่พวกเขารบเร้าให้ดื่ม
ฉันรู้สึกได้ว่าดาฮยอนมองฉันแบบแปลกๆ แต่ฉันก็ไม่สนใจ ดูเหมือนดาฮยอนจะคิดว่าฉันคงไม่อยากดื่มเหล้าที่ผู้หญิงคนนั้นรินให้ แต่ก็เลิกให้ความสนใจไป
“เอามานี่สิ”
สามีมองอยู่เลยเอาแก้วเหล้าของฉันไปดื่มแทน
“นี่! ทงอู ทำไมนายถึงดื่มแก้วนั้นล่ะ”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องบังคับให้คนดื่มเหล้าไม่ได้ดื่มเลยนี่ ดูจากงานขึ้นบ้านใหม่ครั้งก่อน เธอก็น่าจะดื่มไม่ได้สักแก้วเลยด้วยซ้ำ”
เขาคงจำท่าทางแสนลำบากของฉันตอนนั้นได้ แค่การพูดความจริงง่ายๆ ว่าฉันดื่มเหล้าไม่ได้ แต่เซบินกลับทำหน้าบึ้งนิดหน่อยราวกับไม่ชอบใจก่อนจะอำพรางสีหน้าของตัวเอง
“ฉันไม่ได้คิดจะคะยั้นคะยอให้ดื่มสักหน่อยนี่นา ว่าแต่ทำยังไงดีล่ะคะ ไม่ได้ซื้อเครื่องดื่มอย่างอื่นมาเลยด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ มีน้ำผลไม้อยู่ เดี๋ยวฉันดื่มน้ำผลไม้ก็ได้ ฉันคงไม่ได้ทำลายบรรยากาศหรอกใช่ไหมคะ”
“พูดตามตรง ฉันก็ไม่อยากบังคับให้คนไม่ดื่ม ดื่มเหมือนกันค่ะ ถ้าเกิดดื่มไม่ได้จริงๆ ดื่มมันเข้าไปแล้วเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาจะทำยังไง งานเลี้ยงของที่ทำงานก็ไม่ใช่ ไม่มีคนหยาบคายคะยั้นคะยอฝืนใจคนที่บอกว่าไม่ดื่มหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะคะ”
เธอพูดแบบนั้นกับฉัน จากนั้นก็มองแต่ละคนเริ่มดื่มตามความเร็วของตัวเองแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นึกดูแล้วก็คิดถึงตอนนั้นนะ ตอนพวกเราเรียนมหาวิทยาลัย จำไม่ได้ว่าทำไม แต่มีเด็กถูกรุ่นพี่เขม่นอยู่คนหนึ่งค่ะ มีอยู่ครั้งนึงพวกรุ่นพี่รบเร้าให้เด็กคนนั้นกินเหล้าไม่หยุด แกล้งเล่นก็จริงแต่เด็กที่โดนทำแบบนั้นดูเหมือนจะทรมานสุดๆ ไปเลย ฉันก็เลยแย่งมาดื่มเอง แต่พวกรุ่นพี่ก็ทำท่าเหมือนแบบ ‘เฮ้ย เห็นเด็กนั่นไหม ทำตัวกร่างพอตัวเลยนะ’ ด้วยล่ะค่ะ”
สามีกับอินฮยอกทำหน้าเหมือนรู้ว่าเป็นเรื่องตอนไหนเพราะคำพูดของเธอ
“หลังจากนั้นพวกรุ่นพี่คงรู้สึกว่าฉันอวดดีก็เลยสั่งเพิ่มเป็นเทน้ำเทท่า แล้วก็ให้ฉันดื่มแล้วดื่มอีก…แต่ฉันไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด บรรยากาศเลยพลอยแย่ไปตามกันด้วย ทุกคนพูดอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่ชำเลืองมอง แต่ตอนนั้นทงอูก็ก้าวออกมาค่ะ แล้วก็พูดเหมือนที่พูดกับคุณยอนจินเมื่อกี้เลย”
เซบินยกยิ้ม ฉันรับรู้ทันทีว่าทำไมเธอถึงเอาเรื่องนี้มาพูด คงอยากพูดกับฉันว่า ‘เธอไม่ได้พิเศษอยู่คนเดียวหรอกนะ’
“ตอนนั้นเขาพูดว่าอะไรนะ ฉันเมามากก็เลยจำไม่ค่อยได้… เหมือนจะพูดห้ามไม่ให้ฝืนใจคนไม่ชอบให้ดื่มน่ะค่ะ แล้วก็ถามว่ากำลังทำเรื่องบ้าอะไรอยู่ด้วย ตอนนั้นทงอูน่ากลัวมาก ตอนแรกพวกรุ่นพี่ก็ตั้งใจจะเถียงกลับ แต่คงรู้สึกกดดันเลยพูดเบาๆ ว่าแค่หยอกเล่น เรื่องราวก็เลยผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นค่ะ ตั้งแต่นั้นมา คนที่อยากดื่มก็ดื่ม คนที่ไม่อยากก็ไม่ดื่ม ชวนให้ดื่มเหล้าก็จริง แต่ก็ไม่ได้บังคับให้ดื่มเหมือนก่อนหน้านั้นแล้วค่ะ”
เซบินหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ หันไปมองสามีฉัน
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่าอยากรู้จักทงอูค่ะ รู้สึกว่าท่าทีกล้าหาญโดยไม่ยึดติดว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ดูเท่มากเลยล่ะค่ะ แต่พอได้รู้จักกัน ทงอูก็บอกว่าวันนั้นเขาก็มองฉันแล้วคิดแบบเดียวกันค่ะ”
ท่าทางอมยิ้มพร้อมกับเล่าเรื่องอดีตด้วยแววตาเหม่อลอยแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขา
สีหน้าของเธอเหมือนกำลังบอกว่า ฉันจะเอาชนะสายสัมพันธ์อันยาวนานและได้รับความรักมาตลอดจนถึงตอนนี้ได้เหรอ ฉันจึงตอบกลับสีหน้านั้นด้วยรอยยิ้ม
“คุณสองคนมีความกล้าหาญที่ยอดเยี่ยมทั้งคู่เลยนะคะเนี่ย หายากที่คนปกติจะกล้าพูดความรู้สึกของตัวเองกับคนตำแหน่งสูงกว่าอย่างมั่นใจ น่านับถือจังนะคะ”
“แหม พูดแบบนั้น ฉันก็เขินสิคะ”
จากนั้นยอนเซบินก็เอาเรื่องตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยขึ้นมาพูดคุยสนทนาโดยเริ่มต้นประโยคว่า ‘อ้อจริงสิ มีเรื่องแบบนี้ด้วยนะ…’
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคังทงอูเกือบทั้งหมด และอินฮยอกที่อยู่ด้วยกันมาในช่วงมหาวิทยาลัยเองก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อบทสนทนาด้วยเช่นกัน ส่วนมากเซบินจะเป็นคนเริ่มเล่าเรื่องและพวกเพื่อนๆ ก็พูดสนับสนุน อินฮยอกก็พูดเสริมบ้างเป็นครั้งคราว
ฉันกับดาฮยอนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่เคยเกิดขึ้นของพวกเขาจึงหลุดออกมาจากวงสนทนาโดยปริยาย แล้วก็ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบคำถามที่ถามราวกับต้องการให้เห็นดีเห็นชอบด้วยเท่านั้น
สามีก็คงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศเหมือนถูกทอดทิ้ง เขาเลยพูดตัดบทสนทนา
“เอาแต่พูดเรื่องพวกเราเยอะเกินไปหน่อย คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดีออก ได้รู้เรื่องราวในอดีตของคุณด้วย”