“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
“ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ คุณพ่อ คุณแม่”
พอฉันบอกลาต่อจากสามี คุณพ่อสามีที่ไม่ได้ตั้งใจฟังคำบอกลาของลูกชายเลยก็พยักหน้ารับ
“อืม กลับกันดีๆ ระมัดระวังด้วยล่ะ”
ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าไม่แยแส แต่ทงอูก็เหมือนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
“ทงอู ถ้าแกยังทำเรื่องแบบนี้อีกครั้ง ฉันจะขีดชื่อแกออกจากครอบครัวซะ รู้เอาไว้ด้วย อย่าฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบมีสองครอบครัว ฉันกลัวว่าลูกสะใภ้จะไม่สะดวกใจก็เลยเตรียมบ้านอีกหลังแยกไว้ให้ แต่อย่าคิดว่าแยกไปอยู่ที่นั่นแล้วฉันจะไม่รู้นะ ฉันจะจับตาดูแกไว้!”
ฉันทอดสายตามองท่าทางของคุณพ่อที่ตักเตือนลูกชายตัวเองอย่างเคร่งครัดโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ
ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตแต่งงาน คุณพ่อปฏิบัติต่อฉันอย่างใจดีเสมอ แต่กับสามีแล้ว ท่านไม่เคยแสดงให้เห็นภาพลักษณ์อื่นเลย นอกจากความเข้มงวดและไม่แยแส
เพราะอย่างนั้นฉันเคยคิดว่าบางทีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายอาจจะไม่ดีอยู่แล้ว เหมือนกับความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อตัวเอง
แต่หลังจากนั้นก็ได้รู้ว่าความเข้มงวดกับความไม่รักมันต่างกัน ตอนนี้คุณพ่อโกรธสามีอยู่ก็จริง แต่ก็สั่งสอนเพราะความรักต่อลูกชายเท่านั้น แล้วฉันก็รู้ว่าที่ท่านทำตัวเหมือนกับลำเอียงมาทางฉัน ก็เพราะไม่อยากทำให้ฉันโกรธเฉยๆ
เพราะฉันรู้ว่ายังไงสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงอยู่ข้างลูกชายของตัวเองอยู่ดี ฉันจึงล้มเลิกความอดทนแล้วยอมรับการแจ้งหย่าของเขาเมื่อครั้งนั้น
“ลูกสะใภ้ ถ้าหากทงอูทำให้เป็นกังวลอีกล่ะก็ รีบบอกมาทันทีเลยนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะคุณพ่อ ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“อืม ถึงฉันจะเชื่อเจ้าทงอูไม่ลง แต่จะเชื่อในตัวเธอแล้วกัน”
เมื่อก่อนฉันพึงพอใจกับท่าทางของอีกฝ่าย ฉันเคยรู้สึกได้รับการชดเชยความรักที่ไม่ได้รับจากพ่อของตัวเองด้วยการกระทำของคุณพ่อสามี แต่ตอนนี้ฉันจะเชื่อแววตาอ่อนโยนและการกระทำนั้นไม่ได้
ฉันเก็บซ่อนความคิดในใจเอาไว้แล้วอมยิ้ม
“ไม่ต้องออกมาส่งหรอกค่ะ”
ฉันส่ายหน้าพลางปฏิเสธทั้งสองท่านที่เดินตามมาถึงนอกบ้าน เพราะตั้งใจจะออกมาส่งตรงหน้าประตูบ้าน
“อืม ทงอู แกทำตัวดีๆ กับลูกสะใภ้เขาด้วยล่ะ ถึงสามีตัวเองจะหลงระเริงกับผู้หญิงคนอื่น ก็เอาแต่บอกว่าเข้าใจทุกอย่าง บอกว่าเป็นคนเข้าไปแทรกระหว่างพวกแกสองคนเอง เกลี้ยกล่อมพวกเราว่าพวกแกน่าจะต้องการเวลา ผู้หญิงจิตใจดีแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็เสียดายแทนแกเป็นร้อยครั้ง”
“ครับ เป็นแบบนั้นแหละครับ”
ทว่าฉันกลับตกใจกับกับท่าทางของสามีที่ตอบกลับอย่างนุ่มนวล
ก่อนจะเอียงหัวมองเขาอย่างประหลาดใจว่าเขาพูดออกมาจากใจจริงหรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่สามีเองก็น่าจะตกใจกับคำตอบของเขาเช่นเดียวกับฉัน และคงคิดว่าเขาค่อยๆ เปิดใจแล้วจึงทำสีหน้าชื่นมื่น
เมื่อพ้นประตูใหญ่ เขาก็เร่งเดินไปถึงรถก่อน จากนั้นก็เปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วมองมาทางฉัน
พอฉันขึ้นไปนั่งบนรถ สามีก็ปิดประตูทันทีแล้วอ้อมขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ
“ก่อนกลับบ้าน แวะซื้อของก่อนนะคะ”
“ของเหรอ”
“ค่ะ แม้บ้านเตรียมเครื่องเคียงไว้ให้อยู่ก็จริง แต่ถ้าตั้งใจจะทำกับข้าวกินเอง ก็คงต้องซื้อพวกเครื่องปรุงกับวัตถุดิบไปเติมไว้หน่อยน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ อยากไปที่ไหนล่ะ”
“แถวบ้านมีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ ไปที่นั่นก็ได้ค่ะ”
ตั้งใจคาดเข็มขัดนิรภัยขณะที่พูดไปด้วย แต่เหมือนจะมีส่วนที่ติดอยู่ข้างในเลยดึงมันออกมาไม่ได้
‘ทำไมเจ้านี่ไม่ยอมออกมาล่ะ’
ฉันเลยขมวดคิ้วแล้วตบมันเบาๆ จนส่วนกลางของเข็มขัดที่ติดอยู่เกิดเสียงดัง
ระหว่างที่ใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเข็มขัด ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเงาที่ปกคลุมลงมา จากนั้นแขนของอีกฝ่ายก็เฉียดผ่านใบหน้าของฉันไป
เพราะเขาเอนร่างกายท่อนบนมาทางฉัน ฉันจึงมองเห็นลูกกระเดือกของสามีอยู่ในระดับสายตา ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าช่วงลำคอที่เชื่อมลงมาจากคางกับลูกกระเดือกที่ยื่นออกมาดูน่าหลงใหล จนหน้าของฉันแดงเถือกเลยตัดสินใจหันหน้าหนีไปฝั่งตรงข้าม
‘ทำแบบนี้ ฉันก็เหมือนถูกให้ความหวังสิ’
ความกังวลถาโถมเข้ามาเพราะกลัวว่าอาการหน้าร้อนจะแสดงออกบนใบหน้าหรือเปล่า ฉันกัดริมฝีปากแน่นอย่างกระวนกระวาย ถ้าเขารู้ความคิดเมื่อครู่นี้ของฉันขึ้นมาจะทำยังไง
เรื่องอายเอาไว้ทีหลัง เขาจะคิดยังไงที่ฉันเอาแต่พูดว่าไม่สนใจ ทว่าสุดท้ายกลับหน้าแดงกับตัวเองกันนะ
ฉันสูดลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายดึงเข็มขัดมาเสียบให้แล้วย้ายร่างกายท่อนบนของตัวเองกลับไปพิงเบาะ
พอมองหน้าฉัน เขาก็หัวเราะออกมาสั้นๆ ฉันรู้ว่าเขาสังเกตเห็นใบหน้าร้อนผ่าวจนแดงเถือกของฉัน เลยพูดขึ้นห้วนๆ
“จู่ๆ ก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ฉันก็ตกใจน่ะสิคะ”
“โทษที ดูเหมือนดึงเข็มขัดออกมาไม่ได้นี่”
“ขอบคุณเรื่องนั้นด้วยแล้วกันค่ะ”
ระหว่างเดินทาง ฉันกับสามีก็ไม่ได้คุยเรื่องอะไรกันเป็นพิเศษเลย ดังนั้นเลยได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ดังขึ้นเบาๆ ภายในรถยนต์เท่านั้น
ฉันมองตึกนอกหน้าต่างที่่ผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหม่อลอยพลางเอามือลูบท้องอย่างติดเป็นนิสัย ก่อนจะตกใจกับการกระทำของตัวเองแล้วรีบเอามือออก แล้วหันไปสังเกตใบหน้าของสามี
โชคดีที่เขามัวแต่ขับรถเลยจ้องทางข้างหน้าเท่านั้น น่าจะไม่ทันสังเกตเห็น
ถึงจะรู้ว่าเขาไม่เห็น แต่พอตกใจไปครั้งหนึ่งแล้วก็เอาแต่คิดมากเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อ ฉันจึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
คนเขาว่ากันว่ากินปูนร้อนท้อง ฉันเลยทำลายความเงียบด้วยเสียงสูงกว่าปกติหนึ่งระดับเพื่อทำให้ความประหม่าโดยไม่จำเป็นหายไป
“อ้อ คุณมีอะไรที่อยากทานหรือเปล่าคะ”
“…”
“อาหารที่ชอบก็ได้ค่ะ คิดดูแล้ว ฉันไม่รู้แม้กระทั่งว่าคุณชอบทานอะไรเลยนะคะ”
ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีอาหารที่กินไม่ได้ หรืออาหารที่เลือกกินเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาชอบอาหารอะไรเลย
คำถามที่ถามออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะอยากรู้จริงๆ ฉันจึงรอคำตอบของเขาอย่างจริงจัง
“อาหารที่ชอบ…”
“ไม่มีอะไรที่ชอบเลยเหรอคะ”
“ก็กินพวกอาหารที่ทำจากไก่บ่อยๆ นั่นแหละ แล้วก็ชอบอาหารรสเผ็ดด้วย”
“งั้นเหรอคะ ถ้างั้นมื้อเย็นวันนี้เป็นแกงเผ็ดไก่ดีไหมคะ”
“เอาสิ”
“ได้เลยค่ะ ถ้างั้นมื้อเย็นวันนี้ฉันจะทำให้นะคะ”
ฉันหาอะไรที่พอจะจดได้พลางค้นกระเป๋าไปด้วย แต่สุดท้ายก็ใช้ฟังก์ชั่นโน้ตในโทรศัพท์มือถือพิมพ์ส่วนผสมของแกงเผ็ดไก่
‘ไหนดูซิ ไก่กับแครอท หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง พริก… ที่บ้านมีซอสพริกเกาหลีอยู่หรือเปล่านะ ซื้ออันเล็กไปเผื่อก่อนดีไหม ซอสพริกเกาหลี หอม กระเทียม…’
“อ้อ คุณกินอะไรมันๆ ได้ใช่ไหมคะ พวกไก่ทอด”
“ผมค่อนข้างกินเก่งแล้วก็ไม่เลือกกินด้วย เพราะฉะนั้นกินได้หมดเลย ชอบพวกเมนูไก่ทอดด้วย”
“นั่นสินะ น่าจะไม่ค่อยมีใครไม่ชอบไก่ทอดอยู่แล้วเนอะ ฉันเองก็ชอบค่ะ ถึงจะกินไม่บ่อยเพราะกลัวน้ำหนักขึ้นก็เถอะ”
“คุมน้ำหนักด้วยเหรอ”
“มีผู้หญิงคนไหนไม่คุมน้ำหนักด้วยเหรอคะ นอกจากคนที่กินเท่าไรก็ไม่อ้วนขึ้นน่ะ”
ในเมื่อเขาบอกว่ากินไก่ทอดได้ ฉันเลยต้องพิมพ์ส่วนผสมของแป้งสำหรับทอดไว้ด้วย และคงเพราะฉันจดจ่ออยู่กับการจดส่วนผสมมากเกินไปเลยไม่ทันได้ฟังคำพูดของสามี
ก่อนจะรู้สึกขึ้นมาได้ทีหลังจึงถามเขาซ้ำอีกครั้ง
“ว่าไงนะคะ”
“ผมบอกว่าคุณคุมอาหาร แต่ก็ดูกินทุกอย่างด้วยความเต็มใจตลอด”
“อ๋อ ก็กินเหมือนไม่เต็มใจ มันไม่มีมารยาทนี่คะ หรือว่าไม่ชอบผู้หญิงที่ทำแบบนั้นเหรอคะ”
“เอ่อ…”
“คนคนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยกินอะไรเท่าไรสินะคะ”
“คนคนนั้นเหรอ”
“อ๊ะ ไม่มีอะไรค่ะ”
ฉันสะดุ้งพลางส่ายหน้าเพราะคำที่หลุดพึมพำออกมา
“กำลังพูดถึงเซบินเหรอ”
“อ๋อ ฉันพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวน่ะค่ะ”
สามีตอบออกมาอย่างไม่ลังเลว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก’ ให้กับท่าทางราวกับกำลังสับสนของฉัน
“เซบินก็ไม่ใช่คนเลือกกินหรอก เธอติดนิสัยกินทีละเยอะๆ พร้อมกับทำงานพิเศษไปด้วยตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เวลากินข้าวครั้งหนึ่งก็เลยค่อยข้างจะกินเยอะเชียวล่ะ บางทีอาจจะกินมากกว่าผมด้วยซ้ำ…”
พอมองเขาเล่าออกมาด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วก็รู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองจมดิ่งลง แต่ฉันก็พยายามไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ
“ดูเหมือนเธอคงกินแล้วไม่อ้วนเลยนะคะ อิจฉาขึ้นมาหน่อยๆ เลยนะเนี่ย”
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องน้ำหนักเลยไม่ใช่เหรอ คุณดูผอมกว่าเซบินอีกนะ”
ฉันนึกถึงภาพของเธอคนนั้นที่เคยเห็นเมื่อก่อน
จากนั้นก็ไล่มองข้อมือของตัวเองหนึ่งครั้ง ขาหนึ่งครั้ง ส่วนโค้งของหน้าอกด้านบนอีกนิดหน่อยตามลำดับ ตัวฉันบางกว่าผู้หญิงคนนั้นก็จริง แต่ไม่ว่าจะเป็นความมีน้ำมีนวลหรือส่วนสูง เธอก็น่าจะสมส่วนกว่าฉันแน่ๆ
“แต่คุณน่าจะต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีกหน่อยนะ”
เขาพูดโพล่งขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังเทียบร่างกายผอมแห้งของตัวเองกับรูปร่างของเธอ และมันฟังดูไม่ใช่คำพูดปลอบใจฉันเลย
ตรงกันข้ามฉันกลับคิดขึ้นมาว่าเหมือนเขากำลังตำหนิรูปร่างของฉัน ก็เลยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อรู้สึกว่าโดนพูดจาถากถางจึงหันไปมองสามีเล็กน้อยแล้วเห็นว่าเขากำลังมองไปข้างหน้าโดยไม่รับรู้ว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ด้วยซ้ำ ส่งผลให้ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นอีกเพราะภาพด้านข้างของเขา
และขณะนั้นเขาคงสังเกตได้ว่าฉันกำลังมองอยู่เลยย้อนถามมาว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ฉันก็ตอบไปว่าไม่มีอะไร ก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจ
* * *
หลังจากดาฮยอนเห็นฉันนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าต่างกระจก เธอจึงปรายตามองพร้อมกับขยิบตาให้แล้วรีบก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาในตึกและนั่งตรงหน้าฉัน
“เรื่องมันเป็นยังไงเนี่ย หลังจากนั้นเธอก็ไม่ยอมโทรหาฉันเลยด้วยนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน กลัวว่าเธอจะเอาแต่คิดทำอะไรแปลกๆ อยู่คนเดียวน่ะ”
“โทษทีๆ”
ทันทีที่ที่นั่งลง ดาฮยอนก็พูดรัวน้ำไหลไฟดับออกมาไม่หยุดจนฉันได้แต่ยิ้มอย่างลำบากใจ พอนึกถึงดาฮยอนในอีกสองสามปีให้หลัง ฉันก็รู้สึกได้จริงๆ ว่าเมื่อเธออายุมากขึ้น นิสัยของเธอก็พลอยสุขุมขึ้นมากไปด้วย
อย่างน้อยดาฮยอนในความทรงจำก็น่าจะนั่งลงดื่มชาสักหนึ่งอึกแล้วสูดหายใจลึกๆ ก่อน ถึงจะเข้าสู่ประเด็นหลัก เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการที่พยายามอย่างต่อเนื่องเพราะเคยพูดพล่ามอะไรออกมาโดยไม่คิดแล้วเจอกับความผิดพลาดหลายครั้ง
“แบตฯ โทรศัพท์มันหมดนี่นา”
ที่บ้านพักตากอากาศก็มีที่ชาร์จแบตอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอยากใช้มันเลย
อาจจะเป็นเพราะฉันไม่อยากถูกรบกวนไม่ว่าจากใครก็ตาม และอยากจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่หลงเหลืออยู่ด้วย ฉันจำเป็นจะต้องใช้เวลาเรียบเรียงความสับสนเพราะการย้อนเวลากลับมากะทันหันเหมือนกัน
“ถ้าถูกสามีทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนั้นก็ต้องรีบกลับมาสิ เธอจะอยู่อย่างน่าสงสารที่นั่นคนเดียวไปทำไม”
“ก็แค่… รู้สึกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวเลยนี่นา พออยู่ว่างๆ ก็เลยลองไปตรงนู้นตรงนี้ แล้วก็ได้ไปทะเลด้วยนะ”
“อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันว่าจะอยู่เที่ยวต่อสักหน่อยสิ”
ดาฮยอนถอนหายใจยาวให้กับคำพูดของฉัน ท่าทางของเพื่อนที่พูดว่า ‘เอาเถอะ สติของเธอยังครบดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย’ ด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงพลางมองฉันราวกับสงสาร ทำให้ให้ฉันรับรู้ว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของฉัน
“แล้วยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์นั่นสติไม่ดีจริงๆ ใช่ไหม ทำตัวไม่มีหัวคิด มาล่อลวงผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วได้ยังไง ถึงจะบอกว่ามีซัมติงกันก็เถอะ แต่พอหัวหน้าฝ่ายแต่งงานกับเธอก็เท่ากับเกมจบแล้วไม่ใช่เหรอ ก็ต้องรู้จักยอมถอยสิ ภายนอกแกล้งทำเป็นคูลๆ แกล้งทำเป็นใจกว้าง แต่ทุกอย่างที่ทำลงไปเนี่ย มันใช่เหรอ”
“หื้ม?”
“แล้วหัวหน้าฝ่ายก็เหมือนกัน ถ้าชอบยัยนั่นขนาดนั้นก็ทิ้งไปให้หมดเลยสิ ไม่ว่าจะครอบครัวหรือตำแหน่งน่ะ แล้วก็หนีไปกันทั้งสองคนเลย ทำไมถึงมาแกล้งทำเป็นล้มเลิกแล้วเลือกจะแต่งงานกับเธอล่ะ นี่มันแทงข้างหลังชัดๆ เหมือนเตรียมใช้ชีวิตแบบสองบ้านจริงๆ”
“ดาฮยอน พูดเสียงดังไปแล้วนะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินกันหมดหรอก”
ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนแล้วเริ่มห้ามปรามดาฮยอนที่พูดออกมาเสียงดังเพราะอารณ์พลุ่งพล่านโดยไม่สนใจสายตาจากรอบข้าง ดาฮยอนเลยจิ๊ปากสั้นๆ เพราะท่าทางของฉันกระซิบพลางมองเลิ่กลั่กไปรอบๆ ตัว
“จิ๊ น่าอายจะตายไปใช่ไหมล่ะ ใครจะไปรู้ว่าเธอจะกลายเป็นนางเอกละครน้ำเน่าแบบนั้น”
ฉันยิ้มอย่างขมขื่นเพราะคำพูดที่มีความหมายแฝงนั้น
“นั่นสินะ”
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่ฉันเตรียมใจเรื่องที่สามีไม่รัก เพราะคิดว่ายังไงก็จะได้แต่งงานกันอยู่ดี ถึงจะเป็นการแต่งงานการเมือง
ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตพร้อมกับคิดเสมอว่าอยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันขึ้นมาเอง แต่มาตอนนี้ถึงได้รู้สึกเสียใจว่ามันเป็นความคิดที่งี่เง่ามากแค่ไหน
MANGA DISCUSSION