1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 3-3 การเริ่มต้นครั้งใหม่
ฉันอยากพูดออกไปว่า ‘ถ้าไม่ชอบก็น่าจะปฏิเสธตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วนะคะ’ แต่สุดท้ายก็เก็บมันไว้
สามีค่อยๆ มองพินิจพิจารณาเหมือนกำลังสงสัยว่าเดิมทีฉันนิสัยแบบนี้อยู่แล้วเหรอ ตัวฉันตรงหน้าเขาปกติน่าจะเป็นผู้หญิงที่เสแสร้งยิ้มแย้มและแกล้งทำตัวสุภาพเรียบร้อยเพื่อให้เป็นที่ถูกใจ ถึงแม้จะถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมแค่ไหนก็ตาม
“โกรธผมเรื่องอะไรอยูหรือเปล่า”
“ค่ะ”
อุ๊ย หลุดพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวจนได้ ฉันเลยสูดลมหายใจเข้าดังเฮือกพลางเหลือบมองท่าทีของอีกฝ่าย ซึ่งเขาเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“เวลาแบบนี้…คนส่วนใหญ่น่าจะบอกว่าไม่ใช่กันไม่ใช่เหรอ”
“ยังไงคุณก็ไม่สนใจอยู่ดีนี่คะ”
ฉันพูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
คราวนี้ฉันปิดปากเงียบแล้วจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง เพราะดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยจริงๆ
“ทำไมอยู่ๆ ถามแบบนั้นล่ะคะ ปกติคุณก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วแท้ๆ ถ้าไม่ใช่คนที่ตัวเองให้ใจก็จะทำตัวเย็นชามากเลยนี่คะ ก็เลยปฏิบัติกับฉันแบบไม่เอาใจใส่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“…”
“ช่างมันเถอะค่ะ แต่ถ้าคุณรู้ว่านี่ไม่ใช่การแต่งงานที่เกิดจากความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายก็คงดีค่ะ”
“รู้อยู่แล้วล่ะ”
แต่สีหน้าฝืนใจของอีกฝ่ายไม่ได้หายไป การพูดว่าเป็นการบังคับ คงทำให้เขารู้สึกคาใจกับท่าทางของฉันที่เอาแต่เกาะติดเขาช่วงก่อนแต่งงาน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่คิดจะทำตัวน่ารำคาญแล้วบีบบังคับคุณ คุณใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการได้เลย จะคบกับผู้หญิงคนนั้นแล้วใช้ชีวิตไปๆ มาๆ สองบ้าน หรือจะมีลูกด้วยกัน ฉันก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งหรอกค่ะ”
พอคำว่าผู้หญิงคนนั้นออกมาจากปากฉัน สีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นทันที
“อย่ามองฉันด้วยสีหน้าแบบนั้นสิคะ ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉันเลย ฉันไม่คิดจะไปเจอ แล้วก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องทำอะไรให้เธอเสียหายด้วยค่ะ แน่นอนว่าไม่คิดจะบอกคนในครอบครัวด้วยเหมือนกัน”
“…”
“หลักฐานก็คือ ถึงคุณจะทิ้งฉันเอาไว้คนเดียวแล้วไปหาเธอในช่วงฮันนีมูนของเรา ฉันก็ไม่บอกผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือไงคะ”
“…รู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”
ฉันแค่นหัวเราะอย่างฉุนเฉียวเพราะคำที่สามีพึมพำขึ้นมา
“เธอคนนั้น ดูท่าจะใช้เวลากับเพื่อนอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรเลยนะคะ ถึงขนาดป่าวประกาศละเอียดยิบว่าแอบพาสามีของคนอื่นมาซุกไว้ในคืนฮันนีมูนคืนแรกของเขา ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูพวกผู้ใหญ่ ก็ช่วยบอกเธอให้ระวังปากด้วยนะคะ ฉันไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเธอก็จริง แต่คุณพ่อกับคุณแม่น่าจะคิดไม่เหมือนฉันนะคะ”
“…”
เขาไม่แก้ตัวอะไรกับสิ่งที่ฉันต่อว่า และถ้าหากเขาตั้งใจจะเข้าข้างคนรักโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ฉันเองก็อาจจะต้องประเมินสามีของตัวเองใหม่อีกครั้งเหมือนกัน
“ที่ผ่านมาผมคงเข้าใจคุณผิดไปสินะ”
“เข้าใจผิดเหรอคะ เข้าใจว่าฉันอยากได้รับความรักจากคุณก็เลยมีปากเสียงกับผู้หญิงคนนั้น แล้วแยกคุณกับเธอออกจากกัน อะไรแบบนั้นน่ะเหรอคะ”
“ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่คุณก็รู้ว่าผมมีคนรักอยู่แล้ว วันแรกที่เจอกัน ผมก็บอกเรื่องนี้กับคุณ แล้วก็บอกด้วยว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีความหมายอะไร แต่คุณก็ไม่สะทกสะท้าน เหมือนต้องการให้งานแต่งงานดำเนินต่อไป ผมก็คิดว่าคุณต้องการการแต่งงานนี้ซะอีก”
“เพราะอย่างนั้นก็เลยทำตัวเย็นชากับฉันเหรอคะ”
“ใช่ ไม่อยากให้คุณคาดหวังโดยเปล่าประโยชน์น่ะ ไม่ว่าจะเพื่อคุณ หรือตัวผมเองก็ตาม”
ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำพูดหนักแน่นของเขา
“แต่ช่วยแยกแยะความสัมพันธ์ของผู้ชายกับผู้หญิง แล้วปฏิบัติกับฉันอย่างมีมนุษยธรรมก็ได้นี่คะ ถึงไม่รู้ว่ามันน่าเวทนามากแค่ไหน แต่อย่างน้อยวันฮันนีมูนก็น่าจะอดทนให้กันสักหน่อยสิ รู้หรือเปล่าคะ ว่าคุณสร้างความอับอายให้ฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่งน่ะ”
“อืม ผมยอมรับ แต่สำหรับผม เซบินมาเป็นอันดับแรก ผู้หญิงของผมกำลังร้องไห้อยู่ ผมก็มองข้ามเธอไม่ได้ไม่ใช่หรือไง ถึงหลังจากนี้จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก ผมก็จะเลือกเซบินอย่างไม่ลังเลเหมือนเดิม”
“ถ้ามันเกิดขึ้นอีกจริงๆ ฉันก็จะไม่ลังเลแล้วเล่าให้พวกผู้ใหญ่ฟังเหมือนกันค่ะ”
ฉันสวนกลับคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างหน้าไม่อายด้วยความหงุดหงิด
“คุณ…”
“ฉันไม่ได้ขออะไรมากมายเลยค่ะ อย่างน้อยแค่ให้คุณช่วยทำตามบทบาทของคุณให้ดีเท่านั้น”
หลังจากมองขอบตาราวกับว่าจะระเบิดความโกรธออกมาในไม่ช้าของเขาแล้ว ฉันก็ถอนหายใจออกมา
“ถ้าฉันไม่พูด วันนี้ก็คงจะไม่มาใช่ไหมคะ”
“ความผิดของผมเอง ที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อนแน่นอน”
ฉันทนต่อความอึดอัดไม่ไหวเพราะท่าทีของเขา จึงพูดคำที่ซ่อนเก็บไว้ในใจออกมา
“ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าเธอร้องไห้แล้วยื้อคุณไว้ คุณก็คงไม่มาสินะคะ”
“…”
“ไม่ได้ขอให้คุณมาชอบฉันนะคะ ขอแค่ไม่แกล้งทำเหมือนตัวเองเป็นผู้เสียหายคนเดียว แล้วก็ทำท่าทีดูถูกฉันก็เท่านั้นเองค่ะ”
ระหว่างที่เขาจมอยู่ในห้วงความคิดราวกับได้รับความกระทบกระเทือนเพราะคำพูดของฉัน ฉันก็เหยียดยิ้ม
“ฉันบอกว่าจะยอมหลีกทางให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อพวกคุณนะคะ พวกคุณเองก็ควรจะอดทนต่อความไม่สบายใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อฉันด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ การเสียสละของฉันคนเดียว มันไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ยาวนานได้หรอกค่ะ เข้าใจใช่ไหมคะ ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องยอมฝืนทนเหมือนกัน ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนสำคัญ แต่คุณก็ต้องบอกคำพูดของฉันให้เธอรับรู้ชัดๆ ด้วยนะคะ”
ฉันมองเขาด้วยแววตาเด็ดขาด
“ฉันไม่คิดจะขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสองคนเลยค่ะ แต่ถ้าเธอขัดขวางฉัน แล้วทำให้คุณไม่สามารถทำตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองกับฉันได้ ฉันก็จะไม่ยอมปิดปากเงียบอยู่เฉยๆ ไปมากกว่านี้เหมือนกันค่ะ”
เมื่อรู้สึกได้ว่าส่งต่อความต้องการของตัวเองไปให้เขาอย่างเพียงพอแล้ว ฉันเลยคลายสีหน้าตึงเครียดลงแล้วพูดขึ้น
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ”
หลังจากฉันอาบน้ำเสร็จแล้วกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง ก็ต้องหัวเราะให้กับสถานการณ์ภายในห้องตัวเอง ฉันกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่นแล้วใช้นิ้วชี้เช็ดน้ำตาที่เกาะอยู่ตรงหางตาเพราะขำมากเกินไป
ก่อนจะเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าคลุมไหล่บางๆ ออกมา ฉันถือมันทางสามีที่กำลังนอนเหยียดตัวบนโซฟายาวขนาดสองคนตรงผนังฝั่งหนึ่งของห้องนอน
โซฟามีไว้ให้นั่งพักผ่อนอย่างสบายแล้วเข้าถึงอารมณ์สุทรีย์ได้อย่างลึกซึ้งเวลาฟังเพลงหรืออ่านหนังสือ มันเลยไม่ได้ใหญ่จนถึงขนาดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเหยียดตัวนอนได้อย่างสบายๆ เขาจึงเหยียดตัวนอนโดยที่ห้อยขาทั้งสองข้างลงพื้น
อาจจะเพราะไม่อยากนอนหลับภายใต้ผ้าห่มเดียวกันผู้หญิงคนอื่น นอกจากคนรักของตัวเอง หรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากันฉันยังประหม่ามาจนถึงตอนนี้ เขาเลยเลือกนอนตรงนั้นก่อนจะเกิดสถานการณ์น่าอึดอัดขึ้น
ฉันกางผ้าคลุมออกกว้างแล้วห่มร่างกายท่อนบนให้เขา จากนั้นก็เบนสายตาไปทางคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอยู่ คงเพราะไม่ค่อยสบายตัว เขาจึงบิดตัวเล็กน้อย ฉันยิ้มบางๆ พลางคิดว่า ‘มีมุมน่ารักๆ ด้วยสินะ’ กับภาพนั้นก่อนจะส่ายหัวไปมา
‘ถ้าตั้งใจจะใช้ชีวิตแต่งงานแบบนี้ต่อไป มีชั้นเชิงมากกว่านี้อีกหน่อย ก็น่าจะดีนะ’
* * *
บ้านใหญ่ของสามี คุณแม่สามีกำลังเติมพวกสมุนไพรกับดอกไม้ที่ท่านปลูกเป็นงานอดิเรกให้เต็มบริเวณด้านหนึ่งของสวน หลังจากมองภาพสวนที่ถูกแต่งเติมสีสันสวยงาม ฉันก็หลงเข้าไปในวงวนชีวิตอันแสนสุขของวัยเด็ก
งานอดิเรกเพียงหนึ่งเดียวของคุณแม่ที่ค่อยๆ พูดและยิ้มน้อยลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของพวกญาติๆ และคุณพ่อผู้เฉยชามีเพียงการดูแลดอกไม้ในสวนเท่านั้น
ระหว่างที่แม่กำลังปลูกดอกไม้ ถ้าฉันเข้าไปนั่งยองๆ ข้างๆ แม่ก็จะหันมามองหน้าของฉันแล้วส่งยิ้มให้
ทว่าหลังจากแม่เสียไป คุณย่าก็ทำลายสวนทิ้งแล้วขุดบ่อน้ำพร้อมปูหญ้าทับพื้นที่นั้นแทน
ถึงแม้ร่องรอยของคุณแม่จะหายไป แต่คุณพ่อก็ยังคงเงียบและละเลยฉันอยู่ดี หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยชายตามองพื้นที่ตรงนั้นอีกเลย
พอฉันหยุดยืนนิ่งพลางหัวเราะอย่างขมขื่น สามีก็มองมาอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรไป”
“เปล่าค่ะ สวนสวยมากจริงๆ นะคะ”
“อ๋อ ก็งานอดิเรกของแม่น่ะสิ”
“เติบโตอย่างสวยงามแบบนี้ ก็รู้สึกได้เลยว่าต้องปลูกอย่างเอาใจใส่มากจริงๆ ค่ะ”
“คุณดูเหมือนจะชอบดอกไม้นะ”
“มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบดอกไม้ด้วยเหรอคะ”
“นั่นสินะ”
“ก็แค่… แม่ของฉันก็ชอบปลูกดอกไม้เหมือนกัน ตรงลานหน้าบ้านก็จะมีกลิ่นหอมของดอกไม้แต่ละฤดูโชยอยู่ตลอดเลยค่ะ”
“ตรงลานหน้าบ้านเหรอ”
ฉันพูดต่อเพื่อคลายความสงสัยของเขา เพราะท่าทางราวกับกำลังนึกถึงภาพลานหน้าบ้านของฉันอยู่
“สมัยก่อนน่ะค่ะ พอแม่เสีย คุณย่าก็บอกว่าอยากทำให้มันดูสะอาดสะอ้าน ท่านเลยถางออกไปหมดเลย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่คนนี้ก็…”
“ภรรยาใหม่ของพ่อค่ะ”
“…”
“ฉันพูดเผื่อไว้เฉยๆ นะคะ ถึงจะบอกว่าเป็นแม่เลี้ยง แต่ฉันไม่เคยถูกท่านรังแกหรือดุด่าเลย”
ก็ช่วยไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะรู้สึกไม่เท่าเทียมกันในระดับหนึ่ง แต่เพราะนิสัยพื้นฐานของแม่เลี้ยงไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวานอะไรมากมาย เธอจึงไม่เคยแสดงให้เห็นภาพลักษณ์รักใคร่หวงแหนฉัน แม้กระทั่งกับพี่ฮวานหรือน้องสาวก็เหมือนกัน
เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองเผลอพูดเรื่องไร้สาระ ฉันเลยเปลี่ยนเรื่องคุย
“รีบเข้าไปเถอะค่ะ เดี๋ญวคุณพ่อคุณแม่จะว่าเอาได้ว่ามัวแต่ทำอะไรถึงไม่เข้ามาสักที”
“อืม”
พอเข้าไปข้างในก็มีบรรยากาศกดดันแปลกๆ หลั่งไหลเข้ามาปะทะ
“พ่อครับ แม่ครับ พวกผมมาแล้วครับ”
ก่อนจะได้สงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คุณแม่สามีก็มาต้อนรับพวกเราก่อน
“มาแล้วเหรอ เข้ามาสิคะ”
ถึงท่านจะยิ้มพร้อมกับแสดงท่าทางยินดีอยู่ แต่กลับรู้สึกได้ว่ามีเรื่องหนักใจอะไรบางอย่าง
“พูดตามสบายเถอะค่ะ จากนี้ไปหนูก็เป็นแค่ลูกสะใภ้นะคะ ถ้าพูดสุภาพก็อาจจะไม่สบายใจกันเปล่าๆ ค่ะ”
“อ๊ะ งั้นเหรอจ๊ะ นั่นสินะ ที่รัก เด็กๆ มาทักทายแล้ว จะไม่หันมามองหน่อยเหรอคะ”
“คุณพ่อคะ พวกเรามาแล้วค่ะ”
ฉันเห็นคุณพ่อสามีนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่สำคัญที่สุดบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เพราะท่านหันหลังอยู่เลยมองไม่เห็นพวกเรา แต่ฉันก็ก้มหัวทักทายก่อน
“อืม เข้ามาสิ”
“คุณนี่ พวกเด็กๆ มาหาทั้งที น่าจะต้องมองหน้าหน่อยสิ…”
คุณแม่คงจะเก้อเขินเพราะท่าทางของคุณพ่อที่พูดโดยไม่ยอมมองหน้าจึงตำหนิออกมาเล็กน้อย
แม้จะมองปราดเดียวก็สังเกตได้ว่าท่านดูมีเรื่องไม่พอใจ ฉันจึงจับแขนของสามีที่ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เมื่อครู่นี้เบาๆ เพื่อดึงความสนใจพร้อมกับเปลี่ยนบรรยากาศเงียบสงบไปด้วย ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณพ่อ คุณแม่ มาคิดดูแล้ว พวกเราไม่ได้ติดต่อมาเลยสักครั้งตอนไปฮันนีมูน คงเสียใจมากแน่ๆ เลยสินะคะ หนูควรจะติดต่อเข้ามาก่อนแท้ๆ แต่ก็ยุ่งมากๆ จนไม่ทันได้คิดเลยค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่หรอก จะเป็นความผิดของหนูได้ยังไงล่ะจ๊ะ”
“ใช่ ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องขอโทษเลย พวกเราต่างหากที่ต้องขอโทษ ทุกอย่างก็เพราะพวกเราสอนลูกชายแบบผิดๆ เอง”
ฉันสับสนเพราะสีหน้าไม่พึงพอใจของท่าน ทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้นนะ
แต่ไม่รู้ทำไม ถึงแม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็เหมือนจะเดาได้ว่าคุณพ่อสามีรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนฮันนีมูน
พอลองลอบสังเกตสามีดูเล็กน้อย เขาเองก็มีสีหน้าตึงเครียดราวกับรู้ตัวเช่นกัน ฉันจึงกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที เขาคงไม่คิดว่าฉันเป็นคนฟ้องหรอกใช่ไหม
“นั่งสิ ฉันมีเรื่องที่จะคุยด้วย”
ฉันชะงักกับน้ำเสียงเข้มงวด คุณแม่รีบไกล่เกลี่ยทันทีหลังจากสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด
“เด็กๆ คงจะหิวนะคะ ถึงมีเรื่องจะคุย แต่ยังไงก็ทานข้าวกันก่อนเถอะค่ะ”
ตามด้วยเสียงกระแอมเบาๆ ทำให้รับรู้ว่าเป็นการยินยอม