“เฮือก! แฮ่กๆ”
ฉันดันร่างกายท่อนบนขึ้นมาพร้อมกับหอบหายใจแรง
ก่อนจะหยีตาลงแล้วยกมือขึ้นมาบังเพราะแสงแดดจ้าที่รู้สึกเหมือนจะแทงเข้ามาที่ใบหน้าด้านหนึ่ง
“ที่นี่…”
เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แน่ๆ ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป จำได้ว่าตัวเองขับรถชนเข้ากับรถที่ฝ่าไฟแดงตรงสี่แยก จากนั้นก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก
ถ้าพิจารณาจากการมองเห็นที่หมุนกลับไปมาอยู่หลายครั้ง ก็น่าจะเป็นอุบัติเหตุใหญ่ขนาดที่รถยนต์คงคว่ำจนบุบบี้ไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการค้างคืนทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่โรงพยาบาลได้ยังไง
ยิ่งกว่านั้นก็ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นๆ กับที่นี่ด้วย
ราวกับเคยมาสักครั้ง… ใช่แล้ว บ้านพักตากอากาศที่คังวอนโด! ที่นี่เหมือนบ้านพักตากอากาศที่เคยมาตอนฮันนีมูนเมื่อก่อนเลย
‘ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ’
ทว่ากลับไม่มีใครที่ให้คำตอบได้ ฉันจึงดันตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องกัดริมฝีปากส่งเสียงร้องในลำคอเพราะความรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงท้องน้อย
“อึก!”
สิ่งที่รู้สึกได้จากมือที่เลื่อนไปกุมท้องอัตโนมัติคือสัมผัสของผิวเปลือยเปล่า
คำถามที่ว่า ‘ทำไมฉันถึงได้เปลือยล่ะ’ ถูกกลบไปทันทีเพราะอาการเจ็บกับสิ่งแปลกปลอมที่รู้สึกบริเวณร่างกายท่อนล่าง
ขณะนั้นในหัวของฉันสงบอย่างเยือกเย็น ถึงไม่เลิกผ้าห่มดูก็เหมือนจะรู้ว่าความเหนียวแน่นตรงกลางหว่างขาคืออะไร
การประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากอาการปวดหน่วงๆ ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดร่างกายท่อนล่างอย่างน่าอายก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรกับร่างกายส่วนอื่นเลย แต่ฉันก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้
มันเป็นการลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพเหมือนเพิ่งมีอะไรกันเสร็จในบ้านพักตากอากาศที่ครอบครัวของสามีเป็นเจ้าของ ทว่าเรื่องสำคัญก็คือคนที่กอดฉัน คงไม่ใช่เขาแน่นอน
คนๆ นั้นอาจจะพาฉันมาปล่อยไว้ก็ได้ มันเป็นสถานการณ์ที่น่าจะจบสิ้นแล้วหลังจากรับเอกสารการหย่ามา
เขาที่พูดว่ารักผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวไม่มีทางยอมหักหลังเธอคนนั้นสักนิดหรอก และคนสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเขา ก็ไม่มีทางสร้างโอกาสให้ฉันจับจุดอ่อนตัวเองได้อยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นใครกันนะ…
ครืด ครืดดด
ฉันรับโทรศัพท์อย่างไม่ได้สติเพราะเสียงสั่นเตือนที่ได้ยินจากชั้นวางของข้างเตียง
“ฮัลโหล”
– ตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ
“ใครเหรอคะ”
– ยังตื่นไม่เต็มตาสินะ นี่เพื่อนเธอไง จะใครซะอีกเล่า
“หรือว่า…ดาฮยอนเหรอ”
-ไม่ใช่ฉันแล้วจะใครล่ะ ช็อกที่ถูกสามีทิ้งจนสติสตางค์หายไปหมดแล้วเหรอ
อ๋อ คงได้ยินข่าวลือเรื่องหย่าแล้วสินะ
“รู้ได้ยังไงน่ะ”
-แล้วจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ! ก็ยัยพวกที่คบค้าสมาคมกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนั้นพากันให้ว่อนเลยน่ะสิ! โชคดีที่ในห้องน้ำไม่มีใครอยู่ เธอเกือบถูกหัวเราะเยาะไปแล้ว ถ้าเกิดมีคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันอยู่ด้วยน่ะ
การถูกซุบซิบจากปากของคนอื่นภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอคนนั้นเหมือนกันแท้ๆ ทำไมถึงไม่ระมัดระวังขนาดนี้นะ ถ้าเรื่องนี้เข้าหูพวกผู้ใหญ่ขึ้นมาก็อาจทำให้ทุกอย่างเสียเรื่องไปเลยก็ได้
ฉันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว จากนั้นฟังเสียงบ่นรัวของดาฮยอนต่อจากอีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์
-แต่เดี๋ยว หรือว่าเธอเอาแต่อยู่เฉยทั้งๆ ที่รู้เหรอ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ถึงฉันจะขวางไม่ได้ก็เถอะ แต่ทำไมเสียงเธอถึงนิ่งขนาดนี้ จะโดนยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์แย่งสามีไปอยู่แล้วเนี่ย
“มันช่วยไม่ได้นี่ ขืนยืดเยื้อรั้งคนไม่มีใจต่อ ก็มีแค่ฉันนี่แหละที่น่าสมเพช
-ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! ตอนตัดสินใจจะแต่งงานก็พูดเด็ดขาดว่าจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หรือไง พูดแบบนั้นแล้วมาทำแบบนี้มันใช้ได้เหรอ!
ทั้งขอบคุณแล้วก็ขอโทษดาฮยอนที่เจ็บแค้นและโกรธเรื่องนี้แทน ก่อนจะยิ้มอย่างลำบากใจแล้วพูดขึ้นเพื่อให้เพื่อนใจเย็นลง
“ฉันไม่เป็นไรหรอก”
-จะไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ ถูกสามีทิ้งในคืนแรกที่ไปฮันนีมูนเนี่ยนะ! ถึงเป็นการแต่งงานที่ไม่ได้รักกันยังไงแต่ก็ทำแบบนี้ไม่ได้ มนุษยธรรมมันต้องมาก่อนความรักสิ ไม่ว่าจะเป็นยัยนั่นที่เป็นคนเรียก หรือจะสามีเธอที่พรวดพราดออกไปทันทีเนี่ย จิตใจมีปัญหากันไปหมดแล้วมั้ง
รู้สึกเหมือนเกิดเดจาวูขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันจึงพูดตะกุกตะกักขัดคำพูดของดาฮยอน
“ดะ เดี๋ยวก่อน คือว่า ดาฮยอน ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์นิดหน่อยน่ะ ตอนนี้เธอพูดเรื่องอะไรนะ พูดว่าฮันนีมูนเหรอ”
ปลายสายตกอยู่ในความเงียบเพราะคำถามของฉัน
ก่อนที่ดาฮยอนจะส่งเสียงอุทานออกมาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่า ‘เฮ้ย’ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
-หรือว่าพวกเธอไม่ได้ไปฮันนีมูนกันตั้งแต่แรกแล้วเหรอ ไม่ใช่พูดว่าฮันนีมูน แล้วตั้งใจหลบฉากให้สองคนนั้นได้ใช้เวลาด้วยกันนะ”
“…ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
สติของฉันกำลังกระซิบว่าดาฮยอนกำลังคิดไปเองหรือไม่ก็ล้อเล่นอยู่แน่ๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากยืนยันขึ้นมา
“ดาฮยอน วันนี้วันที่เท่าไรเหรอ ปีที่เท่าไรด้วย”
ฉันเลยถามออกไปด้วยน้ำเสียงล่องลอยราวกับถูกอะไรบางอย่างหลอกลวง
-อะไรเนี่ย เธอรู้ไหมว่าวันนี้ตัวเองแปลกจริงๆ นะ
“อื้อ รู้แล้ว เพราะงั้นรีบบอกมาเร็ว”
-ไหนดูซิ วันX ที่XX เดือนXXX ปีสองพันเก้าไง เฮ้อ ประหลาดคน ทำไมฉันต้องมาบอกยันวันที่เนี่ย พอใจหรือยัง”
“อื้อ ขอบใจนะ”
-ทำไมเสียงเธออ่อนเปลี้ยแบบนั้นล่ะ ป่วยตรงไหนหรือเปล่า ตอนพักเที่ยงน่าจะมีเวลาอยู่บ้าง ถ้าอยู่คนเดียวก็ส่งโลเคชั่นมา เดี๋ยวฉันไปหา ยังไงหัวหน้าฝ่ายก็คงเอาแต่คุยเล่นกับยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนั้นแล้วไม่เข้ามาแน่ๆ อยู่แล้ว เธออยู่บ้านหลังนั้นคนเดียวไม่ใช่เหรอ
ถึงแม้ว่าดาฮยอนจะไม่มีทางเห็น แต่ฉันก็ส่ายหน้าไปมาให้กับน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่บ้านน่ะ”
-ถ้างั้นอยู่ไหนล่ะ
“บ้านพักตากอากาศ”
-ไปฮันนีมูนจริงๆ สินะ ถ้างั้นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย เขากล้าทิ้งเธอไว้คนเดียวในที่ไกลๆ ได้ยังไงกัน ปล่อยผู้หญิงให้อยู่ต่างจังหวัดตัวคนเดียวมันอันตรายนะ
“ไม่เป็นไรน่า ขอบใจที่เป็นห่วงนะ ว่าแต่ดาฮยอน โทษทีนะ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยโทรศัพท์แล้วล่ะ ไว้คุยกันครั้งหน้านะ”
“อะไรนะ นี่ เดี๋ยว…
ฉันเมินน้ำเสียงที่เรียกฉันอย่างสับสนของดาฮยอนแล้วกดปุ่มตัดสายทิ้ง
ไม่ต้องสงสัยว่าคงจะต้องโดนดาฮยอนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะจับเบาะแสของเรื่องนี้ได้แล้วบ่นไม่หยุดแน่ๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นทีหลังแล้ว
ฉันมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือกะทันหัน
ควรจะรู้ตัวตั้งแต่สัมผัสได้ว่าความใหญ่ที่จับไว้ในมือมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉันไม่รู้สึกถึงความขัดแย้งอะไรทั้งที่ถือโทรศัพท์ที่ตัวเครื่องแตกต่างจากเดิม มันเป็นโทรศัพท์เครื่องที่ฉันเคยใช่ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่
ฉันจำได้ว่าใช้อยู่ตั้งหลายปีเพราะชอบดีไซน์แล้วมันก็ใช้สะดวกดีด้วย นึกถึงตอนที่ดาฮยอนมองฉันแล้วหัวเราคิกคักพลางพูดแซวว่าฉันยังคงใช้โทรศัพท์รุ่นเก๋ากึ๊กอยู่ได้ทั้งที่มีเงินเยอะแยะ
“นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนะ…”
ไม่ว่าจะเป็นรอยแตกตรงขอบโทรศัพท์ หรือรูปถ่ายกับข้อความที่คุยกันข้างในเครื่องก็ล้วนเป็นเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้น… แสดงว่าฉันย้อนกลับมาในอดีตจริงๆ สินะ
พอเลิกผ้าห่มดูก็เห็นผ้าปูเตียงเปื้อนสีแดงอยู่ข้างใต้ต้นขา ไม่ใช่ประจำเดือน ถ้าสิ่งที่ฉันกำลังคิดอยู่มันถูกต้อง นี่ก็ต้องเป็นเลือดที่ไหลออกมาหลังถูกเปิดพรหมจรรย์ไม่ผิดแน่
บางทีฉันคงจะย้อนกลับมาเมื่อสี่ปีก่อนสินะ หลังจากวันที่จัดงานแต่งงานหนึ่งวัน วันนั้นฉันตื่นขึ้นมาคนเดียวโดยที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว และวันนั้นนั่นแหละ ที่ฉันเริ่มตั้งท้อง…
“กลับมาแล้วงั้นเหรอ”
ฉันเลื่อนมือไปตรงท้องของตัวเองอัตโนมัติ
ความเจ็บและความปวดร้าวที่รู้สึกได้จากด้านในผนังช่องคลอดถาโถมเข้ามาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ลูกของฉันน่าจะอยู่ในนี้แน่ๆ
ขณะที่นึกถึงเด็กที่เคยเห็นในฝัน จู่ๆ น้ำตาของฉันก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้นเองสินะ ความรู้สึกที่คุ้นเคยและทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเป็นเพราะเธอนี่เอง เด็กน้อย
ฉันไม่รู้ว่าทำไมและยังไง ตัวเองถึงได้กลับมาในอดีต และไม่สนใจด้วยว่าตัวฉันที่นั่นจะเป็นยังไงบ้าง ในตอนนี้สิ่งสำคัญมีเพียงความจริงที่ว่าลูกกลับมาหาฉันแล้วเท่านั้น
ตอนที่มีลูกครั้งแรก แม่เสียสติเพราะความรักที่มีต่อสามีเลยไม่ได้ให้ความรักความเอาใจใส่กับลูกเลย
ลูก… แม่คิดแค่ว่าแม่อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้และไม่คิดว่าลูกจะอยู่ข้างๆ แม่ เอาแต่จดจ่ออยู่กับการรั้งคนๆ นั้นไว้เท่านั้น
‘แม่ไม่รู้เลยว่าลูกอยู่กับแม่ ลูก… แม่ไม่รู้เลยว่าลูกอาจจะเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่เข้าใจแม่ก็ได้ ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าการมีลูก หมายความว่ามีคนมาอยู่ข้างๆ แม่หนึ่งคนแล้ว’
แม่รู้ช้าเกินไปมากว่าความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงจั๊กจี้ขึ้นมาขณะที่มองดูลูกกระดุกกระดิกในท้องพร้อมกับเริ่มค่อยๆ กลายเป็นรูปเป็นร่าง คือความรักความห่วงใย
พอลูกหายไปแล้ว ความจริงที่ว่าไม่มีใครรักแม่อย่างจริงใจอีกแล้วก็ทำให้รู้สึกเหมือนโลกถล่มลงมาเลย
ฉันรับรู้แล้วว่าความรู้สึกที่มีให้คนๆ นั้นมันไม่เหมือนกับแต่ก่อน และรับรู้แล้วว่าความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายไม่ใช่ความรัก รับรู้แล้วว่าถึงตัวเองจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่มีสักครั้งที่ผู้ชายคนนั้นจะมอบความรักให้ฉัน
พอรู้อยู่บ้างว่าหนึ่งปีก่อน เขาเริ่มกลับไปเจอผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
เพราะปล่อยทุกอย่างทิ้งไปหมดแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าฉันมันเป็นแค่ผู้หญิงขี้ขลาดไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังยื้อเขาเอาไว้ จนกระทั่งเขาพูดคำว่าหย่าออกมา
ลูกเป็นห่วงแม่ที่คิดคำนึงหาลูกและใช้ชีวิตอย่างเศร้าโศกก็เลยกลับมาหาแม่อีกครั้งใช่ไหม ลูกจะให้อภัยแม่ที่ไม่สามารถปกป้องลูกจนถึงที่สุดเอาไว้ได้ไหม ลูกจะให้โอกาสแม่อีกครั้งหรือเปล่า
แต่ยังไงก็ดี ถ้าได้เจอลูกอีกครั้งไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งนั้น ครั้งนี้แม่จะมีชีวิตอยู่เพื่อลูก จะมีชีวิตอยู่เพื่อลูกในฐานะแม่ของลูกเท่านั้น แม่จะไม่โลภมากกับสิ่งอื่นอีกแล้ว
แม่จะสามารถมอบความรักความห่วงใยให้ลูกได้โดยไร้ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ และลูกก็จะให้ความรักกับความผูกพันอันบริสุทธิ์ให้แม่โดยไม่หวังผลตอบแทน
ใช่แล้ว ถ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตแบบนั้นได้ไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งนั้น
“แม่จะปกป้องลูกเองนะ”
ครั้งนี้แม่จะไม่ทำลูกหายไปอีกแล้ว
แม้ว่าต้องแลกทุกอย่างที่แม่มี แม่ก็จะปกป้องลูก เพราะฉะนั้นครั้งนี้ลูกจะไม่จากโลกนี้ไปแล้วออกมาเจอแม่ใช่ไหม
* * *
พอเปิดหน้าต่าง บรรยากาศสดชื่นของภูเขาก็พัดเข้ามาพร้อมกับสายลม
ความเย็นสดชื่นราวกับกลิ่นของท้องทะเลที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ ลอยปนเปมาจนทำให้มุมปากของฉันยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หลับตาลงก็ได้ยินเสียงใบไม้ถูกลมพัดราวกับเสียงคลื่น ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ทะเลมากขึ้นไปอีก
เมื่อก่อนฉันไม่มีเวลามากพอจะได้สัมผัสภาพทิวทัศน์ของที่นี่ เพราะฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับการพยายามแกล้งทำเป็นนิ่งและซุกซ่อนความกังวลใจเอาไว้จากท่าทางที่เงียบขรึมอยู่ตลอดเวลาของเขา
ฉันข่มขู่เขาที่ไม่เต็มใจจะทำว่าหากไม่กอดฉันและใช้เวลาในคืนแรก ฉันจะบอกกับผู้ใหญ่ในครอบครัวของเขา
แต่เขาไม่มีความเอาใจใส่เลย ฉันต้องอดทนต่อความทรมานทางจิตใจและความเจ็บปวดของร่างกายอันน่าหวาดกลัวเพราะมันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวตามหน้าที่เท่านั้น
เมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพที่ไม่รู้ว่าสติหลุดลอยหรือหลับไป เขาก็ไม่อยู่แล้ว
คืนแรกอันแสนยากลำบาก เขาทนไม่ได้แม้แต่วันเดียวแล้วจากไปหาผู้หญิงคนนั้น สุดท้ายเขาก็ทิ้งภรรยาที่ถูกพรากความบริสุทธิ์ไป
ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยเหรอ
ตอนที่เห็นเธอ ฉันคิดว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่สง่างามและมีความทะเยอทะยาน มีความภาคภูมิใจในแบบของคนกำลังพัฒนาเส้นทางของตัวเอง ฉันที่ใช้ชีวิตมาราวกับตุ๊กตาเพียงเพื่อได้รับความรักของพ่อจึงอิจฉาความสง่างามของเธอจริงๆ
แต่เรื่องราวที่ได้รับรู้ระหว่างนั้นก็คือ เธอรักตัวเองมากเกินไป หมายความว่าถ้าเพื่อตัวเองแล้ว เธอก็สามารถทำตัวโหดร้ายต่อคนอื่นได้ ไม่ว่ามันจะมากแค่ไหนก็ตาม
แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์พอที่จะทำให้สามีของฉันตกหลุมรัก แต่เธอไม่ใช่คนดีเลย
จริงๆ แล้วในคืนแรกของการฮันนีมูน เธอเอาความสำคัญของฉันกับตัวเธอเองมาให้เขาเป็นคนวัดแล้วเธอก็ชนะไป นั่นเหมือนกับการประกาศสงครามว่าไม่ว่าเมื่อไรก็สามารถพรากเขามาได้ และเป็นการเตือนว่าเขาไม่มีทางมีใจให้ฉันอย่างเด็ดขาด
MANGA DISCUSSION