1,460 วัน… ฉัน เขาและเธอ - ตอนที่ 0 อารัมภบท
“อย่าไปเลยนะคะ!”
เขาคงไม่ได้ยินเสียงฉันสินะ หรือไม่ก็มันคงสายเกินไปแล้วหรือเปล่า เขาถึงสะบัดมือฉันออกอย่างเย็นชา
จนกระทั่งฉันซวนเซล้มลง เขาถึงได้หันมามองฉันราวกับเพิ่งตระหนักได้ว่ามือที่สะบัดตัวฉันออกคงใช้แรงมากเกินกว่าที่คิด แต่มันก็เท่านั้น
เขาพูดขอโทษแค่เพียงคำเดียว ก่อนจะทิ้งฉันไปหาเธอคนนั้น ฉันจ้องมองประตูบ้านที่ปิดลงตรงหน้าอย่างเหม่อลอยพักหนึ่ง
บางทีเขาอาจจะกลับมาอีกครั้ง อาจจะกลับมาช่วยพยุงฉันที่ล้มลงอยู่ให้ลุกขึ้น เขาอาจจะเลือกฉันคนนี้ก็ได้
ถ้าหากมันเป็นแบบนั้น ฉันก็จะยอมยกโทษให้เขาทุกอย่าง จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วยิ้มให้เขา…
ทว่าผ่านไปหลายสิบนาทีจนล่วงเลยไปเป็นชั่วโมง เขาก็ยังไม่กลับมา
เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายความเงียบ ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงนั่งอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่นมาจนถึงตอนนี้
ใช่ ทุกอย่างมันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สินะ
ฉันยิ้มอย่างสิ้นหวังและตั้งใจจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปรับโทรศัพท์ แต่สุดท้ายขาก็อ่อนแรงจนทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ชั่วขณะนึงฉันไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง
แต่หลังจากนั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจแล้วรีบร้อนโอบกอดหน้าท้องของตัวเองไว้เพราะความเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกกรีดด้วยมีดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากภายใน
“มะ ไม่ได้ จะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ!”
ฉันเริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ร่างกายของฉันไร้เรี่ยวแรงราวกับสติสัมปชัญญะไปจดจ่ออยู่ตรงบริเวณท้องหมดแล้ว
ขณะที่ตัวสั่นระริกพร้อมกับส่งเสียงครวญครางออกมา ฉันก็ตระหนักได้ถึงเสียงโทรศัพท์ที่ยังคงส่งเสียงร้องอยู่ ฉันจึงเริ่มใช้ข้อศอกไถตัวไปเพราะคิดว่าจะต้องขอความช่วยเหลือ
ทุกครั้งที่ทิ้งน้ำหนักลงไปที่แขนก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงท้องมากกว่าเดิมเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกาย แก้มของฉันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ มันเป็นระยะห่างที่ในเวลาปกติเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
ทว่าเมื่อไปถึงโต๊ะเสียงโทรศัพท์ก็เงียบลงแล้ว สายคงจะถูกตัดไป โต๊ะนั่งพื้นก็ดูเหมือนจะสูงกว่าทุกครั้ง
ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปวางบนโต๊ะแล้วยันร่างกายส่วนบนขึ้นช้าๆ และเพราะมัวแต่ดันร่างกายท่อนบนขึ้นมาจากสภาพนอนฟุบ ฉันจึงเห็นขาทั้งสองข้างของตัวเองแวบๆ ภายใต้เอวที่บิดไปด้านข้างมีอะไรบางอย่างสีแดงเชื่อมต่อเป็นทางยาวเข้ามาในการมองเห็นอันเลือนราง
ในระหว่างที่นิ่งงันด้วยความตกใจสุดขีด เสียงโทรศัพท์ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงรีบควานหาโทรศัพท์มือถือแล้วกดปุ่มรับสายทันที จากนั้นก็มีน้ำเสียงสดใสร่าเริงที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ผ่านเข้ามา
-มัวแต่ทำอะไรถึงไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ ทำอะไรยุ่งๆ อยู่หรือเปล่า
ฉันหายใจหอบและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ พอฉันเอาแต่หายใจถี่รัวอยู่แบบนั้น อีกฝ่ายก็คงรู้สึกได้ น้ำเสียงที่เคยดูสบายอกสบายใจของปลายสายก็เปลี่ยนเป็นรีบร้อนขึ้นมาในพริบตา
-เกิดอะไรขึ้นครับ! มีเรื่องอะไรหรือเปล่า
น้ำตาฉันไหลทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ชะ ช่วยด้วยค่ะ”
ได้โปรดช่วยชีวิตลูกฉันด้วย…