記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 8 ตัวผมคนก่อน ตัวผมคนนี้
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 8 ตัวผมคนก่อน ตัวผมคนนี้
บทที่ 8 ตัวผมคนก่อน ตัวผมคนนี้
[นั่นคือคำตอบของนายสินะ]
วันนี้วันเสาร์ ผมอยู่ในบ้านก็ก่อนจะไปรับคำปรึกษาตอนบ่ายโมง
คนที่ยืนอยู่ในครัวตอนนี้คืออาสึกะที่พอได้ฟังเรื่องของผมก็ถอนหายใจออกมา
มีกลิ่นปลาลอยเข้ามาในห้องนั่งเล่น แอบกังวลอยู่ว่าจะไหม้หรือเปล่า
และระหว่างที่เช็ดโต๊ะกินข้าวไปผมก็ตอบอาสึกะไปด้วย
[ไม่ใช่เหรอ? เอาจริงไม่คิดว่ามันถูกหรอกนะ]
อาสึกะไม่ตอบอะไรมาผมก็เลยพูดต่อ
[มองว่าไม่เชิงว่าจะมีเหตุผลให้ถูกรังแกตรง ๆ อะไรหรอก แต่แค่สภาพแวดล้อมมันแย่ไม่เปลี่ยนเฉย ๆ หรือเปล่า]
ผมตั้งใจใส่พลังเต็มที่ในการเช็ดโต๊ะกินข้าว
สิ่งสกปกรกบนโต๊ะค่อย ๆ ซึมเข้าไปในผ้าสีขาวบริสุทธิ์
จากวันที่ฮินะกับยูเมซากิเผชิญหน้ากันก็ผ่านไปสองวันแล้ว
ถึงเวลาจะผ่านมาสักพักแล้วแต่ยังคงรู้สึกติดใจมาจนถึงตอนนี้ เลยตัดสินใจเล่าแล้วก็ขอคำแนะนำจากอาสึกะดูหน่อย
แต่สิ่งที่ได้มาเป็นคำตอบสุดจะเย็นชาอย่างคาดไม่ถึงเลยละ
[ถ้าสองคนนั้นมีเรื่องกันคนนอกก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งไม่ใช่หรือไง?]
[แต่ว่า มันมีคนเดือดร้อนอยู่นี่นา]
อาสึกะถือปลาซาบะราดมิโซะจากในห้องครัวเข้ามาในห้องนั่งเล่น
อยากจะบอกว่าสุดท้ายก็ไหม้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำอย่างนั้น
อาสึกะที่ไม่รู้ทำถึงได้ทำหน้ารู้สึกผิดอยู่ก็พูดเตือนผมบางอย่าง
[คือว่านะ ถ้าต้องช่วยทุกคนที่เจอปัญหาทั้งชีวิตคงใช้ไม่พอหรอกนะ หัดขีดเส้นแบ่งไว้บ้างสิ]
เสร็จก็เดินกลับไปห้องครัวแล้วก็ปิดไฟ จากนั้นก็หันกลับมามองผมอีกครั้ง
[จริง ๆ แล้วนายเองก็ควรคิดแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนฮินะจังก็ไม่ได้ขอให้เข้าไปยุ่งด้วยนี่ ถ้าตัดสินใจว่าจะทำแบบนั้นแล้วปล่อยไว้แบบนั้นก็ได้นี่]
ผมเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจผมออกไปด้วยไม่รู้ตัว
[ยะ…เย็นชาจังนะ]
[เหรอ?]
ผมคิดว่าแฟนแต่ละคนของที่ยอมรับกันและกันได้จะมีอะไรอย่างสายสัมพันธ์ผูกกันไว้ซะอีก
แต่ดูจากการตอบสนองของอาสึกะแล้ว ดูเหมือนะว่าจะไม่ใช่แบบนั้นนะ
ไม่รู้ว่าอาสึกะเดาใจผมได้หรือยังไง เลยเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผม
[แน่นอนว่าพวกเราอยู่ในสถานะแฟนเหมือนกัน? แต่ที่มารวมตัวกันก็เพราะมีนายเป็นศูนย์กลางเท่านั้น นอกนั้นก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า กลับกันจะบอกว่าเป็นศัตรูยังได้เลย]
อาสึกะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะกินข้าวแล้วก็พูดต่อ
[อีกอย่าง หัวหน้าฝ่ายอย่างยูเมซากิก็เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายของแท้เลยนะ ถ้าเตรียมใจแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่าไปต่อต้านจะดีกว่า แล้วก็สำหรับทางฉันแล้วให้ความสำคัญกับนายมากที่สุดด้วย]
[…อย่าไปต่อต้านจะดีกว่า นี่ ฮินะก็พูดมาแบบนั้นเหมือนนะ มีเหตุผลอะไรงั้นเหรอ?]
ถ้าแค่เพราะว่าเป็นระดับหัวหน้าอาสึกะคงไม่พูดแบบนี้ เพราะยังไงซะอาสึกะเองก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าสามฝ่ายใหญ่เหมือนกัน ถึงจะไม่เคยเห็นกลุ่มเลยก็เถอนะ
ระหว่างที่คิดอยู่อาสึกะก็เกาหัวตัวเอง
[…คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะรู้เอง แต่บอกไว้เลยก็คงจะดีกว่าละนะ อย่าพูดอะไรไร้สาระนะเข้าใจไหม?]
[รับทราบครับ]
[จริงแน่นะ?]
[แน่นอนครับผม]
อาสึกะหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่ผมยิ้มมุมปาก
เหมือนว่าจะไม่มีการซักไซ้อะไรอีก ผมก็เลยปิดปากเงียบ
[ที่รู้มาคือเป็นลูกสาวของประธานบริษัทใหญ่น่ะนะ แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ติดตามของเธอก็ไม่รู้เรื่องอะไรไปมากกว่านี้แล้วละ]
ลูกสาวประธาน
ลูกสาวประธานบริษัทใหญ่
[เอ๋ ลูกสาวประธาน! ภาพลักษณ์ต่างจากที่คิดไว้เลยนะเนี่ย!]
[อื้ม ความรู้ทั่วไปน่าจะยังอยู่ใช่ไหม? งั้นคงจะจำชื่อยูเมซากิกรุ๊ปได้นะ]
ผมพยายามคุ้ยในสมองเพื่อหาคำตอบให้กับอาสึกะ
สามวินาที สี่วินาทีผ่านไป—
[อื้ม…ไม่เลย]
[ทำไมกันละเนี่ย!?]
อาสึกะทำหน้าประหลาดใหญ่ใส่ผมยกใหญ่
[ทั้งที่ดังขนาดนั้นไหนนะ บ้าหรือเปล่านายเนี่ย? แต่ก็เป็นปัญหาละเอียดอ่อนด้วยสิ ช่างมันเถอะ]
[เล็งเป้าผิดที่หรือเปล่าเนี่ย? นี่มันดูถูกกันชัด ๆ เลยนะ]
[ไม่ใช่ว่าความจำในสมองเพี้ยนไปแล้วเหรอ]
[อย่าดูถูกความทรงจำของฉันน่า!]
ผมวางตะเกียบลงแล้วเถียงกับอาสึกะเท่าที่จะไหว
แต่อาสึกะก็เมินแล้วประสานมือพร้อมกับพูดว่า [กินละนะคะ] จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมา
ก่อนที่จะเริ่มกินกันผมรีบถามอาสึกะซะก่อน
[งั้น ถ้าจังหวะนั้นไม่ใช่ฉันอยู่แต่เป็นอาสึกะแทนจะทำยังไงเหรอ?]
ทันใดนั้นตะเกียบที่กำลังมุ่งไปที่ปลาซาบะไหม้นั้นก็หยุดลง
อาสึกะเงยหน้าหันมามองผมแล้วทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็กำหมัดตัวเองอย่างแน่น
[ก่อนอื่นก็ซัดเบ้าหน้าคุณยูเมซากิไง!]
[ไม่ได้แก้ปัญหาเลยนี่!? แถมจะมีเรื่องกันไปจนตายด้วยนั่น!]
[ใช่น่ะสิ ก็นายเป็นแฟนฉันนิ จะให้คนที่มายุ่งกับแฟนคนอื่นเดินลอยหน้าลอยตาหรือไง ต้องสอนให้รู้ว่าจะมาดูถูกันแบบนี้ไม่ได้]
[กลัวแล้วกลัวแล้ว รุนแรงจนน่ากลัวเลย! หัวหน้าแก๊งนักเลงหรือไงเล่า!]
พอเห็นใบหน้าตกใจของผม อาสึกะก็พริบตาปริบ ๆ แล้วตอบกลับ
[ไม่ใช่หัวหน้าแก๊งสักหน่อย ก็พูดถึงเวลาเจอสถานกาณ์แย่ ๆ ใช่ไหมละ เอาเข้าจริงไม่มีเหตุผลที่จะไปซัดหน้าใครสักหน่อย เพราะงั้นเลิกกลัวทีได้ไหม?]
[ก็ที่น่ากลัวเพราะบอกว่าจะไปซัดหน้าเขาเนี่ยแหละ…]
[คือว่านะ ฉันไม่ทำอะไรที่รบกวนคนอื่นหรอกน่า]
อาสึกะสางผงตัวเองขณะพูดไปด้วย แล้วก็มองทอดไกลออกไป
จากนั้นก็พูดอะไรออกมาเหมือนกับตัดสินใจได้
[…แต่ก็นะ ฉันเองก็รบกวนกับครอบครัวนายมาเยอะเหมือนกัน]
[…งั้นเหรอ แต่ว่านะแม่ก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นการรบกวนอะไรหรอกนะ]
[แม่ก็คงคิดแบบนั้นจริง ๆ แหละนะ แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดแบบนั้นหรือเปล่า? ถ้าแบบนั้นก็คงดีใจมากเลยละ]
[งะ…งั้นเหรอ]
[…หือ? ก็ใช่สิ]
—“คงดีใจมาก”
แอบติดใจที่เป็นรูปอดีตนิดหน่อย แต่ก็คุยถึงเรื่องเก่าด้วยสิ คงไม่มีความหมายอื่นหรอกมั้ง
ผมเผลอหลุบตาลง
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดขึ้น
กลิ่นของปลาราดมิโซะทำให้ผมใจสงบลง ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ที่จะคิดอะไรแบบนี้งั้นสินะ
[แต่ว่า ถ้ามีพลังขนาดนั้นก็น่าจะหยุดยูเมซากิได้สบาย ๆ ไม่ใช่เหรอ]
[อย่าเอาไปรวมกับการวิวาทของผู้ชายที่ต่อยกันครั้งเดียวก็จบสิ ความสัมพันธ์ของผู้หญิงมันซับซ้อนนะ]
เพราะฉะนั้นถึงต้องระวังไง
ถ้าเป็นผมละก็ ต่อให้เสี่ยงแค่ไหนก็ไม่หวั่นที่จะช่วย
แต่สำหรับอาสึกะแล้ว ฮินะไม่ใช่แบบนั้น
แนวคิดที่เรียบง่ายและชัดเจนแบบนี้ ให้ผมยอมรับมันจะดีแล้วเหรอ
—พอการรับคำปรึกษาวันนี้จะจบลง ผมจะหาคำตอบได้ไหมนะ
ตอนนี้ผมกำลังเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยงตอนนี้อยู่
วิธีแก้ปัญหาที่เรียบง่ายนั้นมีแค่เพียงอย่างเดียว
นั่นคือสิ่งที่เป็นตัววัดว่าตัวผมมีผลกับคนอื่นแค่ไหน ต้องมั่นใจว่าจะสำเร็จในครั้งแรก และถ้าไปได้สวย—ก็ต้องคิดว่ามีโอกาสที่มื้อนี้จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของผม
ผมหันเข้าไปเผชิญกับโต๊ะกินข้าว
นำสองมือมาประสานกันแล้วพูดว่า [กินละนะครับ] ออกมา
ผมถามออกไปพลางรินน้ำให้ด้วย
จากนั้นก็ส่งแก้วให้อาสึกะ แล้วจึงรินของผมตาม
อาสึกะรับรับเแก้วน้ำแล้วกล่าว
[ขอบคุณนะ]
ดื่มน้ำกันก่อนจะเริ่มมื้ออาหาร
ผมและอาสึกะดื่มน้ำเข้าไปในเวลาเดียวกัน จากนั้นแก้วที่ว่างเปล่าก็ถูกวางบนโต๊ะกินข้าว
เอาตะเกียบจิ้มลงไปบนปลาซาบะราดมิโซะ หนังปลาก็แตกออก
เนื้อมีความนุ่มนวลเหมือนกับจะละลายหายไปได้ ทั้ง ๆ ที่ไหม้แท้ ๆ น่าทึ่งมากเลย
ผมกินเนื้อปลาที่มีมิโซะอยู่เข้าไป
….อบอุ่นจัง
เป็นรสชาติที่ถูกปรุงมาอย่างเรียบง่าย
ถึงจะมีส่วนที่ไหม้ไปบ้างแต่เรียกได้ว่าอร่อยเลย
เรื่องวิธีการแก้ปัญหาที่คิดไว้ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกหน่อย ระหว่างที่กำลังเลผมก็กัดปลาเข้าไปอีกคำ
[อร่อยมากเลย…]
[ใช่ไหมละ? ออมไรซ์คราวที่แล้วแค่พลาดเฉย ๆ เอง]
อาสึกะหลุบตาลงไปแล้วกินปลาเหมือนอย่างมีความสุข
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขไปได้พักนึง อาสึกะก็จ้องสมาร์ทโฟนแล้วขมวดคิ้ว
[นี่ รับคำปรึกษากี่โมงเหรอ]
[อืม….บ่ายสองน่ะ]
[ตอนนี้บ่ายโมงยี่สิบเก้า รู้ไหมว่ากว่าจะไปโรงพยาบาลใช้เวลากี่นาทีน่ะ?]
[…ครึ่งชั่วโมง]
อาสึกะกระพริบตาใส่ผม
เหลือเวลาอีกสามสิบเอ็ดนาทีก่อนจะถึงเวลานัด
แล้วอีกหนึ่งนาทีก็ ไม่สิ เหมือนจะผ่านไปห้าสิบวิแล้วนะ
อาสึกะค่อย ๆ เหมือนนึกอะไรบางอย่างออกแล้ววางมือลงบนโต๊ะกินข้าว
[เดี๋ยวสิ ทำยังนั่งกินสบาย ๆ อยู่อีกละ!? รีบไปได้แล้วจะสายไม่ได้นะ!]
[จะจะเจ็บเจ็บ ลุกเองได้น่า]
ผมรีบลุกจากเก้าอี้หลังจากที่โดนดึงหูขึ้น แล้วออกจากบ้าน
พลางภาวนาในใจว่าขอให้ได้กลับมากินอาหารแบบนี้อีกครานึง
*******
[ขอโทษทีมาถึงแบบเฉียดฉิวครับผม!]
ผมรีบขอโทษคุณหมอทันที่นั่งลง
แต่แล้วคำพูดที่ดูไม่ทุกข์ร้อนก็ออกมา
[งั้นมาทบทวนสถานการณ์ของเธออีกครั้งนึงกันนะ]
[ครับ ขะ…ขอรบกวนด้วยนะครับ]
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นจนเหมือนจะไม่สบายเลย
พอนึกได้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาลก็รู้สึกเบาใจขึ้นนิดหน่อย
คุณหมอส่งเอกสารชุดนึงให้กับคุณพยาบาลที่หน้าตาคุ้นเคย เหมือนจะแชร์ข้อมูลกันงั้นสินะ
ดูจากสีหน้าของคุณพยาบาลแล้วค่อนข้างจริงจังเลย แต่ผมไม่ได้เขียนเรื่องซ้อนสามลงไปในเอกสารนะ
[ตอนนี้เราแยกประเภทของภาวะความจำเสื่อมได้ก็จริง แต่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ถึงจะบอกว่าเพราะอุบัติเหตุแต่ร่างกายก็หายดีเกือบหมดแล้ว สมองก็ตรวจไม่พบความผิดปกติด้วย]
[ความทรงจำหายไปแต่ไม่พบความผิดปกติเลย สมองเราเนี่ยน่ากลัวเหมือนนะครับ]
พูดเสร็จผมก็ยักไหล่หนึ่งที
น้ำเสียงของผมอาจจะดูสบาย ๆ ไปหน่อยละมั้ง คุณพยาบาลที่ยืนอยู่ถึงกับแอบยิ้มออกมานิดหน่อย
ถึงจะรู้ว่าผมเป็นพวกซ้อนสามแต่ก็ยังคงความสัมพันธ์ที่ดีกันไว้อยู่
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้ใหญ่งั้นสินะ
คุณหมอหันไปมองหน้าคุณพยาบาลนิดหน่อยแล้วรีบหันกลับมาทันที
[นั่นสินะ จริง ๆ แล้วอาจจะมีความผิดปกติอยู่เพียงแต่การแพทย์ในตอนนี้ยังไปไม่ถึงก็เป็นได้นะ]
ถ้าคุณหมอว่าไงผมก็ว่างั้นแหละนะ
เวลาที่ได้เราได้รับความรู้จากมนุษย์คนอื่นที่รู้ดีกว่าตัวเองนั้น การตั้งใจรับไว้ก็ถือเป็นเรื่องดีนะ
[เอ…การตรวจสมองอะไรพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ นะครับเนี่ย]
พอได้ยินเสียงสบาย ๆ ของผม ครั้งนี้เป็นคุณหมอที่ยิ้มแห้ง ๆ มาให้ผม
ดูเหมือนจะคิดถึงจุดยืนของตัวเองอยู่สินะ
เพียงแต่ว่าตัวผมก็ไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อที่จะให้คุณหมอรู้สึกไม่ดีหรอกนะ
การที่มารับคำปรึกษาอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือการที่มาถูกชี้จุดอ่อนได้ภายในคำเดียว
และในช่วงเวลานี้ผมรู้สึกเหมือนจะถูกบอกว่าผมเป็นตัวตนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่แล้ว
แต่ก็นะ จะบอกแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก
ถ้ามองจากมุมของคนธรรมดา การที่ความทรงจำกว่าสิบหกปีหายไปจนหมดก็คือพวกผิดปกตินั่นแหละ
แต่การที่ต้องมานั่งอยู่ในที่ที่ทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับความจริงแบบนี้ จากมุมตัวของผมเองก็เจ็บปวดมากเหมือนกัน
ถ้าผมไม่พยายามทำให้บรรยากาศในห้องตรวจนี้ดีขึ้นละก็ ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ความตึงเครียดก็จะมากเข้าไปอีก
เพียงแต่ วันนี้ตัวผมทำอะไรแบบนั้นไม่ไหว
จังหวะที่ความตึงเครียดกำลังก่อตัวขึ้น ผมก็พูดต่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
[แต่ว่านะครับ ขนาดว่าความจำเสื่อมยังได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วเกินคาดเลยนะผมเนี่ย ตอนแรกคิดว่าต้องใช้อีกหลายอาทิตย์ซะอีกครับ]
[อา ถ้าพูดถึงเรื่องนั้นละก็ เพราะซานาดะคุงเป็นนักเรียนม.ปลาย แถมยังโชคดีมีบัตรนักเรียนอยู่ด้วยนะ]
[เอ๊ะ อะไรนะครับ?]
ในสถานการณ์แบบนั้นถือว่าโชคดดี ผมไม่เข้าใจที่ต้องการจะสื่อเลยเผลอส่งเสียงออกไป
ผมแค่เปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้นเฉย ๆ แต่ดันเจออะไรที่น่าสนใจแล้วสิ
แต่หมอก็พูดต่อด้วยความสบาย ๆ ขึ้นมาว่า [ลองคิดตามหมอนะ]
[ในฐานะคนคนนึงที่ไม่มีบัตรประจำตัวอะไรเลยก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรยืนยันตัวตนว่าเป็นใคร ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้เลยนะว่าชีวิตนี้จะได้กลับไปเจอญาติหรือคนรู้จักอีกไหม ถ้าไม่เจอโดยบังเอิญน่ะนะ]
ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วจำอะไรเกี่ยวกับใครไม่ได้เลยขึ้นมา
ช่วงเวลาแบบที่ว่า ต่อให้จะพยายามนึกถึงอดีตของตัวเองยังไงก็เป็นได้แค่ผ้าใบที่ว่างเปล่า
[แล้วถ้าไม่มีใครเข้าไปแจ้งตำรวจเพื่อหาตัวเธอก็จบเรื่องคุยกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นทางรัฐบาลก็เข้ามาช่วยเหลือเรื่องที่พักและอาหารชั่วคราวจนกว่าความทรงจำจะกลับมา แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าจะกลับมาไหม ถ้าไม่ก็อาจจะต้องลงทะเบียนสำมะโนครัวใหม่เลยน่ะ]
[หวา…เกือบไปแล้วนะครับเนี่ย]
พอได้ฟังความจริงก็ทำให้ใจสั่นเลย
ครั้งผมถือว่าโชคดีที่มีบัตรนักเรียนอยู่ ทำให้สามารถติดต่อครอบครัวผมผ่านทางโรงเรียนได้ จากนั้นพ่อของผมก็คงไปติดต่อให้เรียบร้อยดี ค่ารักษาก็ถูกจัดการอย่างหมดจด แล้วด้วยการจัดการของครูยูคาวะทำให้สามารถติดต่อไปถึงเพื่อนสมัยเด็กอย่างอาสึกะได้ ทำให้ตอนที่ผมตื่นมาแล้วมีเธออยู่ข้าาง ๆ กัน
ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจออาสึกะอยู่ละก็ ตอนนั้นผมอาจจะทั้งกดดันและสับสนเป็นอย่างมากเลยก็เป็นได้นะ
เพราะการได้คุยกับอาสึกะทำให้ผมรู้ตัวเร็วว่าความจำเสื่อมเพราะฉะนั้นถ้าคิดดูดี ๆ การที่เธอมาเยี่ยมก็ช่วยผมได้มากมายแล้ว ถึงหลังจากนั้นจะถูกปั่นป่วนโดยแฟนสาวอีกสองคนที่เหลือนด้วยก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึงอะนะ
จะเรียกว่าโชคดีก็ถูกละนะ
เป็นโชคดีในความโชคร้ายเลย
[ความจำเสื่อมเนี่ยโดยปกติแล้วเป็นจะเป็นแค่ความคิดในหนังหรือละครเท่านั้นเองสินะครับ ถือว่าโชคดีเหมือนกันที่ได้มาอยู่ในโลกแบบนี้นะครับเนี่ย]
พอพูดจบคุณพยาบาลข้างหลังคุณหมอก็หลุดพูดว่า [คิดบวกดีจังนะ] แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าคุณหมอจะคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า ก็พบว่ากำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
[งั้นเหรอ เธอคิดว่าภาวะความจำเสื่อมมันไกลตัวงั้นสินะ ถ้างั้นจะคิดว่ามันเป็นหนังหรือละครก็ไม่แปลกหรอก แต่มันใกล้ตัวมากกว่าที่คิดนะ]
[แสดงว่าจริง ๆ แล้วมีคนที่มีภาวะความจำเสื่อมแบบผมเยอะงั้นเหรอครับ?]
[ไม่หรอก เอาเข้าจริงก็มีน้อยนั่นแหละ แค่ว่าเป็นอาการที่ไม่รุนแรงถึงชีวิตแต่ศึกษายากน่ะ อีกทั้งภาวะความจำเสื่อมยังมีระดับในการรักษาด้วย สรุปก็คือทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ป่วยละนะ]
[เห…อย่างนี้นี่เอง งั้นเกี่ยวกับการรักษา…]
[ซาดานะคุงถามทุกครั้งที่อธิบายเลยนะ ไม่ได้ฟังที่พูดเลยเหรอ?]
[ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แค่บางทีมันหลุดพูดออกมาเองเฉย ๆ!]
ผมรีบส่ายหน้าอย่างแรง
ผมจำเรื่องที่อธิบายมาได้ทั้งหมดก็จริงแต่ว่าอยากจะยืนยันซ้ำเท่านั้น
สุดท้ายคุณหมอก็พูดว่า [ช่างเถอะ] แล้วก็ถอนหายใจออกมา
แอบไม่เต็มใจนิดหน่อยที่จะให้ติดภาพว่าผมความจำไม่ดีเลยแฮะ
[ถึงจะพูดให้ฟังหลายครั้งแล้วก็เถอะนะ แต่การเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่กดดันเกินไปจะเป็นวิธีรักษาที่ง่ายและมีโอกาสจะหายมากที่สุดน่ะ]
[คุณหมอกำลังจะบอกว่า…]
พอคิด ๆ ดูแล้ว เอาเข้าจริงทำแบบนั้นมันดีจริง ๆ เหรอ
ก่อนที่ผมจะได้รู้เรื่องการรักษา ผมคิดว่าต้องพยายามตามหาสาเหตุและเผชิญหน้ากับเพื่อที่จะได้ความทรงจำกลับมามาตลอดเลย
คุณหมอหรี่ตามองผมเหมือนกับว่ากำลังมองทะลุไปหาแนวคิดของตัวผมคนเดิม
[ทั้งหมดก็เพื่อตัวของเธอเองนั่นแหละ…ซานาดะคุง เพื่อให้เธอได้ตั้งใจกับการพัฒนาร่างกายจิตใจของตัวเอง แล้วได้ทำบ้างหรือเปล่า? ได้ขอความร่วมมือกับคนที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน…ได้ทำแบบนั้นไหม?]
[เอ่อ ขอความร่วมมือเหรอครับ แบบนั้นผมว่ามันดูเห็นแก่ตัว—]
[ไม่เห็นแก่ตัวหรอก เป็นการรักษาต่างหาก เริ่มจากเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางบ้าง เธอน่ะเป็นพวกไม่สนใจตัวเองแล้วเอาแต่ใส่ใจคนอื่นมากไปแล้ว]
[เมื่อกี้กำลังจะพูดแบบนั้นพอดีเลยครับ ทำไมไม่ฟังที่ผมพูดให้จบละครับเนี่ย!]
ผมเงียบแล้วก็ถอนหายใจ
ผมไม่ได้ไม่สนใจตัวเองสักหน่อย ก็พึ่งพาอยู่ตลอดนี่นา
และผมก็ไม่คิดพึ่งพาอะไรไปมากกว่านี้แล้วด้วย
[ถ้าแบบนั้นก็ดี อย่างจนกว่าจะความทรงจำกลับมาก็พยายามอยู่ในสถานที่ที่ทำให้สบายใจแล้วก็หลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะทำให้รู้สึกแย่เข้านะ]
คุณหมอวางแผ่นชาร์ตลงบนโต๊ะแล้วหันมาที่ผม
[และถ้าหาว่าจำอะไรได้ขึ้นมา จำให้ขึ้นใจนะว่ามันไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไรทั้งนั้น]
[เข้าใจอยู่แล้วละครับ…ผมคงไม่เจอชิ้นส่วนความทรงจำหล่นอยู่ตามหลังตู้กดน้ำอยู่แล้วละครับ]
พอพูดเสร็จก็เหมือนหน้าของอริสึคาวะจะลอยเข้ามา
[แล้วก็การตามหาเบาะแสเกี่ยวกับความทรงจำไม่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นถูกด้วยเหตุการณ์แย่ ๆ นะ]
คุณหมอพยักหน้าแล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเหมือนดูแลเด็กอนุบาล
[สิ่งที่ควรทำในการรักษาคือการปลดปล่อยความเครียดให้ได้มากที่สุด ดังนั้นให้คิดถึงเรื่องนี้เป็นอันดับแรกซะนะ]
ถ้าคิดตามที่คุณหมอบอกละก็จากนี้คงต้องทำให้ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบแล้วมั้งเนี่ย
แต่คำเหล่านี้คงเป็นคำที่เหมาะสมที่พูดกับผมในตอนนี้ละมั้ง
[ดังนั้นการเข้าไปเผชิญหน้ากับอดีตเป็นเรื่องที่ควรทำหลังจากที่ความทรงจำกลับมาแล้วนะ]
หลังจากนั้นคุณหมอก็พูดต่อว่า [แน่นอนว่าจะส่งต่อไปให้กับหมอเฉพาะทางด้วยนะ] ให้ผมฟัง
พอผมรู้ว่าการทดสอบที่ทำประจำกำลังจะเริ่มขึ้น ผมก็รีบลนลานหยุดไว้ก่อน
[รอเดี๋ยว—ก่อนนะครับ]
[หืม?]
คุณหมอหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง
[คือว่าถ้าตัวเองกระโดดเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เครียด…ถ้าแบบนั้นความทรงจำจะไม่กลับมาสินะครับ]
ผมถามในขณะที่นึกถึงหน้าของฮินะไปด้วย
การที่ผมจะต้องต่อต้านกับหัวหน้าฝ่ายอย่างยูเมซากินั้น ต้องทำให้สภาพแวดล้อมในโรงเรียนของผมต้องตกอยู่ในความกดดันเป็นแน่ ซึ่งผมกังวลว่ามันจะเป็นความดันแบบเดียวกับที่คุณหมอบอกผม
และถ้าผมใช้วิธีแก้ปัญหาที่คิดเอาไว้ละก็คงหลีกเลี่ยงให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้
[หมอแนะนำอย่าทำแบบนั้นจะดีกว่า]
หลังจากคุณหมอพูดจบคุณพยาบาลข้างหลังก็บอกว่า [อย่าทำเรื่องไม่เข้าท่านะ เข้าใจไหม?] เพื่อปรามผม
พอถามเรื่องเมื่อกี้ทั้งสองคนก็มองผมด้วยสายตาที่จริงจัง
[งั้นผมขอถามต่อนิดนึงนะครับ ถ้าเกิดว่ามีคนที่ถูกรังแกอยู่ตรงหน้าจะทำยังไงกันเหรอครับ ตอนนี้อาจจะยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงละก็ผมคง—คนรอบ ๆ จะต้องเข้าไปช่วยเหลือ ผมคิดแบบนั้นนะครับ]
หลังจากพูดเสร็จทั้งสองคนก็กระพริบตาด้วยความประหลาดใจ
จากคุณหมอก็ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา
[…ว่ากันตามศีลธรรมและความถูกต้องแล้วก็ถือว่าเยี่ยมยอดมาก]
[ถึงจะเพื่อให้ความทรงจำกลับมา แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะกลับมาใช่ไหมละครับ? งั้นถ้าตอนนี้ผมทำอะไรสักอย่างคงจะดีกว่าสินะครับ!]
[ถึงจะไม่มีอะไรรับประกันแต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่นะ เธอไม่อยากจะได้ความทรงจำคืนมาเหรอ?]
คุณหมอพูดเสร็จ คุณพยาบาลก็เสริมต่อ
[ระหว่างความทรงจำกับความถูกต้องแล้ว อันไหนสำคัญกับเธอมากกว่ากันละ]
[…นั่นก็]
ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเลยหันไปมองคุณหมอ
ทันใดนั้นคุณหมอก็พูดอะไรออกมาราวกับจะตอบให้ผม
[ความทรงจำไง]
[…งั้น เหรอครับ]
[บางครั้งการหนีก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่งนะ คำพูดจากคนเป็นหมอคงจะพูดได้เท่านี้แหละ]
ถ้าหากว่าจะต้องกดดันก็ให้ปล่อยทิ้งไปแม้ว่าจะเป็นการรังแกกันจริง ๆ งั้นเหรอ
คุณหมอเลื่อนสายตาลงไปมองที่แผ่นชาร์ต
จากนั้นการทดสอบที่ทำประจำก็เริ่มต้นขึ้น
การรับคำปรึกษาครั้งนี้ผมไม่ได้ทำแม้แต่จะนับว่ามากี่ครั้งแล้ว หรือใช้เวลานานเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
******
[เป็นยังไงบ้าง? มีท่าทีว่าความทรงจำจะกลับมาไหม?]
[ไม่เลย ไม่เลยละ]
[เป็นอะไรน่ะ แรงใจหายไปไหนหมด?]
อาสึกะส่งเสียงไม่พอใจนักแล้วหันไปมองท้องฟ้า
สายลมเย็น ๆ พัดผ่านมา
เพื่อเปลี่ยนอารมณ์สักหน่อยเลยหันไปมองดูรอบ ๆ
ทางกลับบ้านเป็นถนนริมแม่น้ำ
เป็นแม่น้ำสายเดียวกับที่ไปโรงเรียน แต่แถบนี้จะเป็นแควมากกว่าเลยแคบหน่อย
มีเด็กม.ต้นหลายคนกำลังเล่นอะไรกันอยู่ตรงนั้น
กิจกรรมชมรมหรือเปล่านะ
หันไปมองข้าง ๆ อาสึกะกำลังหรี่ตาลงราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง
ซู่ม
ผมได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นเลยหันกลับไปดู
เด็กม.ต้นคนนึงกำลังพับเสื้อตัวเองแล้วโดดลงแม่น้ำ
ตัวผมคนเดิมเคยมีช่วงเวลาแบบนั้นหรือเปล่านะ
….รู้สีกว่าน่าจะไม่นะ
กลับกันเหมือนจะเป็นผมในตอนนี้ที่อยากทำมากกว่าอีก
[นี่ อาสึกะ]
[หืม อะไรละ?]
[ตัวฉันคนเดิมเนี่ย ต่างกับตอนนี้มากหรือเปล่า?]
อาสึกะหันสายตากลับมาจากเด็กม.ต้น แล้วกระพริบตาหนึ่งครั้ง
[…นั่นสินะ ก็ ค่อนข้างต่างกันเลยละ ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็เถอะนะ]
[งั้นสินะ]
ตอบคำถามมาสั้น ๆ พร้อมกับเกาหัวเล็กน้อย
คำถามที่จะถามต่อจากนี้ คงต้องใช้พลังใจหน่อยแฮะ
[ฉันเนี่ย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านของการชอบทำอะไรคนเดียวงั้นสินะ]
อาสึกะเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็ตอบกลับ
[ก็…รู้สึกตัวแล้วสินะ อื้ม เป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ]
อาสึกะไม่ยอมบอกว่าสาเหตุก็มาจากตัวเธอเองกับอริสึคาวะเลย
…ระวังตัวอยู่งั้นเหรอ
[เรื่องนั้น ทั้งหมดมาจากที่สนิทกับอาสึกะแล้วก็อริสึคาวะใช่ไหม?]
อาสึกกระพริบตา
[ฟังมาจากฮินะจังเหรอ? เป็นเรื่องที่นายติดใจอยู่ใช่ไหม]
[อืม ก็ใช่แหละ]
อาสึกะลดสายตาลงหลังจากฟังคำตอบของผม
จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้าที่ผมเคยคิดแต่ว่าอยากจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
ที่ผมทำแบบนี้ อาสึกะจะผิดหวังในตัวผมแค่ไหนกันนะ
[…ขอโทษนะ]
[เอ๊ะ? อะไรเหรอ]
อาสึกะพูดเสร็จก็จ้องมองผมด้วยดวงตาสีฟ้าคู่นั้น จากนั้นก็ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วพุดต่อ
[นายเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า? คิดว่าแค่สนิทกับฉันแล้วก็ซากิเนี่ย จะทำให้คนพูดถึงนายในทางที่ดีได้หรือไง]
[เอ๋?]
รู้สึกว่าตามสถานการณ์ตอนนี้ไม่ทันแฮะ
[นายน่ะมีชื่อเสียงในด้านความเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ ถ้าจะให้ฉันพูดก็แค่เป็นคนที่หนีจากความสัมพันธ์มนุษย์เท่านั้นเองละนะ…แต่ก็แล้วแต่คนมองแหละ]
[มีความเป็นผู้ใหญ่? ฉันเหรอ? เอาจริงดิ?]
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวผมจะมีอะไรแบบนั้นด้วย
เรื่องที่ดูไม่สนใจอะไรใครเนี่ยดูต่างจากผมในตอนนี้มากเลยนะ
[อื้ม พวกผู้ชายที่เด่น ๆ กันส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกบ้า ๆ บอ ๆ ใช่ไหมละ? แต่ว่านายน่ะใช้ความใจเย็นของนายในการสนิทกับซากิได้ ทำให้คนรอบ ๆ สนใจนายเพราะว่าความแปลกใหม่นั่นแหละ]
อาสึกะมองออกไปไกล ๆ แล้วพูดต่อ
[…แต่ปกติแล้วแค่เป็นคนใจเย็นเฉย ๆ คงจะเด่นไม่ได้หรอก เรื่องนั้นคงต้องขอบคุณซากินั่นแหละนะ]
อาสึกะพูดโดยที่ไม่กล่าวถึงตัวเธอเองเลย
คงเพราะอริสึคาวะเป็นนางแบบชื่อดังเลยคิดว่าเป็นเหตุผลส่วนใหญ่สินะ
[…งี้นี่เอง งั้นก็ถามเหตุผลที่เราทะเลาะได้แล้วใช่ไหม]
[อย่ามา “งั้น” เพื่อเชื่อมเรื่องมั่วซั่วได้ไหม?]
อาสึกะเงียบไปเหมือนจะไม่อยากตอบ
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็ทีนึง ตอนที่กลับมาบ้านก็ถามไปอีกทีนึง
เคยลองถามไปสองครั้งแล้วแต่ก็ได้สภาพแบบนี้กลับมาตลอด
…ยังบอกไม่ได้อีกเหรอ
ผมเลือกที่จะถามอะไรต่อแล้วหันไปมองที่แม่น้ำ
ทันใดนั้นคำตอบก็ปรากฎออกมา
[เพราะว่านายไม่ยอมพึ่งพาฉัน]
[เอ๊ะ?]
[ถึงได้บอกว่าหงุดหงิดไง แล้วมีแต่ฉันที่โกรธอยู่ฝ่ายเดียวด้วย ทำให้ห่างเหินกันเข้าไปอีกเนี่ย]
อาสึกะตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ดูว่างเปล่า
[อย่าบอกนะว่าที่ให้อริสึคาวะกับฮินะ—ที่ยอมให้คบซ้อนสามคนก็เพราะแบบนี้เหรอ]
สายลมพัดผ่านไป สายลมที่แห้งเหือดของเดือนพฤษภาคม
[ฉันแค่คิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติมากพอจะผูกมัดนายไว้น่ะ]
[ทำไมถึง—]
[ถ้าความทรงจำของนายกลับมาเมื่อไหร่ก็จะจำได้เองแหละ]
หลังจากที่อาสึกะตอบผมมาสั้น ๆ ก็หันมาเผชิญหน้ากับผม
[เพราะฉะนั้น ถ้าความทรงจำกลับมาแล้วละก็ ช่วยพึ่งพากันให้มากกว่านี้นะ]
[…ฉันอยากจะพึ่งพาเธอนะ อย่างน้อยช่วยจำเอาไว้ได้หรือเปล่า]
อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ผมก็อยากจะพึ่งพาอาสึกะ
แต่ว่า “ตัวผมตอนนี้” กับ “ตัวผมคนเดิม” มีรากฐานแนวคิดต่างกันเกินไป
ยิ่งฟังเรื่องราวมากเท่าไหร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนละคนกันมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับผมแล้วคนที่คุยด้วยแล้วหัวใจอ่อนไหวที่สุดก็คือมินาโตะอาสึกะนี่แหละ
คนที่สร้างระยะห่างกับอาสึกะคือตัวผมคนเดิม แต่ตัวผมตอนนี้ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำแบบนั้นเลย
เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องซ้อนสามอีก
เรื่องที่ฮินะมีปัญหากับยูเมซากิอีก ตัวผมคนก่อนควรจะต้องสังเกตเห็นเรื่องพวกนี้แท้ ๆ
ตัวผมในตอนนี้ไม่อยากจะมองข้ามมันไปแล้วมาเสียใจทีหลัง ไม่อยากเป็นเหมือนตัวผมคนเก่าที่—
[…นายน่ะ จะไปช่วยใช่ไหม]
[เอ๊ะ?]
[….ถ้าฮินะจังมีปัญหาอยู่จริง ๆ ก็คิดจะเข้าไปช่วยใช่ไหมละ]
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ
เป็นแค่การบ่งบอกว่าอาสึกะเชื่อใจในตัวผมแค่ไหน
[อื้ม ก็จะมองข้ามไปเฉย ๆ ไม่ได้นี่นา]
อาสึกะจ้องมาที่ผม
ทุกครั้งที่กระพริบตา ขนตาที่ยาวก็สั่นไหว
ดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองผมอยู่นี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
คิดว่าคงเป็น
[…เข้าใจแล้วละ]
อาสึกะถอนหายใจหนึ่งครั้ง
[…แค่อยากฟังให้มั่นใจน่ะ งั้นขอถามต่อนะว่าถ้าจะต้องไปช่วยจริง ๆ นายมีแผนอะไรบ้าง]
[…สมกับที่เป็นแฟนของฉัน]
[อย่าเพิ่งเล่นน่า อยากโดนตบเหรอ?]
[ไม่อยากโดนแบบเฉียด ๆ เลยครับผม!]
[แปลว่าอยากโดนตบแบบปกติหรือไง!]
ว่าแล้วเชียว อาสึกะเนี่ยอ่อนโยนจริง ๆ ด้วย
เพราะฉะนั้นเลยไม่ค่อยอยากจะให้มาเกี่ยวข้องด้วยเลย ไม่อยากสร้างปัญหาให้เลยสักนิด
ผมมีความคิดอยู่อย่างนึง
แต่วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ทำให้ชื่อเสียงของผมป่นปี้ไปหมด
พอเล่าให้อาสึกะฟัง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
[นี่นาย เข้าใจไหมเนี่ยว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วชีวิตในรั้วโรงเรียนจะเป็นยังไงน่ะ?]
[อื้ม ก็จะพังยับเละเทะไม่ใช่เหรอ?]
[บ้าหรือเปล่า เรื่องที่จะร่วมมือด้วยถือว่ายกเลิกแล้วกัน! ถึงฮินะจังจะเป็นเด็กดีแค่ไหนฉันก็ไม่เห็นว่านายจำเป็นต้องทำให้ขนาดนั้นเลยนะ !]
[เพราะว่าเป็นตัวฉันตอนนี้ถึงต้องทำเนี่ยแหละ]
อาสึกะเงียบไปพักนึง แล้วอะไรต่อออกมาเหมือนกับจะภาวนาบางอย่างไปด้วย
[…แล้วกว่าความทรงจำของนายจะกลับมาจะไม่แย่เอาเหรอ?]
[ก็นั่นแหละ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแหละ ตัวฉันที่กลับมาก็คงจะไหวอยู่]
[นายจะบอกว่าตอนนี้ก็มีปัญหาเหรอ]
[อ๊ะ- ตอนนี้น่ะดีที่สุดเลยละ]
[สาเหตุละ]
แอบลังเลนิดหน่อยว่าจะตอบไปตรง ๆ ดีไหมเหมือนกัน
[…ถ้าเกิดความทรงจำกลับมา คิดว่าตัวฉันในตอนนี้จะเป็นยังไงเหรอ]
[อืม…ก็แค่กลับไปเป็นคนเดิมไม่ใช่เหรอ? ไม่รู้หรอก]
กลับไปเป็นคนเดิม
ถ้างั้นแล้วบุคคลิกของผมตอนนี้จะเป็นยังไงละ
มีความเป็นไปได้ว่าความทรงจำใหม่ที่ผมสะสมนี้จะอยู่ดีก็มีอยู่
แต่ความเป็นไปได้ที่จะหายไปจนหมดเลยก็ไม่ใช่ศูนย์
ถ้าฟื้นความทรงจำกลับมาได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้นตัวผมและเรื่องราวในตอนนี้ก็จะหายไปหมด สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
ตัวตนของผมในตอนนี้จะหายไปอย่างสูญเปล่า
ผมเผลอกำหมัดแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
แมลงปอสองตัวบินลับสายตาไป ท้องฟ้าอันว่างเปล่าที่ชวนให้ขยะแขยงนี้ปกคลุมวิสัยทัศน์ของผมไปจนหมด
—-ย้อนกลับไปตอนที่ในห้องผู้ป่วย ตอนที่ผมกำลังอ่านนิยายสองเล่มที่อริสึคาวะให้ผมมา
นิยายทั้งสองเล่มนั้น ตัวละครเอกเป็นผู้มีภาวะความจำเสื่อม
เล่มแรกเป็นนิยายสำหรับเยาวชน
เป็นเรื่องราวตัวละครเอกและผองเพื่อนช่วยกันรวบรวมชิ้นส่วนของความทรงจำ แล้วก็ได้ชีวิตวัยรุ่นกลับคืนมา
แม้จะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ผมก็ไม่อาจจะแสดงความเห็นใจใด ๆ กับตัวละครได้เลย
อีกเล่มหนึ่งเป็นนิยายแนวแฟนตาซี
เป็นเรื่องราวของตัวละครเอกที่ยอมรับภาวะความจำเสื่อมของตัวเอง จากนั้นจึงได้พบเพื่อนใหม่และได้เดินไปสู่ชีวิตใหม่อีกครั้ง
พออ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าสนุกกว่าเรื่องแรกนะ
ผมรู้สึกอิจฉาเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ขาวบริสุทธิ์แบบนั้น
ที่ตัวผมในตอนนี้รู้สึกว่าเป็นคนละคนกับตัวผมคนเดิมนั้นมาจากการที่ความทรงจำของผมนั้นมันว่างเปล่าไปหมด
ผู้คนใช้ชีวิตและดำเนินไปจากการสั่งสมอดีต
คนรอบข้างเป็นดั่งกระจกที่สะท้อนตัวเอง
นี่คือกระบวนการในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่ามนุษย์นั่นเอง
ดังนั้นการที่ได้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่นั้น ก็เหมือนกับการที่เกิดใหม่
[…ฉันจะร่วมมือด้วยเอง แต่ในทางกลับกันช่วยบอกฉันทีสิ]
อาสึกะทำหน้าจริงจังแล้วจ้องตาผม
[…นายน่ะ อยากได้ความทรงจำกลับมาจริง ๆ ใช่ไหม?]
[…แหงอยู่แล้วสิ เพราะงั้นถึงได้ไปโรงเรียนไง]
น้ำตาพรั่งพรูลงมาจากเมฆสีขุ่น
เสียงโหวกเหวกที่อยู่ในใจนี้ ต้องเป็นสิ่งที่ผมไม่ควรรู้สึกถึงเป็นแน่