記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 6.3 กิจกรรมโอชิของฮินะ 3
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 6.3 กิจกรรมโอชิของฮินะ 3
บทที่ 6.3 กิจกรรมโอชิของฮินะ (3)
[อาสึกะถูกอริสึคาวะชวนไปเป็นนางแบบด้วยสินะเนี่ย ยอดไปเลยนะ!]
[…]
ไม่สนใจการเล่นใหญ่ของผมเลยแฮะ
[คุณอาสึกะคร้าบ…?]
ผมลองเรียกชื่อหลังจากที่ชวนคุยแบบเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่ ตาก็ของอาสึกะก็ดูเป็นประกายขึ้นมา
ผมเรียกร้องบางอย่างออกมาเพื่อเป็นการไปต่อบทสนทนา
[หนะ ไหนบอกว่าไม่คิดมากเวลาไปคุยกับคนอื่นไงเล่า!]
[ฉันไม่เคยพูดสักครั้งเลยนะ!]
[พูดมาไม่ใช่เรอะ!?]
ผมพยายามเตือนให้นึกออกในขณะที่อาสึกะมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้พูด
แต่เหมือนอาสึกะจะเดาได้ว่าผมคิดอะไรอยู่
[ถึงจะไม่ได้คิดมาก แต่มันก็หงุดหงิดนี่]
[นั่นก็คือผลลัพธ์ของการที่คิดมากไม่ใช่เหรอ…]
ทันใดนั้นอาสึกะก็หยุดแล้วพิงกำแพง จากนั้นก็เสยผมหนึ่งที
ท่าทางแบบนั้นเหมือนกับว่ากำลังสงบใจตนเองอยู่
[ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะให้ความสำคัญกับใครมากกว่า แต่ก็มีบางทีที่รู้สึกว่าไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน ในฐานะแฟนก็คิดว่าทำได้ดีแล้วนะ หรือไม่ดีเหรอ?]
[ไม่ได้แย่เลยครับบอส เยสเซอร์!]
[จบเรื่องเท่านี้ ไปกันได้แล้ว ตามมา!]
อาสึกะเริ่มกลับมาเดินต่อ ปล่อยไว้แบบนี้จะดีแล้วเหรอ แต่ถ้าโกรธอีกก็คงแย่แฮะ
ผมที่ปลิวไสวมามีกลิ่นหอม ๆ ด้วยแฮะ แต่ไม่พูดออกมาดีกว่า น่าอายออก
สุดท้ายผมเลือกที่จะเบี่ยงไปคุยเรื่องอื่น
[จะว่าไปแล้วถึงจะเคยโทรคุยกันมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่ครูประจำชั้นของฉันเป็นคนแบบไหนกันเหรอ?]
คราวนี้อาสึกะหยุดแล้วกลับมาาตอบ
[คิดว่าคงเป็นครูที่ดีนะ เห็นว่าตอนที่กำลังหาว่าจะให้ใครมาดูแลนายก็มาขอให้ฉันไปทำนี่แหละ เป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่าเป็นครูที่ใส่ใจกันมากเลยละ]
[อย่าง…อย่างนี้นี่เอง เป็นครูที่ดีเลยเนอะ]
[พยายามต่ออีกหน่อยสิ ชวนคุยเรื่องก่อนหน้านี้ต่อดีไหม?]
[ไม่อยากต่อเรื่องนั้นแล้ว!]
[ตอบตรงดีนี่!]
อาสึกะขึ้นบันไดต่อ ระหว่างที่กำลังมองทางไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าใกล้ถึงแล้ว
จากนั้นผมก็พูดกับอาสึกะต่อ
[แต่ว่าการที่มีคนดูแลก็ช่วยได้มากเลยนะ อย่างตอนที่เข้าโรงพยาบาลหรือเมื่อวานก็มาช่วยทำความสะอาดให้ด้วยใช่ไหมละ? แบบว่ารู้สึกเหมือนฝุ่นในบ้านมันหายไปน่ะ]
[ใช่ไหมละ? ก่อนหน้านั้นยังไปทำอาหารให้กินด้วยนี่นะ]
[รอบนั้นมันไหม้นี่]
[ลืมเรื่องนั้นไปก็ได้ไป!]
อาสึกะหันกลับมาแล้วทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยจากนั้นก็ชวนคุยต่อ คงอยากจะลืมเรื่องนี้ไปละมั้ง
[งั้น คุยเรื่องครูต่อกัน จริงด้วย ดูเหมือนจะเป็นครูที่ปรึกษาชมรมที่นายอยู่ด้วยนะ]
[ครูที่ปรึกษาเหรอ? ฉันมีชมรมอยู่ด้วยงั้นเหรอ?]
ได้ฟังเรื่องตัวเองเพิ่มอีกแล้ว เยอะขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ
อาสึกะพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง
[อื้ม ชมรมฟุตบอลน่ะ เลยอาจจะดูเข้มงวดหน่อยนะ]
[หวายชวนให้หนักจังน้าา]
หลังจากตอบกลับไปด้วยเสียงแปลก ๆ อาสึกะก็บ่นอะไรต่ออกมา
[หา เสียงแปลก ๆ นั่นมันอะไร ไม่เป็นไรน่า เทียบกับฉันที่โดนครูจับตาดูเนี่ยดีกว่าเยอะ]
[เอ๋ อาสึกะเหรอ? เพราะเป็นหัวหน้าฝ่ายอะนะ?]
[นายแค่อยากพูดคำว่าหัวหน้าฝ่ายเฉย ๆ นี่นา! ฟังนะ เรื่องฝ่ายอะไรนี่มันก็แค่กระจายกันไปเพราะนึกสนุกกันเอง เอาเข้าจริงของแบบนั้นไม่ได้มีอยู่หรอก อา–พอจะรู้แล้วว่าทำไมถึงจะกระจายไปเยอะขนาดนี้ เพราะว่ามีคนที่นึกสนุกเอามาพูดแบบนายนี่แหละ ใช่ไม่ได้จริง ๆ]
[ฮ่าฮ่า สมมติฐานน่าเชื่อถือดีนะ แต่ว่าที่บอกว่าจับตาดูเนี่ยแสดงว่าต้องไปทำอะไรผิดมาน่ะสิ]
พอถามอาสึกะก็ทำหน้ามุ่ยใส่
[เสียมารยาทจังนะ ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แต่ย้อมผมทองแล้วก็ติดกระดุมไม่ครบ เหตุผลประมาณนั้นแหละ]
[อ๋อ งี้นี่เอง พวกเรื่องระเบียบสินะ]
จังหวะนั้นลมก็พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมของอาสึกะปลิวไสว
ถ้าเป็นที่โรงพยาบาลหรือข้างนอกผมสีทองของอาสึกะจะไม่ได้ดูแปลกอะไรมากนัก
แต่ถ้าสถานที่เป็นโรงเรียนอย่างนี้ก็ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาเลยละนะ
ถ้าให้พูดแบบง่าย ๆ ก็คือมีลักษณะเป็นสาวแกลนั่นแหละ เลยไม่แปลกอะไรที่เหล่าครูจะต้องจับตามอง
เหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ อาสึกะก็เลยเอานิ้วเล่นผมของตัวเองนิดหน่อย
[นี่น่ะ ก็คิดมาตลอดเลยนะว่า…ย้อมดำไปเลยจะดีกว่าไหมนะ]
[ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็เหมาะดีแล้วนี่นา]
ในแง่ของครูก็คงมองว่าผิดระเบียบกันละนะ แต่ส่วนตัวผมว่าสีผมนี้เหมาะกับตัวอาสึกะมากกว่าสีดำอีก
การที่อยากจะสนับสนุนให้ใครต่อใครมีสีผมที่เหมาะกับตัวเองเป็นเรื่องที่ควรจะทำนี่นะ
อาสึกะเบิกตากว้างให้กับคำตอบของผม
คำที่ตอบกลับผมมาเหมือนจะเป็นแค่คำตอบธรรมดา ๆ แต่เหมือนว่าจะแฝงความรู้สึกเข้ามาอยู่เหมือนกัน
[ขะ…ขอบคุณนะ]
[อ้าว ทำไมดูเงอะงะงั้นละ]
[…ไม่มีอะไร แค่ดีใจนิดหน่อยน่ะ]
[ดูแล้วน่าจะมีอะไรนี่นา! ถ้าเขินละก็ไม่พูดแล้วก็ได้นะ!]
[ฮะฮะ ขอโทษนะ อื้ม ที่เมื่อกี้ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เลย ครั้งหน้าจะระวังนะ]
อาสึกะยักไหล่แล้วยิ้มให้เล็กน้อย
เป็นรอยยิ้มที่สดใสราวกับว่าไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ผมเริ่มเดินต่อในขณะที่สบายใจขึ้น
ถึงจะรู้สึกผิดอยู่มากที่ผมดำเนินความสัมพันธ์นี้ต่อไปเพื่อให้การฟื้นฟูความทรงจำของผมสำเร็จไปด้วยดี
เพียงแต่ถ้ามันทำให้ความทรงจำกลับมาได้ละก็ อาสึกะเองก็ต้องยกโทษให้แน่
ถ้าเข้าใจความตั้งใจของผมละก็ต้องไม่โกรธอยู่แล้วละนะ
—-แต่ถ้าหากว่าก่อนที่ความทรงจำจะกลับมานั้นจะต้องถูกลงทัณฑ์ซะก่อน จะเป็นการลงทัณฑ์แบบไหนกันนะ
ผมมองไปรอบแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศแปลก ๆ นิดหน่อย เลยตัดสินใจเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปไม่นานพวกเราก็เดินมาถึงโถงทางเดินเข้าตึกเรียนตะวันตก
เมื่อเทียบกับตึกเรียนฝั่งตะวันออกแล้วโถงทางเดินมีความเงียบสงัดและบรรยากาศแปลกกว่ากันมาก
หลังจากเราเดินมาได้ประมาณสิบวินาที อาสึกะก็เงยหน้าขึ้น พอผมเงยหน้าขึ้นตามก็ผมว่ามีป้ายที่เขียนว่า [ห้องพักครู] ติดอยู่หน้าห้อง
[เอาละ ถึงแล้วนะ!]
อาสึกะยิ้มให้เล็กน้อยแล้วชี้ไปที่ป้าย
[อ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ คือว่า ขอโทษนะที่วันนี้มาสาย]
พอพูดจบอาสึกะก็พูดต่อว่า [มาบอกเอาตอนนี้เหรอ?] แล้วยิ้มเหย ๆ ให้
[มาขอโทษตอนที่มาถึงห้องพักครูแล้วเนี่ยนะ~]
ผมอยากจะตอบอะไรสักอย่างกลับไปเหมือนกันนะ แต่น่าเสียดายที่ผมเถียงอะไรกลับไปไม่ได้ ก็เพิ่งเป็นคนขอโทษไปเองนี่นะ
[อะฮะฮ่า ทำหน้าแปลกดีจัง มาดูกันว่าจะเอาหน้าแบบนี้ไปสู้กับครูยูคาวะไหวไหม]
กริ๊ก
[อุหวาาา!?]
[ไม่ต้องหาอะไรมาแก้ตัวน่า คิดว่าคงไม่ได้โกรธอะไรหรอก]
พอผมเดินตามอาสึกะเข้าไปแบบเก้ ๆ กัง ๆ ก็เจอกับครูผู้หญิงคนหนึ่งที่มีตอบสนองต่อผมทันทีก็คือครูคนเมื่อวานที่เจอกันในชั่วโมงเรียนแรกนั่นเอง จากนั้นเราสองคนถูกโบกมือเรียก คนคนนั้นคือครูยูคาวะงั้นเหรอ
เราเดินผ่านโต๊ะยาวที่มีช่องแคบ ๆ ให้เดินไปจนถึงโต๊ะของครูยูคาวะ
เป็นครูที่ผมหยิกยาวไปถึงไหล่ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลาย ๆ ถึงสามสิบต้น ๆ มีการแต่งหน้าทำให้เปลือกตาถูกยกขึ้นนิดหน่อยให้ความรู้สึกมีความเป็นผู้ใหญ่
[อ๊ะ ซานาดะคุง เมื่อวานก็เจอกันเนอะ! เหมือนจะมีปัญหาหลาย ๆ อย่างเลยสินะ ]
คิดว่าจะโดนดุเรื่องมาสายซะอีก แต่กลับไม่โดนแฮะ
[ไม่หรอกครับ ไม่ขนาดนั้น…]
[ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกนะ แย่มาก ๆ เลยไม่ใช่เหรอ]
อาสึกะพูดแทรกเข้ามาจากข้าง ๆ
คือเรื่องความจำเสื่อมมันร้ายแรงจริง ๆ แต่ประโยคเมื่อกี้มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบทั่ว ๆ ไปนะ
เหมือนว่าจะยังไม่หายโกรธหรือเปล่าหว่า คนคนนี้
ครูยูคาวะหัวเราะออกมานิดหน่อยก่อนจะกลับมาทำสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม
[ได้ฟังเรื่องราวมาจากพ่อของเธอแล้วละ เรื่องคะแนนเข้าเรียนเดี๋ยวจะจัดการให้เท่าที่ทำได้นะ ส่วนถ้ารู้สึกไม่ดีก็ไปพักที่ห้องพยาบาลได้เลย]
[ครับ ขอบคุณมากนะครับ]
…พ่อเหรอ
ถึงจะความสัมพันธ์ของเราน่าจะไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังติดต่อโรงเรียนให้สินะเนี่ย
แต่คิดว่าน่าจะมีเป้าหมายที่แย่ ๆ อย่างกลัวจะรู้ว่าผมอาศัยอยู่คนเดียวมากกว่า
แล้วก็ถึงจะเป็นแค่ลูกชายแต่ก็คงไม่อยากให้ผมสภาพแวดล้อมแย่ลงละมั้ง
พ่ออุตส่าห์ติดต่อโรงเรียนกับโรงพยาบาลให้ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับผมในตอนนี้น่ะนะ
ถ้าพ่อไม่อยากจะเห็นหน้าผมขนาดนั้น ตัวผมเองก็ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรที่จะต้องไปฝืนติดต่อหาด้วย
[แล้วก็ครูชื่อยูคาวะ ยูมิโกะ นะ ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้แนะนำตัวนะ? ปีที่แล้วครูก็เป็นครูประชั้นของเธอเหมือนกัน ถ้าไปแนะนำตัวตอนนั้นละก็เดี๋ยวทุกคนจะแปลกใจเอาน่ะสิ]
พอได้ฟังคำของครูยูคาวะแล้วผมก็ตอบสิ่งที่ผมคิดกลับไป
[ไม่หรอกครับ ถ้านึกถึงสถานการณ์ตอนนั้นก็คิดถูกแล้วละครับ อีกอย่างถ้าได้ครูคนเดียวกับตัวผมในปีที่แล้วมาเป็นครูประจำชั้น การฟื้นฟูความทรงจำก็จะทำได้ดีขึ้นด้วย ดีใจมากเลยครับ]
[ครูสบายใจขึ้นนะถ้าเธอพูดแบบนั้น]
ครูยูคาวะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
[แล้วก็เรื่องคนที่จะคอยช่วยเหลือซานาดะคุง ตอนนี้มีคุณมินาโตะกับคุณอริสึคาวะคอยดูแลอยู่ใช่ไหม ครูจะบอกว่าถ้ามีอะไรก็สามารถแจ้งกับครูคนอื่น ๆ ได้ด้วยนะ ส่วนนักเรียนคนอื่นคงยังไม่รู้เรื่องกัน ใช่ไหมนะ? ]
ครูยูคาวะเลื่อนสายตาไปหาอาสึกะ
[ค่ะ กลับกันแล้ว ความจริงอยากหนูอยากเก็บเรื่องของยูกิไว้เองคนเดียวมากกว่าน่ะค่ะ]
[อย่าพูดอย่างนั้นสิ ถึงจะเป็นคุณมินาโตะก็ดูแลสาดส่องยูกิคุงได้ไม่หมดใช่ไหมละ]
[ถ้าตั้งกล้องไว้ก็สาดถึงแล้วค่ะ]
[น่ากลัวออกหยุดเลยนะ!]
[ล้อเล่นน่า หนวกหูจริง]
[แต่เสียงนั่นดูเหมือนไม่ล้อเล่นเลยนะ!]
พอผมถอนหายใจเล็กน้อย ครูยูคาวะก็กระพริบตาหนึ่งครั้งแล้วเลื่อนสายตามาทางผมเหมือนกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่
[คุณมินาโตะ ยูกิคุงเนี่ยค่อนข้างร่างเริงเลยนะ?]
[ค่ะ แต่ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนะคะ]
[งั้นเหรอจ๊ะ ปีที่แล้วครูไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ก็เลย…]
จากนั้นครูยูคาวะก็มองไปที่เอกสารแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
[ครูอยากจะคุยเรื่องชมรมหน่อยน่ะ แต่ไว้คราวหน้าดีไหม ดูเหมือนจะมีหลาย ๆ เรื่องด้วยสิ]
[ครับ ช่วยได้มากเลย เรื่องออกแรงตอนนี้ผมยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ด้วย]
พอผมตอบกลับไปครูยูคาวะก็ยิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยน
[นั่นสิเนอะ ช่วงนี้อาจจะลำบากสักหน่อยถ้ามีอะไรก็มาขอให้ครูช่วยได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียวละ]
[ขอบคุณมากนะครับ…ถึงครูจะดูพูดจาเข้มงวดไปหน่อยแต่ก็ใจดีมากเลยนะครับเนี่ย]
[ครูพูดจาเข้มงวดงั้นเหรอจ๊ะ…ช็อคเลยจ้ะ…]
เหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างมากครูก็เลยดูห่อเหี่ยวลงไป พอครูเริ่มแปลก ๆ ไปอาสึกะก็ตื่นตระหนกตาม
[เป็นครูที่ดีเลยใช่ไหมละ! นั่นไง ที่คนอื่น ๆ ยอมให้ฉันย้อมผมได้ก็เพราะครูเลยนะ]
[คุณมินาโตะ…แบบนั้นฟังดูเหมือนครูสะดวกใช้เฉย ๆ เลยนะ]
[เอ่อ สลายโต๋!]
อาสึกะออกไปจากห้องพักครูอย่างรวดเร็ว
อาสึกะเกาหัวเล็กน้อยแล้วพูดกับผมที่กำลังเดินตามไปอยู่
[เป็นครูที่ดีเลยใช่ไหมละ?]
[ต้องขอบคุณเธอเลยที่พามา ได้เห็นครูเป็นห่วงแบบนี้ทำเอาคิดว่าความจำเสื่อมไปก็ดีเหมือนกันนะ]
[เจ้าบ้า จะดีได้ยังไงเล่า รีบฟื้นความทรงจำให้ได้เถอะน่า]
[รู้แล้วน่า แค่ล้อเล่นเฉย ๆ ]
ผมหัวเราะอีกหน่อยแล้วกำลังจะพูดต่อ
เสียงจากโถงทางเดินเริ่มมีเสียงโหวกเหวกขึ้นเล็กน้อย
[นี่ ทำไมจนถึงตอนนี้ฉันถึงไม่มีเพื่อนสักคนเลยละ?]
อาสึกะหยุดลงแล้วเอามือเท้าคางไว้เหมือนกำลังจะคิดอะไรบางอย่าง
[ยากจังเลยนะ อื~ม…เป็นพวกไม่ค่อยสนใจใครละมั้ง? มันก็อารมณ์แบบพวกรักสันโดษนั่นแหละ]
[พูดออกมาตรง ๆ งี้เลยเหรอ? รอบนี้จะอธิบายให้ฟังโดยละเอียดใช่ไหม?]
[วุ่นวายไม่เอาหรอก]
[อธิบายมาสักหน่อยเถอะน่า!]
อาสึกะยักไหล่แล้วหัวเราะให้กับคำถกเถียงของผม
พอเห็นรอยยิ้มของเธอแล้วก็ทำให้คิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง
บุคคลิกของผมคนเดิมงั้นเหรอ
ทั้งที่เป็น “ซานาดะ ยูกิ” เหมือนกันแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกว่าเนื้อแท้นั้นดูต่างกันเกินไป
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังมีบางอย่างที่เหมือนกัน ดังนั้นตัวผมในตอนนี้ก็คือตัวผมนั่นแหละนะ
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้น กลิ่นอายของตึกเรียนเก่าก็ลอยเข้ามาเตะจมูกผม