記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 2.4 แฟนสาวสามคน 4
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 2.4 แฟนสาวสามคน 4
บทที่ 2.4 แฟนสาวสามคน (4)
หลังจากอริสึคาวะออกไปจากห้องสักพัก ก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
ผมมองไปด้วยความหวาดระแวง แต่ประตูก็ไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด
แล้วพักนึงเสียงก็เงียบไป แล้วก็ดังขึ้นอีกที สงสัยว่าถ้าไม่ตอบอะไรไปสักหน่อยก็คงไม่กล้าเปิดประตูละมั้ง
การเคาะประตูก่อนเข้าห้องมันเป็นเรื่องปกติก็จริงอยู่ แต่อย่างอาสึกะก็ชอบโผล่เข้ามาในห้องเอง ส่วนอริสึคาวะก็เปิดเข้ามาโดยไม่สนใจทำให้คุณพยาบาลตกใจเหมือนกัน
ผมคงถูกรายล้อมด้วยแฟนสาวสองคนที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก ๆ ละมั้ง เพราะงั้นกรณีนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ปกติชนมากเลย
[เชิญครับ] พอผมตอบไปประตูก็เปิดออก
พอมองไปก็เห็นช่องว่างประตูเหลือสักยี่สิบเซนต์จนเห็นทางเดินได้เลย จากนั้นก็จะเห็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลเดินเข้ามาพร้อมกับปลายผมบ็อบที่เด้งไปเด้งมาอยู่ และนั่นคือความประทับใจแรกของผม
[รุ่นพี่]
หลังจากเก้ ๆ กัง ๆ จะเปิดประตูอยู่นาน ในที่สุดสาวผมน้ำตาลบ็อบก็เข้ามาในห้องสักที
[…สะ สวัสดี]
ดูเหมือนตอนนี้ชักจะประหม่าขึ้นมาแล้วสิ ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เลย เหตุผลก็คงเพราะว่าตอนนี้ผมกำลังรับแขกที่มารยาทเป็นปกติมากอยู่น่ะสิ
ถ้าคิดจากที่อริสึคาวะบอกมา ผู้หญิงคนนี้ก็คงจะรู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้วก็เลยคิดว่าจะเจอคนที่แปลก ๆ ซะอีก แต่คนนี้ให้ความรู้สึกว่าน่ารักที่สุดในสามคนเลย
ถ้าสองคนนั้นคือคนสวยละก็ ผู้หญิงคนนี้ก็คือน่ารักบริสุทธ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
ผู้หญิงที่ผมเคยเจอมาทั้งหมดตอนนี้ทั้งสวยและน่ารักกันทั้งนั้น แปลว่าผู้หญิงรุ่นเดียวกันกับผมนี่จะแบ่งได้สองอย่าง คือสวยกับน่ารัก คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นกันหมดนะ
เด็กผู้หญิงคนนี้กำลังมองหน้าผมพร้อมกับกรอกตาไปมา
[คะ คือว่า ยุ่นพี่]
[เอ๊ะ?]
[อะแฮ่ม รุ่นพี่]
มีพูดใหม่ด้วย
ผมทำเป็นไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วรอให้พูดต่อ
[เอ่อ สบายดีไหมคะ]
[….เห็นดูสบายดีไหม?]
[น่ะ!? นั่นสินะคะขอโทษด้วยค่ะ! ขอโทษด้วยค่า!]
ต้องหยุดเธอที่จะตั้งท่าเตรียมจะกลับไปซะก่อน ยังไม่รู้ทั้งชื่อทั้งเหตุผลที่มาเลย จะให้กลับได้ยังไง
[ฉันชื่อซานาดะ ยูกิ! ช่วยบอกชื่อเธอมาหน่อยสิ!]
พอพูดจบเธอก็หยุดมือที่กำลังบิดกลอนประตูทันทีแล้วหันกลับมาพร้อมกับตัวสั่นเล็กน้อย
[ระ รุ่นพี่ ลืมเรื่องของหนูไปอย่างที่เขาว่าเลยจริง ๆ สินะคะ]
[ขะ ขอโทษด้วยนะ ]
ผมขอโทษออกมาทันที
เห็นหน้าเศร้า ๆ แบบนั้นของเธอแล้ว จะไม่ขอโทษได้ยังไงกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่ผมความจำเสื่อมนั้นทำร้ายเธอขนาดไหน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมกล่าวขอโทษอย่างเป็นธรรมชาติได้แบบนี้
[ไม่ใช่ขอโทษสิคะ!รุ่นพี่ตายไปแบบนี้หนูจะทำยังไงดีละคะ!]
[ไม่หรอก ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้นะ?]
[รุ่นพี่สำหรับหนูตายไปแล้วค่ะ!]
[พูดเรื่องโหดร้ายออกได้หน้าตาเฉยเลยนะ!? นี่เป็นนิสัยปกติของเธอเรอะ!?]
การโจมตีที่หลบไม่ได้แทงเข้าตัวเต็ม ๆ แทบกระอักเลือดเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สนใจแล้วยังคงพูดต่อไปอีก
[ขอโทษค่ะ พูดตรงไปหน่อย….]
[นอกจากจะไม่แก้ตัวแล้วยังซ้ำเติมอีกด้วยสินะเนี่ย]
ต่างกับอริสึคาวะและอาสึกะที่ถึงจะมีความเด่นเฉพาะตัวสูงแต่ก็อดทนไม่พูดออกมาเพราะกลัวว่าจะทำร้ายผม แต่เด็กคนนี้ที่เลือกจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้อย่างตาเฉยก็มีความเฉพาะตัวสูงเหมือนกัน
[แต่ว่าไปแล้ว เธอใช้ชีวิตโดยยึดผมเป็นหลักขนาดนั้นเลยเหรอ?]
ถึงคำถามอาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ถ้าไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยก็จะช่วยแก้ปัญหาไม่ได้
ผมขมวดคิ้วพร้อมกับรอคำตอบของคำถามที่ดังก้องในห้องนี้
[ไม่ ไม่ได้ยึดติดขนาดนั้นหรอกค่ะ….แค่อาจจะไลม์ไปหามากหน่อยเท่านั้นเอง]
[วันนึงส่งมาหาเท่าไหร่เหรอ?]
[สองร้อยค่ะ]
[สองร้อย??]
เข้าใจละ เด็กคนนี้เกินเยียวยาเลย
ไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้จะมีใครอาการหนักกว่าอริสึคาวะไปได้
ผมน้ำตาลบ็อบเด้งไปเด้งมาเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
[มะ ไม่เป็นไรถือว่าเป็นสถิติใหม่เลยค่ะ แต่ดูเหมือนตอนนั้นรุ่นพี่จะปิดแจ้งเตือนไว้ด้วยสิ เพราะงั้นจริง ๆ แล้วหนูก็ไม่ได้ข้อความตอบกลับมานานแล้วค่ะ ]
[ฉันนี่ก็เลวสุดเหมือนกันนะเนี่ย]
สมเป็นคนที่มีแฟนสามคน สุดจะเห็นแก่ตัวเลย
เหมือนสามัญสำนึกตอนนี้กับการกระทำของผมตอนนั้นจะสวนทางกันไปไกลเลย ไกลขนาดว่าไม่อยากได้ความทรงจำคืนแล้ว ถ้าได้คืนมาจริงละก็ หัวผมคงตีกันมั่วไปหมดแน่
ช่างมันก่อน ตอนนี้ถ้าไม่พูดอะไรสักอย่างสงสัยจะไปไหนต่อกันไม่ได้
[คือว่านะ ช่วยบอกชื่อมาหน่อยได้หรือเปล่า พอดีว่าตอนนี้ยังไม่รู้ชื่อกันเลย]
หลังจากผมพูดไป สาวเจ้าก็ใช้เวลาลังเลพักนึงก่อนจะตอบมา
[ฟุ…ฟุเอโนะ ฮินะ ค่ะ เรียกว่าฮินะได้เลยนะคะ]
[อื้อ เข้าใจแล้ว ฮินะ]
จังหวะนั้น ฟุเอโนะ ฮินะก็หน้าแดง
[อะ ทะ ทำไมถึงเรียกชื่อกันละคะ!]
[ก็บอกให้เรียกเองไม่ใช่เรอะ!?]
แปลกใหม่จัง ปฏิกิริยาใสซื่อสุด ๆ เลย
คนที่ความจำเสื่อมอย่างผมคงจะเขินเพราะแค่โดนเรียกชื่อไม่ได้แน่ ๆ
ก็อย่างอาสึกะก็เรียกชื่อผมมาตั้งแต่แรกนี่ หรือกระทั่งตอนจูบกับอริสึคาวะก็ไม่ได้เขินเหมือนกันด้วย
[ฮินะนี่ คบกับผมอยู่งั้นสินะ?]
[อะ เรื่องนั้นคือว่า…!]
[อ๊ะ หรือไม่ใช่เหรอ]
[คบกันอยู่ค่ะ!]
[ท่าทางชวนสับสนไปนะ!]
จริง ๆ ก็เป็นไปได้ว่าอริสึคาวะจะส่งคนมาหลอกอยู่เหมือนกัน ดูจากนิสัยของเธอแล้วก็ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ
แถมผมก็ไม่เคยได้ยินจากอาสึกะว่าผมมีแฟนหลายคนเลย เพราะงั้นจะเชื่อคำพูดของอริสึคาวะง่าย ๆ ไม่ได้หรอก
แต่หลังจากเห็นท่าทางของฮินะแล้วก็ไม่รู้สึกว่าจะโดนหลอกอยู่สักนิด
ผมแอบขอโทษอริสึคาวะในใจแล้วคุยกับฮินะต่อ
[ไม่ต้องประหม่าขนาดนั้นหรอก ถึงจะความจำเสื่อมไปแล้ว แต่ตัวฉันก็ยังคงเป็นฉันอยู่นั่นแหละ]
[ขะ ขอโทษนะคะ พอดีว่าหนูเป็นพวกสื่อสารไม่เก่ง ….พอคิดว่าจะได้เจอกันเป็นครั้งแรกก็เลยเผลอประหม่าขึ้นมา…]
[อา– เป็นคนขี้อายนี่เอง]
พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฮินะถึงได้มีท่าทางแบบนั้น แอบน่ารักเหมือนกันแฮะ
[น่า ไม่ต้องประหม่าหรอก]
[เอ่อ..คือ…ถ้ายิ่งบอกว่าไม่ต้องประหม่ามันก็จะยิ่งหนักขึ้นอีกน่ะสิคะ ไม่ไหวค่ะไม่ไหว]
[แต่หลังจากนี้ตัวฉันก็อยากจะใช้เวลากับฮินะให้มากกว่านี้นะ ความรู้สึกนี้เหมือนว่ามีมาตั้งแต่ตลอดตั้งแต่ก่อนจะความจำเสื่อมแล้วด้วย]
ไม่ว่าจะยังไง คนคนนี้ก็มาทำดีกับผมนี่นา ถ้าหากว่าโดนใคร ๆ ทำเหมือนว่าเป็นคนแปลกหน้าไปหมด ถึงจะเป็นผมที่ความจำเสื่อมก็คงจะเหงาไม่น้อยเหมือนกัน
[ระ รุ่นพี่…]
[หายประหม่าหรือยัง?]
[ประโยคให้กำลังใจกันแบบนี้ไม่เหมาะเอาซะเลยนะคะ]
[กลับไปเลยไป๊!]
พอตะโกนเสร็จฮินะก็หันไปมองที่หน้าทางออกเล็กน้อย
[ขอบคุณมากนะคะ สบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ ทั้ง ๆ ที่ความจำเสื่อมแต่คุยกันเหมือนไม่ได้เจอกันครั้งแรกเลยนะคะ]
[…ถึงจะแปลก ๆ ไปหน่อยแต่ถ้าทำให้คิดแบบนั้นได้ก็ดีใจนะ]
เหมือนกันกับอาสึกะ เข้าใจได้เลยว่าทุกคนที่เจอกันนี้ให้ความสำคัญกับตัวผมคนเดิมอย่างแน่นอน
แล้วก็ตอนนี้ทุกคนก็ได้ทำการเยี่ยมผมเรียบร้อยแล้วด้วยละนะ
[ค่ะ เท่านี้ก็จะโอชิรุ่นพี่ได้เหมือนเดิมแล้วนะคะ]
[เอ๊ะ?]
ฮินะกำลังพูดอะไรสักอย่างออกมาขณะที่ยิ้มอย่างดีใจอยู่
[คือว่า ในโลกสามมิติแห่งนี้โอชิหนึ่งเดียวของหนูก็คือรุ่นพี่นี่แหละ แค่ได้อยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้หนูก็มีความสุขสุด ๆ แล้วค่ะ]
[เอ่อ โอชิ?]
[โอตาคุอย่างเรา ๆ ใช้ชีวิตโดยได้รับพลังงานจากการเสพโอชิค่ะ อย่างสองมิติของหนูก็มีโอชิอยู่หรอกค่ะ แต่ยังไงหนูก็เป็นโอตาคุที่ชอบเสพแบบสามมิติมากกว่า การที่ไม่ได้เสพรุ่นพี่นานเข้าก็ทำเอารู้สึกห่อเหี่ยวไปหมดเลยนะคะ]
ฮินะพูดออกมารัว ๆ เลยแฮะ งั้นผมต้องตอบกลับอะไรไปบ้าง
[ฮินะเป็นโอตาคุงั้นสินะ]
ฮินะที่กำลังขยับตัวไปมาพร้อมกับพูดไปด้วยก็หยุดลงแล้วจ้องมาที่ผมด้วยความกังวล
[คือ…คือว่า ให้เลิกเป็นโอตาคุจะดีกว่าจริงด้วยสินะคะ?]
[ทำไมละ ฉันจำได้นะว่ามีคนที่ชอบตัวละครสองมิติอยู่นี่ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นต้องเลิกเลย]
พอได้ฟังผมพูดแล้ว ฮินะก็ประพริบตาหนึ่งที
[….พูดออกมาเหมือนกันเลยค่ะ]
[….หมายถึงตัวฉันคนเก่าเหรอ]
ถึงตัวผมคนเก่าจะเป็นพวกซ้อนสามก็เถอะ แต่การถูกบอกว่าเหมือนกันก็ไม่ได้แย่อะไรเท่าไหร่นักหรอก
ชีวิตกว่าสิบหกปีของผมได้หายไปแล้ว
แต่ถ้ามีใครมาเห็นผมตอนนี้แล้วนึกถึงตัวผมคนเก่า นั่นแสดงว่ารากฐานตัวผมก็ยังคงเป็นตัวผมเหมือนเดิม
และความหมายของการมีตัวผมในตอนนี้นั้น สักวันนึงก็คงจะได้พบมันอย่างแน่นอน
[วันนี้แค่ได้เห็นหน้ารุ่นพี่แบบนี้ ได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ก็สบายใจแล้วค่ะ แต่ว่านะคะรุ่นพี่ ระหว่างที่ทุกคนยังไม่มาเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม—-]
จังหวะที่กำลังจะพูดจบ กระเป๋าของฮินะก็มีเสียงสั่น
ฮินะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากระเป๋า พอจ้องหน้าจอได้พักนึงก็ทำหน้าผิดหวังออกมา
[…อีกเดี๋ยวแฟนอื่น ๆ จะมากันแล้วค่ะ อยากคุยกันให้นานกว่านี้จังเลยนะคะ]
คำพูดสุดจะประหลาดนั่นหลุดออกมาจากปากน่ารัก ๆ นั่นอย่างง่ายดาย
แต่ที่ชวนให้สยองกว่านั้น คือผมค่อย ๆ ยอมรับสถานการณ์ตอนนี้ได้แล้ว
ผมเริ่มเคยชินกับสภาวะที่มีแฟนหลายคนได้เร็วพอ ๆ กับตอนที่รู้ว่ามีภาวะความจำเสื่อมเลยละ
[ก็เข้ามาคุยกันได้ตลอดนี่นา กับฉันน่ะ]
พอบอกกับฮินะที่กำลังทำหน้าเศร้า ๆ แบบนั้น เธอก็อ้าปากค้างด้วยความดีใจและจะพูดอะไรต่อ
[คือหนูน่ะนะ กับรุ่นพี่แล้ว—]
ประตูเปิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ไม่เหมือนตอนของฮินะ ครั้งนี้เปิดประตูมาแบบรวดเดียวแบบไม่เคาะประตูเลย
ที่ตรงนั้นมีสาวผมดำเทาและสีทองเดินเข้ามา โดยอริสึคาวะเดินเข้ามาก่อนและอาสึกะเกาะไหล่เธอไว้แล้วตามหลังมา
[ยะโฮ เพิ่งเจอกันไปเนอะ]
[คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้มาเยี่ยมพร้อมกันน่ะ คิดถึงใจยูกิบ้างสิ]
อริสึคาวะโบกมือทักทักทายผมแบบไม่สนใด ๆ ส่วนอาสึกะดูกำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่
[งั้นคุณอาสึกะไปรอที่ทางเดินก่อนไหมอะ?]
[อย่ามาล้อเล่นนะ เธอนั่นแหละไปยืนที่ทางเดินก่อนไป!]
[ไม่ได้สิ ถ้าเราไม่อยู่ขึ้นมายูกิคุงจะเหงาเอานะ]
อริสึคาวะตอบกลับอย่างไม่ลังเล ส่วนอาสึกะก็บ่นว่า [ไร้เหตุผลสิ้นดี!] จากนั้นก็เบนสายตามาทางผม
สถานการณ์แบบนี้อยากจะพูดอะไรสักอย่างจังเลยแฮะ
[คืองี้นะยูกิคุง พวกเราทั้งหมดเป็นแฟนของเธอเองแหละ ไม่ใช่แค่ดอกไม้เต็มมือ แต่นี่เต็มตัวเลยเนอะ?]
อาสึกะก็จ้องไปที่อริสึคาวะ ส่วนฮินะก็ทำท่ากลัว ๆ
แต่ละคนเหมือนจะมีมุมมองต่ออริสึคาวะต่างกันไป แต่สิ่งนึงที่พวกเธอไม่ทำคือการปฎิเสธคำพูดนั้น
เห็นปฏิกิริยาของทั้งสามคนแล้ว ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับมันเท่านั้น
[แสดงว่าเป็นเรื่องจริงงั้นสินะ…]
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการต่อไปในอนาคต
ตอนแรกก็คิดว่าถ้าตอนไปโรงเรียนแล้วเจอคนรู้จักก็คงจะดี แต่ตอนนี้รู้สึกไม่อยากแล้วอะ
[ถ้าคนอื่น ๆ จับได้จะทำยังไงกันดีละ]
[เอ๋? เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วไม่ใช่’ไง]
อริสึคาวะยกมาแตะริมฝีปากตัวเองแล้วเอียงคอเล็กน้อย
ฮินะกับอาสึกะจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ท่าทางนั้นเป็นรหัสลับที่บอกว่าไม่ให้ผมพูดอะไรไปมากกว่านี้
[….แล้วพวกเราคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว?]
[ของเราประมาณปีนึงละมั้ง]
อริสึคาวะพูดออกมาเป็นคนแรก
[ของฉันสองปี]
ตามด้วยอาสึกะ
เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันนี่นะ ก็ควรจะได้คบกันนานกว่านั่นแหละ
แล้วก็การคบกันระหว่างเรียนเป็นปีสองปีนี่รู้สึกว่าจะไม่ได้หากันได้ง่าย ๆ ด้วยนะ
[อ๊ะ ขี้โกงนี่ มาคบกันก่อนแบบนี้]
[อย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องน่า]
หลังจากตัดบทอรึสิคาวะไป อาสึกะก็หันไปยิ้มแล้วพูดกับฮินะ
[แล้วฮินะจังละ? ขอโทษนะ มาพูดเรื่องแบบนี้กันคงจะรู้แย่ใช่ไหม]
[มะ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ…คือว่าของหนูประมาครึ่งปีได้แล้วค่ะ]
แล้วฮินะก็ค่อย ๆ ตอบออกมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศของอีกสองคนบดบังหรือเปล่า แต่เหมือนความประหม่าของเธอจะกลับมาอีกครั้ง
แต่อริสึคาวะที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรก็หัวเราะแล้วพูดต่อ
[อื้มอื้ม หลังจากเราก็เป็นฮินะจังนี่เอง]
[ชะ ใช่ค่ะ….ขอบคุณมากนะคะ]
ผมแอบเชียร์ฮินะอยู่ในใจ แต่ก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าถ้าต้องเถียงกับอริสึคาวะแล้วจะชนะได้ไหม
ตัวอริสึคาวะนั้นมีออร่าบางอย่างที่ทำให้คนไม่อยากต่อกรด้วยเลยอยู่ละนะ
[เอาเป็นว่า หลังจากออกจากโรงพยาบาลพวกฉันจะเป็นคนดูแลเอง เตรียมตัวไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจได้เลยนะ]
อาสึกะพูดออกมาแล้วมือทัดผมไว้ที่หูของเธอ
ช่างงดงามจริง ๆ
ช่างเจิดจ้าจริง ๆ
ช่างสง่างามจริง ๆ
ระหว่างที่ที่กำลังชมภาพอันเจิดจ้านั้น อริสึคาวะ ซากิก็พูดอะไรบางอย่างออกมา
[ยูกิคุง จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะว่าพวกเราสามคนเป็นแฟนของเธอ]
ทั้งที่กำลังได้ชมภาพอันน่าประทับใจแบบนี้อยู่แท้ ๆ ทั้ง ๆ ที่ดูจะเป็นฉากใหญ่ที่ทำให้ผมนึกอะไรออกแท้ ๆ แต่ความทรงจำของผมก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับมาแต่อย่างใดเลย
[….ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ]
คำพูดที่ออกจากปากผมนี้เป็นสัญญาณว่าผมเริ่มยอมรับความเป็นจริงได้แล้ว
แฟนสาวทั้งสามคนยิ้มให้ผมราวกับให้คำตอบ
ประตูบานหนึ่งได้เปิดออก
สภาพแวดล้อมที่พิเศษ สถานการณ์ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าปกติ
ชีวิตใหม่ของผมนั้น ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว