記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 2.3 แฟนสาวสามคน 3
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 2.3 แฟนสาวสามคน 3
บทที่ 2.3 แฟนสาวสามคน (3)
ห้องผู้ป่วยอันกว้างขวางตั้งอยู่ตรงมุมห้องของชั้นบนสุดในโรงพยาบาล หน้าต่างอันใหญ่โตที่เปิดออกทำให้สายลมเย็น ๆ ในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาชวนให้สบายตัวและทำให้หัวใจสงบลง ที่กล่าวมาคือเรื่องปกติสุขของโรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ๆ สุด ๆ ที่ควรจะเกิดขึ้น
และเรื่องปกติเหล่านี้กำลังถูกพยาบาลคนนึงนำพาความแตกต่างมาให้
เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีคุณหมออยู่ตรงนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพยาบาลคนไหน
คนที่อยู่ข้าง ๆ คุณพยาบาลคือผู้หญิงที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับอาสึกะ หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือเป็นนักเรียนม.ปลายแบบผมนั่นเอง
ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นอะไรที่เจิดจ้าเอาซะมาก ๆ มีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้มองสุด ๆ
เทียบกับอาสึกะแล้วสูงกว่าหน่อยนึงไหมนะ ขนาดดูเหมือนว่าอาสึกะจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วไปด้วยนะ
แล้วก็ นี่อาจจะกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่สไตล์ต่าง ๆ ของผู้หญิงคนนี้ดูไม่สมวัยเลย
ใส่เสื้อเอวลอยทำให้หน้าอกของเธอถูกดันขึ้น หรืออย่างการใส่กางเกงขาสั้นจนต้นขาขาว ๆ ของเธอโผล่ออกมา ทรงผมเป็นเปียสีดำเทา ที่สะท้อนไปกับแสงทำให้สามารถมองเป็นสีเทาหรือดำก็ได้ หน้าม้าปัดไปทางด้านขวา ปลายผมดัดลอนเล็กน้อยทำให้บรรยากาศดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ที่หูซ้ายมีต่างหูสีทองติดอยู่ ต่างหูใหญ่มาจนทำให้ติ่งหูตกลงเล็กน้อย แต่ว่าก็ดูทันสมัยดี สามารถเห็นจุดเด่นของเธอได้ชัดเจนเลย
แล้วผู้หญิงคนที่ดูตรงไหนก็เด่นคนนั้นกำลังตั้งใจมองผมอยู่
…….มีคนระดับนี้มาเป็นห่วงผมแบบนี้ ชีวิตก่อนหน้านี้ทำบุญวัดไหนมากันละเนี่ย
ไม่ใช่สิ
……การที่ทำให้คนเหล่านี้มาเป็นห่วงเนี่ย ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไปทำบาปอะไรมาเหรอ
แต่ก่อนอื่นก่อนใด ต้องคลายอาการเป็นห่วงของเธอซะก่อน ถือเป็นการขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเธอผู้มาเยี่ยมเราละนะ
แต่แล้ว เธอคนนั้นก็พูดอะไรบางอย่างออกมา
[ฟุฟุ อย่างนี้นี่เอง เข้าโรง’บาลจริงด้วยแฮะ]
หะ—หัวเราะออกมาเฉยเลย
อุตส่าห์เตรียมคำตอบไว้ให้สำหรับคนที่กำลังเป็นห่วงแท้ ๆ เกือบจะลื่นตกเตียงเลย
เกือบจะตกเตียงจริง ๆ นะ
[เราไม่เคยเข้าโรง’บาลมาก่อนอะนะ แล้วชีวิตในนี้เป็นไงบ้างอะ? คงน่าเบื่อแหงเลยสิ? หรือว่าสนุกกว่าคิด? แล้วที่ว่าความจำเสื่อมนี่เรื่องจริงปะ?] [แต่เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ ! การดูแลผู้ป่วยความจำเสื่อมนี่ทำอะไรรุนแรงมากไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย!?]
[ความทรงจำของฉันน่ะ—-]
[ฟุ ไม่มีความทรงจำแล้วแท้ ๆ แต่พูดคำว่า “ความทรงจำของฉันน่ะ” ออกมาด้วย ถึงเธอจะไม่มีความทรงจำอยู่แล้วแต่ก็ยังน่าสนใจอยู่เลยนะ]
สาวสวยผมดำเทาหัวเราะออกมาอย่างเป็นมิตร
ผมตกอยู่ในภวังค์ความสับสน คุณพยาบาลข้างหลังก็ด้วย
ช่วงเวลาพริบตาเดียวเท่านั้นบรรยากาศของห้องผู้ป่วยก็ต่างไปจากเดิม เธอคนนี้ได้ทำการเปลี่ยนสามัญสำนึกในห้องด้วยการกระทำและคำพูดทำให้รับมือได้ยาก
จากที่คุณพยาบาลบอกไว้ว่าสาวสวยคนนี้เหมือนจะเป็นแฟนของผม ทำให้ความประทับใจแรกของผมก็คือ “ใครก็ไม่รู้ที่มาบอกว่าเป็นคนรักกัน” ทำเอารู้สึกแย่เหมือนกัน
แถมคนรู้จักเก่าหรือเพื่อนคนนี้ก็กำลังเล่นสนุกกับคนความจำเสื่อมอย่างผมอยู่ เพราะงั้นขอให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงด้วยเถิด ผมพูดกับสาวสวยผมดำเทาคนนี้ไปว่า
[ถูกอย่างที่เธอพูด ตอนนี้ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสัมพันธ์มนุษย์อยู่ เพราะงั้นถ้ารบกวนบอกชื่อให้หน่อยจะช่วยได้มากเลย]
[เอ๊ะ?]
หลังจากค้างไปพักนึง เธอก็เอานิ้วไปจับไว้ที่แก้มของเธอเอง
และตรงกันข้ามกับสีหน้าสีดูสบาย ๆ นั้นการเคลื่อนไหวของเธอนั้นสง่างามมากจนรู้สึกเหมือนเป็นเทพธิดาเลย
[อืมมม ลองทายดูสิ]
[ไม่ไหวหรอก ชื่อคนบนโลกมีเป็นร้อยเป็นพันนะ….อย่างน้อยก็ขอคำใบ้สักหน่อยเถอะ]
[คำใบ้สินะ]
หลังจากพึมพำเสร็จ เธอก็ตบมือพร้อมกับพูดว่า [จริงด้วย] ออกมา
รู้สึกเหมือนจะแย่แล้วแฮะ
ผู้หญิงคนนี้พุ่งเข้ามาจับมือผมไว้ ความรู้สึกเย็น ๆ ค่อยส่งมาผ่านเข้ามา ความนุ่มนวลเฉพาะตัวของผู้หญิงทำให้เผลอสะดุ้ง
[งั้น จะใบ้ให้นะ]
[เอ๊ะ]
จังหวะนั้นสาวสวยคนนี้ก็เอามือของผมกดลงไปบนหน้าอกนุ่ม ๆ นั่นโดยไม่ทันตั้งตัวและถูกกดลงไปทั้งอย่างนั้น
เป็นความรู้สึกแบบที่หาจากผู้ชายไม่ได้จริง ๆ แต่ว่าถ้านี่เป็นการจับแบบทะลุเสื้อผ้า แล้วความนุ่มของแท้มีแค่ไหนกันนะ
ความกระทันหันที่ทะลุเข้ามาทำให้คิดหลายเรื่องปนกันจนเผลอร้องเสียงหลงออกโดยไม่ตั้งใจ
[เฮ้ยยยย]
[ว้าย คนลามก]
ผมปล่อยมือจากเธอที่หน้าแดงอยู่แล้วก็ถอยไปตรงขอบเตียง ส่วนข้างหลังเธอนั้นมีคุณพยาบาลจ้องอยู่
ทำสีหน้าไม่ชอบใจกว่าตอนที่ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะความจำเสื่อมสักสิบเท่าได้
[นี่เธอ สมองเพี้ยนไปแล้วเรอะ!?]
[หา? ที่เพี้ยนไปน่ะมันเธอไม่ใช่’ไง เหมือนจะจำเรื่องของเราไม่ได้จริงด้วย]
[ก็คนมันความจำเสื่อมนี่! คุณพยาบาล นี่มันคนน่าสงสัยนะครับ!]
[แต่ แต่เราได้รับอนุญาตให้เข้ามาแล้วนี่นา…]
[ดูสภาพตอนนี้ซะก่อนเถอะ เรื่องให้เข้ามาได้มันไม่ใช่ประเด็นแล้วไม่ใช่หรือไง!?]
พอผมหันไปทางคุณพยาบาลที่สับสนอยู่ เธอก็เอามือมาจับแก้มผมแล้วบังคับให้หันมามองที่เดิม
กร็อบ!
มีเสียงแปลก ๆ ออกมาจากคอด้วย
หลังจากสายตาที่หันไปหาคุณพยาบาลวนกลับมาหาสาวสวยคนนี้อีกครั้ง เธอก็ขยับตามาสบกัน
[เป็นไงบ้าง นึกออกยัง?]
[ตอนนี้เหมือนกำลังจะตายมากกว่า]
[ฟุฟุ ว่าแล้วเชียว ยังน่าสนใจอยู่จริงด้วย]
ตอนนี้ก็ยังไม่ปล่อยมือจากแก้มเลย ผิวหน้าอันขาวเนียนอยู่ตรงหน้าของผม ดวงตาที่สบกันสวยงามแพรวพราวจนเหมือนกับเป็นภาพลวงตาบวกกับขนตายาวและดวงตากลมโตยิ่งขับให้ดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นไปอีก
ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแท้ ๆ แต่รู้สึกเหมือนกำลังมองผ่านหน้าจออยู่เลย
พอสังเกตุเห็นผมที่จ้องไม่วางตา สาวสวยคนนี้ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
…..[จะบอกชื่อให้ฟังแล้วกัน แต่ถ้าครั้งหน้าลืมอีกทีจะตีให้ตายเลย]
[ขู่ได้โหดเกินไปไหม!]
ผมตอบไปด้วยเสียงอู้อี้นิดหน่อยเพราะแก้มโดนหยิกอยู่
หลังจากสาวสวยผมดำคนนี้มองหน้าผมจนพอใจแล้ว ก็ปล่อยตัวออกห่างกัน
เธอยิ้มออกมาและยืดอกขึ้นเล็กน้อย เป็นสไตล์ที่หนักแน่นจริง ๆ ทำเอาสายตาไม่ยอมมองหน้าเลย ร้ายกาจ
[เราชื่อ อาริสึคาวะ ซากิ ถึงจะกำลังยุ่ง ๆ อยู่ แต่ก็มาหาเธอแล้วนะ]
จากนั้นห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
กำลังคิดอยู่ว่าจะมีอะไรต่ออีกไหม แต่เธอก็ทำแค่เอียงคอมองหน้าผมเท่านั้น
แต่ดูแล้วไม่มีอะไรต่อนอกจากแนะนำตัวเลย แสดงว่าวนกลับมาตาผมแล้วสินะ
แล้วที่แนะนำตัวครึ่งหลังนี่ เหมือนจะจริงจังด้วยแฮะ
แต่ถ้าจะไม่ทำอะไรต่อแล้ว งั้นก็ได้เวลาตอบกลับแล้ว
[……ยะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณ…อริสึคาวะ?]
อริสึคาวะยกมือขึ้นแล้วตอบกลับผมมา
[อื้ม ฝากตัวด้วยนะ เราแฟนกันนี่ คุณเคินอะไรไม่ต้องเติมหรอก]
[….เรา เราเป็นแฟนกันจริงเหรอ?]
ประเด็นน่าสนใจเพิ่มเข้ามาพอดี ขอฟังเรื่องราวหน่อยละกัน
เพราะท่าทางของอริสึคาวะเองก็เดาได้ยากว่าจริงไม่จริง ถ้าได้ฟังจากปากเจ้าตัวน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า
[อื้อ มีแฟนสาวสวยพริ้งขนาดนี้ น่ายินดีสุด ๆ เลยใช่ไหมล่า?]
[ช่วยพูดแบบจริงจังไม่ล้อเล่นทีได้ไหม?]
[เอ๊ะ]
พอได้ฟังคำถามตัดบทของผม อริสึคาวะ ซากิก็เบิกตากว้างขึ้นจนราวกับนัยย์ตาถูกกลืนเข้าไป
ตาของอริสึคาวะเริ่มเปียกชื้นขึ้น
[โหดร้าย…..]
[เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ขอโทษนะ ล้อเล่นน่ะล้อเล่น ที่ถามเมื่อกี้แค่หยอกเท่านั้นเอง!]
สถานการณ์เป็นไปไม่ตามคาดทำเอาผมไปไม่เป็น พอหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณพยาบาล ก็เดินเมินเฉยเลยอีก
[เลวสุด ๆ เลยนะคะ]
[เป็นความผิดผมเฉยเลยเหรอครับเนี่ย!?]
ผมแค่พยายามจะถามยืนยัน แต่คุณพยาบาลตอนนี้มองผมเป็นจับปลาสองมือ เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้ผู้หญิงต้องร้องไห้
เหมือนจะสร้างสัมพันธ์ที่สุดแย่ออกมานี่นา จะไม่ถูกปกป้องก็ไม่แปลกหรอก
แบบนี้ความเป็นไปได้ว่าตัวผมคนเดิมป็นไอสารเลวนี่ก็สูงเหมือนกันนะ
คุณหมอเคยพูดไว้ด้วยนี่ ว่าความทรงจำของผมอาจจะไม่กลับมา อาจจะไม่กลับมาจริง ๆ ก็ได้นะ
แล้วถ้าเกิดมันกลับมาละก็ สาว ๆ พวกนี้ก็ต้องถูกผมปั่นหัวอีกงั้นเหรอ
………..แบบนั้นไม่เอาหรอก
ไม่อยากให้พวกคนที่เพิ่งเจอกันนี้ต้องเผชิญอนาคตแย่ ๆ แบบนั้นเลย
ถึงแม้ว่าอีกฝั่งจะเป็นตัวผมคนเดิมก็ตาม แต่เอ็งเป็นศัตรูของข้าแล้ว
ตัวผมในอดีตเป็นมนุษย์สารเลวจับปลาสองมือที่ควรจะถูกลบล้างออกไป คงจะเป็นแบบนั้นสินะ
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมก็คลายความเป็นห่วงของอริสิคาวะไปได้แล้วส่วนนึงด้วย เท่านี้ก็จะประกาศเรื่องแย่ ๆ ออกมาได้แล้ว
[ขอโทษนะ ถ้าเธอเป็นแฟนของฉันจริง แปลว่าตัวฉันคนก่อนคือไอสารเลวละ]
[เอ๋? ทำไมละ?]
อริสึคาวะยกมือเช็ดน้ำตาและหันกลับมาทำหน้าสงสัย ทั้งที่จะเพิ่งร้องไห้มาเมื่อกี้ แต่แววตาของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ผมเริ่มพูดขึ้นระหว่างที่กำลังสงสัยว่าเมื่อกี้ร้องไห้จริงหรือเปล่าอยู่
[คนที่อยู่ข้างหน้าคุณอริสึคาวะตอนนี้ เพิ่งจะมีแฟนมาเยี่ยมเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับคนคนนั้น และถ้าหากว่าแฟนคนนั้นกับคุณอริสึคาวะพูดมาเป็นเรื่องจริง ตัวฉันก็เป็นพวกจับปลาสองมือนั่นแหละ เพราะฉะนั้น—]
[อ๋อ งั้นถ้าจูบละก็จะยกโทษให้นะ]
[ห๊ะ?]
[ถ้ามาจูบละก็จะยกโทษให้]
พอได้ฟังประโยคนั้นซ้ำ ๆ คำที่จะพูดต่อก็โดนดันกลับเข้าไปในคอ
จูบ
คำที่ต่อให้จะเป็นพวกหัวเพี้ยนแค่ไหน ก็ไม่มีทางไม่เข้าใจ
[ไม่ ไม่ใช่งั้นสิ! ฉันเป็นผู้ชายที่นอกใจนะ ถ้าพูดถึงนอกใจ ก็คือไอ้คนเลวที่จับปลาสองมือ! เป็นผู้ชายที่มีแฟนถึงสองคนเลยนะ! เข้าใจไหมเนี่ย]
ผมตอบกลับไปรัว ๆ เพราะคำพูดสุดจะชวนอึ้งของอริสึคาวะ
ส่วนอริสึคาวะก็ทำปากแบบไม่พอใจสักเท่าไหร่
[อื้อ งั้นก็แปลว่าเธอเนี่ยป็อบสุด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ? แต่ก็เป็นแฟนเรานี่นะ เรื่องแค่นี้ไม่คิดมากหรอก ปังสุด ๆ]
[เดี๋ยวก่อนนะ—]
[ยกโทษให้แล้วน่า แล้วก็ไม่ได้จะให้ไปเลิกกับอีกคนด้วย ไม่ต้องห่วง]
ค่านิยมของผู้หญิงคนนี้แปลกจนทำให้โลกนี้ต้องพลิกกลับได้เลย
ว่าแต่ที่ร้องไห้เมื่อกี้มันยังไงละเนี่ย จะว่าไปก็เหมือนจะไม่เห็นน้ำตาชัด ๆ ด้วยสิ
ความคิดของผมเหมือนจะถูกเดาได้ อริสึคาวะส่งยิ้มมาให้ผม
….อื้อ แกล้งร้องจริงด้วย
แต่ว่าเรื่องก็ส่วนเรื่องนั้น ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่ยังค้างอยู่
[นี่ คิดง่าย ๆ แบบนี้อรึสึคาวะโอเคงั้นเหรอ ไม่เคยได้ยินเลยว่าการจับปลาสองมือมันให้อภัยได้ คนรักก็ควรมีแค่กันและกันนี่นา]
[ฮะฮะฮ่า ภาวะความจำเสื่อมเนี่ยก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกันนี่]
[ไม่มีความละเอียดอ่อนเอาซะเลยนะเธอเนี่ย]
ตัวผมคนเดิมยังคงไม่ได้กลับมา แต่ผมก็ตอบโต้ประโยคนั้นไปด้วยสัญชาตญาณ
อริสึคาวะหัวเราะลั่นจนไหล่สั่นและทำให้เห็นผิวขาว ๆ ที่ชวนให้เร้าอารมณ์
[ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง อีกคนเป็นคุณอาสึกะนี่นา ฉันอนุญาตให้นอกใจได้ โชโย มีดอกไม้งามเต็มมือนี่อย่างฟินเลยเนอะ]
[……เดี่ยวนะ อริสึคาวะกับอาสึกะเคยเจอกันมาก่อนเหรอเนี่ย แสดงว่าอยู่โรงเรียนเดียวกันน่ะสิ!? สามัญสำนึกที่มีในหัวมันต่างกันไปจนกลัวแล้วนะ!]
นอกจากความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์มนุษย์หายไป พอฟื้นมาได้ไม่นานก็กำลังจะเสียสามัญสำนึกไปอีกเหรอ เริ่มไม่ค่อยเข้าใจแล้วแฮะ
[ว่าไปแล้ว ทำไมถึงได้รู้ว่าอีกคนนึงอาสึกะละ—-]
[ฟุฟุ รู้ได้ยังไงกันน้า จริงสิ มาถามคุณอาสึกะกันเถอะ]
[หยุด หยุดนะ!]
ต้องรีบหยุดอาสึกะที่กำลังหยิบสมาร์ทโฟนออกมาก่อน
คิดถึงความเป็นจริงสิ ความสัมพันธ์แบบนี้จะทำให้ใครมีความสุขได้กัน
ถึงผมจะโชคร้ายเสียความทรงจำไปแต่เรื่องทั้งหมดก็เป็นความผิดของผมทั้งนั้น อาสึกะไม่มีความผิดอะไรเลย
ถ้าแฟนหนุ่มจับปลาสองมือแบบนี้ ยังไงก็ต้องโดนเกลียดอยู่แล้ว แต่อริสึคาวะกลับพูดเรื่องแปลก ๆ ออกมาได้อย่างไม่ลังเล เพราะฉะนั้นถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่
การที่อริสึคาวะจะบอกความจริงกับอาสึกะนั้นเสี่ยงเกินไป ถ้าความทรงจำกลับมาละก็ความสัมพันธ์ที่มีต้องพลังทลายไปหมดแน่
[นี่ จะไม่เลิกกันจริงเหรอ?]
[เอ๋ ก็อนุญาตแล้วนี่ ไม่ดีงั้นเหรอ?]
[แต่อาสึกะคงยอมรับไม่ได้ไม่ใช่เหรอ งั้นก็ต้องเลิกกันสิ]
เป็นอริสึคาวะก็ว่าไปอย่าง แต่เท่าที่ผมรู้มาอาสึกะเป็นคนตรงไปตรงมามาก ไม่เห็นตรงไหนเลยว่าจะยอมรับเรื่องจับปลาสองมือได้
[แปลว่าจะเลิกกับฉันเหรอ]
[ไม่ใช่แค่นั้น จะไปเลิกกับอาสึกะด้วย]
เหมือนอริสึคาวะจะยังไม่ค่อยเข้าใจ เธอมองหน้าผมแล้วถามต่อ
[เอ๋~ ทำไมละ?]
[ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็จะถูกใครต่อใครนินทาเอาน่ะสิ ทั้งจากคนรอบ ๆ จากคนนู้นคนนี้ ถึงจะเป็นความผิดของฉันที่ความจำเสื่อมไปแล้ว แต่ทั้งเธอเองและอาสึกะจะต้องรู้สึกแย่แน่นอน]
[อะไรกัน~ ไม่รู้สึกแย่หรอกน่า]
[ต้องแย่อยู่แล้วสิ อีกอย่าง ตัวฉันน่ะนะ—-]
พลั่ก! เสียงดังขึ้น ผมถูกผลักให้ล้มลงไปบนเตียง จังหวะที่กำลังจะถามเหตุผลก็ถูกเอามือมาปิดปากไว้
พอพยายามจะลุกขึ้นก็รู้สึกเหมือนหน้าอกถูกกดทับ อริสึคาวะ ซากิขยับเข้ามาอยู่ใกล้กับผม ตอนนี้เราห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์เท่านั้นแถมยังใกล้เข้ามาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของผมถูกช่วงชิงไปอย่างง่ายดาย
รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด สติของผมกระจัดกระจาย
ระหว่างที่ผมยังไม่สามารถประมวลความรู้สึกในการจูบไม่กี่วินาทีนี้ได้นั้น อริสึคาวะส่งเสียง [ฟุอา] ด้วยความแหบพร่าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนและผละจากตัวผม
[—–ถ้ามีใครมาพูดแย่ ๆ กับเธอละก็ เราจัดการให้หมดเอง]
สายลมเย็น ๆ แห่งฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาทางหน้าต่างและผ่านเราทั้งสองไป
[….จะฆ่าให้ตายให้ไม่เหลือสักคนเลย]
อริสึคาวะส่งสายตาอันเยือกเย็นทะลุร่างของผม
เหมือนเคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าจะนึกอะไรออกแบบนี้ ตอนอยู่กับอาสึกะก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่คุณหมอบอกว่าไม่เกี่ยวกันอะนะ
ผมไม่รู้ว่าจะตอบกลับอะไรไปดี แต่อริสึคาวะก็จ้องมาที่ผมแล้วพูดต่อ
[ฟุฟุ แค่โจ๊กเฉย ๆ น่า อย่าทำหน้าขึงขังแบบนั้นสิ]
ผมกระพริบตาปริบ ๆ
[….ถ้าตัดมุกก่อนแบบนี้ก็จะไม่ตลกไม่ใช่หรือ?]
[งั้นเหรอ? ขอบคุณนะ ได้เรียนรู้แล้วละ]
อริสึคาวะหัวเราะออกมาแล้วเอามือไปแตะไว้ที่ริมฝีปากสีชมพูของตัวเอง
พอดูดี ๆ แล้วเป็นริมฝีปากที่เล็กมาก ผมรู้สึกตัวทันทีว่าเพิ่งจะได้สัมผัสมันเมื่อไม่นานมานี้เอง
[นี่นี่ ที่เธอลืมความทรงจำเกี่ยวกับสัมพันธ์มนุษย์ไปเนี่ย เราพอรู้เหตุผลแล้วนะ]
ผมจ้องหน้าอริสึคาวะ
[แปลว่า เธอรู้อะไรบางอย่างเหรอ]
[อื้อ เหมือนจะรู้ละ]
อริสึคาวะยิ้มให้และเอานิ้วมาชี้ที่ริมฝีปากของตัวเอง
[ถ้าอยากจะให้บอกก็ต้องคงความสัมพันธ์นี้ไว้นะ]
[….ทำไมต้องยึดติดขนาดนี้ด้วยเนี่ย]
[ก็เพราะชอบเธอมากอยู่แล้วนี่?]
อริสึคาวะตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
….จากการกระทำเมื่อกี้ และที่แกล้งร้องไห้ก่อนหน้านี้ จะดูยังไงก็น่าสงสัย
เป็นไปได้ว่าผมคนก่อนเป็นพวกจับปลาสองมือก็จริง แต่ความเป็นไปได้ที่อริสึคาวะจะโกหกก็ไม่ใช่ศูนย์
แต่ถ้าที่อริสึคาวะบอกว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับสาเหตุที่ผมความจำเสื่อมจริงขึ้นมาละ
[แต่ว่าก็ว่าเถอะ ความจำไม่กลับมาเลยน้า~ คิดว่าจูบแล้วความจำจะกลับมาแท้ ๆ นั่นไง เหมือนสโนไวท์อะ]
[สภาวะแบบนี้จะไปมีอะไรโรแมนติกอย่างนั้นได้ยังไงเล่า]
[ฟุฟุ ก็จริงนะ งั้นมาสร้างบรรยากาศให้ดีกว่านี้กันเถอะ]
[เธอเพิ่งจะจูบฉันไปเมื่อกี้ไม่ใช่เรอะ?]
อริสึคาวะเมินคำตอบของผมแล้วยืดตัวขึ้น
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดพาความอบอุ่นผ่านทางหน้าตาและเข้ามาในห้องผู้ป่วยแห่งนี้ ทำให้ความสับสนที่อยู่ในหัวหายไป
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้ง
[จะว่าไป ใกล้จะออกจากโรง’บาลแล้วใช่ไหม? เราเอาหนังสือมาให้ด้วย ถ้ามีเวลาก็ลองอ่านดูนะ]
พอมองลงไปก็เห็นถุงใส่หนังสือเล่มใหญ่อยู่สองเล่มวางอยู่ข้าง ๆ เตียง
[โอ้ ขอบคุณ….หลังจากนี้จะอ่านนะ]
เป็นครั้งแรกของวันที่ได้ยินอะไรดี ๆ ผมจึงตอบอย่างพอใจ
อริสึคาวะผยักหน้าแล้วหันหลังกลับไป ดูจากท่าทางคงจะเสร็จธุระแล้วสินะ
ถึงจะยังมีคำถามเกี่ยวกับตัวอริสึคาวะอยู่อีกมาก แต่คิดว่าคงมีโอกาสให้ถามได้อีกเพียบเลยละ
ขณะที่ผมกำลังมองดูเธอเดินออกไปอย่าช้า ๆ อริสึคาวะก็หันหลังกลับมา
[อ้อ ถ้าเจอกันที่โรงเรียนละก็ เราจะช่วยดูแลเอง เห็นอย่างนี้เราน่ะเป็นหนึ่งในสามราชีนีใหญ่เลยนะ เพราะงั้นพึ่งพาได้เต็มที่เลย]
[ฉายาแปลก ๆ นั่นมันอะไรน่ะ….]
[เอ๋~ เท่ดีออก]
ผมว่าเก็บความเห็นไว้แล้วไม่พูดต่อดีกว่า
สามัญสำนึกของเธอออกจะไม่เหมือนกับของผมสักเท่าไหร่ ก็คือรู้สึกว่าแปลกนั่นแหละ จริง ๆ ก็แอบสงสัยอยู่ว่าใช้ชีวิตมายังไงถึงได้แข็งแกร่งแบบนี้กัน
[แต่ในทางเดียวกัน ถ้าเราปกป้องเธอแล้ว เราก็ขอเก็บความสัมพันธ์เอาไว้แบบนี้นะ]
[ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่….แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้ตัวฉันเองก็คงห้ามอะไรไม่ได้อยู่แล้ว]
[ฟุฟุ สัญญาแล้วนะ รักษาไว้ให้ดีด้วย…..งั้นไว้เจอกัน]
[อาา…ไว้เจอกัน]
อริสึคาวะ ซากิ
สี่พยางค์ที่บ่งบอกตัวเธอได้มากที่สุดคงเป็นคำว่า “เชื่อในตัวเอง” ละมั้ง
ในอนาคตเธอก็คงพึ่งพาได้มากกว่านี้ไม่ผิดแน่
ถ้ามีเธอคอยอยู่ด้วยกันตอนระหว่างใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนละก็ คงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย
ถ้าไม่ได้มีอะไรแปลก ๆ อย่างการเป็นแฟนคนที่สองอะนะ
แล้วถ้าเกิดสมมติว่าผมกับอริสึคาวะ แล้วก็อาสึกะไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันละ
อริสึคาวะกำลังมองผมผ่านประตูที่ยังปิดไม่สนิทระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรไปเรื่อยอยู่
[อ๊ะ จริงด้วย เดี๋ยวจะโทรเรียกอีกคนมา รอก่อนนะ]
[…..อีกคนนึง?]
ขณะที่ผมยังปะติปะต่อเรื่องราวไม่ได้ อริสึคาวะก็รีบย่ำเท้าหายลับไป
ผมกระโดดออกมาจากเตียง แล้วรีบเดินออกไปเปิดประตู คุณพยาบาลที่เห็นผมก็ตกใจ
เหมือนจะรออยู่ตรงข้างห้องนี้ตลอดตั้งแต่อริสึคาวะอยู่เลยสินะเนี่ย แต่ตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ผมหันไปถามคุณพยาบาล
[ที่ว่าอีกคนเนี่ย…คิดความหมายความว่ายังไงเหรอครับ]
[….ไม่รู้สิ คงจะหมายถึงแบบเดียวกับที่เธอคิดนั่นแหละ]
คุณพยาบาลที่ดูกำลังปวดหัวตอบผมมาเย็นชากว่าที่เคย