記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 10 สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 10 สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้
บทที่ 10 สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้
ตัวผมก่อนจะความจำเสื่อมเป็นคนที่มักจะหนีจากหลายสิ่งหลายอยาก
อาสึกะเคยบอกเอาไว้ว่า
—-ถ้าจะให้ฉันพูดก็แค่เป็นคนที่หนีจากความสัมพันธ์มนุษย์เท่านั้นเองละนะ
ผลลัพธ์จากการหลีกหนีความสัมพันธ์มนุษย์ก็คือการที่ผมกลายเป็นคนโดดเดี่ยว
อริสึคาวะเคยบอกเอาไว้ว่า
—-การปฏิเสธน่ะเป็นยุ่งอยากไม่ใช่เหรอ
ผลลัพธ์จากการหลีกหนีไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดก็คือการสร้างคนรักที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขึ้นมา
ฮินะเคยบอกเอาไว้ว่า
—-คือเรื่องของหนูกับรุ่นพี่ยูเมซากิก็เป็นแบบนี้มานานแล้วค่ะ
ตัวผมคนเดิมหวาดกลัวต่อปัญหาแล้วทิ้งแฟนของตัวเองให้ลำบาก
เป็นมนุษย์ที่แย่ที่สุด จนไม่อาจเห็นใจที่ไปความจำเสื่อมได้
และอีกครั้งที่ตัวผมเลือกจะหลีกหนี หลีกหนีจากการรักษาที่จะนำความทรงจำกลับคืนมา
เพียงแต่ ครั้งนี้มันคนละเรื่องกัน
ผลลัพธ์จากการหลีกหนีต่อไปนั้น คือการที่ผมทิ้งฮินะที่กำลังลำบากเป็นครั้งที่สองในอนาคตอันสั้นนี้
ว่ากันแล้ว ผมเนี่ยเลวร้ายกว่าผมคนเดิมอีกไม่ใช่เหรอ
ผมกำลังถูกบอกว่าให้หนีไปจากตัวเอง
หลีกหนีความเจ็บปวดทางกาย และหลบเลี่ยงความทรมาณทางใจ
ถ้าหนีไปแล้วได้รับการให้อภัยชีวิตก็คงง่ายดี
ถ้างั้นยอมแพ้เสียแต่ตรงนี้เลยไหม
การมุ่งไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนั้นจะเป็นทางที่ผมควรเดินไปงั้นเหรอ
ก็จริงอยู่ที่ความจริงนั้นมันชวนให้ทุกข์ใจ
แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว
ทั้งตัวฮินะ อาสึกะก็ด้วยหรือแม้กระทั่งอริสึคาวะก็กำลังทุกข์ทรมาณเหมือนกัน
ทุก ๆ คนล้วนเลือกที่จะหลีกหนีโดยไม่รู้ตัวและปล่อยมันทับถมไว้ชีวิตของตัวเอง
แต่แบบนั้นแหละดี ชีวิตที่หลีกหนีไปแบบนี้ สักวันนึงต้องได้เจอตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองแน่
เพียงแต่—เราก็ต้องมีช่วงเวลาที่จะไม่เลี่ยงไม่หนีอยู่เหมือนกัน
ตัวเราเองนั้นอยากเป็นตัวเองแบบไหน
ถ้าได้เลือกไปครั้งนึงแล้วจะหนีไม่ได้เด็ดขาด
คนที่มองข้ามปัญหาของคนอื่นนั้นก็ไม่มีค่าอะไร—เรื่องสวยหรูแบบนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น
สักวันคนที่แบกรับเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ ก็ต้องทิ้งเรื่องสวยหรูไปอยู่ดี
เหมือนกับที่ครั้งนึงอาสึกะได้มองข้ามเรื่องของฮินะไปและให้ความสำคัญกับผมมากกว่า
เพียงแต่ตัวผมนั้นว่างเปล่า
กระดาษว่างเปล่าที่กำลังภาวนาให้มีตัวอักษรหรือภาพวาดถูกขีดเขียนลงไป
ถ้าเป็นตอนนี้ผมคงเป็นสิ่งที่อยากเป็นได้
ถ้าข้ามกำแพงนี้ไปได้ตัวตนใหม่ก็จะปรากฎขึ้น
ถ้าอยากเป็นตัวตนแบบไหนก็จะเลือกได้เอง
เพราะฉะนั้น จะไม่หนี จะหนีอีกไม่ได้
สิ่งที่ผมจะทำจากนี้นั้นก็เพื่อฮินะ
และก็เพื่อตัวผมเองด้วยเหมือนกัน
เพื่อที่ผมจะสานเส้นทางไปสู่อนาคตนั้น ผมจะ
****
[ชอบนะ ได้โปรดคบกับฉันที]
ในห้องเรียนอันว่างเปล่า คำพูดได้ถูกปั่นออกไป
ด้วยอารมณ์ที่มีชีวิตชีวาหรือไม่มีกันนะ
ห้องเรียนที่ถูกย้อมเป็นสีส้มให้ความรู้สึกขมุกขมัว ส่งผลให้การสารภาพรักอันปลอมเปลือกดูโรแมนติกขึ้นมา
ยูเมซากิฟังคำสารภาพรักของผมแล้วพยักหน้า
[ได้นะ ฉันก็ชอบนายอยู่ด้วยสิ]
เมื่อเสียงคำตอบดังขึ้น ผู้ติดตามผมน้ำตาลยาวกับผมดำก็เผลอส่งเสียงออกมา
จากนั้นผู้หญิงผมดำก็ปรบมือ
นักเรียนชายสองคนที่สนิทกับยูเมซากิมาเป็นพยานนั้นก็เป่านกหวีด
อริสึคาวะกำลังมองภาพนั้นโดยไม่แสดงออกใด ๆ
[เท่านี้เราก็เป็นคู่รักกันแล้วเนอะ]
[…นั่นสินะ]
ยูเมซากิยิ้มอย่างพึงพอใจกับการตอบกลับของผม
[อยากให้คุณอริสึคาวะช่วยอวยพรให้เหมือนกันน้า]
อริสึคาวะคิดอยู่พักนึงแล้วก็เอ่ยปากตอบ
[อื้ม…ยินดีด้วยนะคุณยูเมซากิ เอาชนะใจยูกิคุงได้แบบนี้สุดยอดเลย]
[…ได้รับคำชมจากคุณอริสึคาวะแบบนี้ น่ายินดีจัง]
ยูเมซากิพูดด้วยน้ำเสียงและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมา
ที่ยูเมซากิเป็นแบบนี้คงมาจากการเลี้ยงดูนั่นแหละนะ
ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดอย่างการเป็นลูกสาวของประธานบริษัทใหญ่ทำให้บุคคลิกของเธอออกมาเป็นแบบนี้
จะมีสักกี่คนกันที่ใช้ชีวิตขับเคลื่อนด้วยหน้าตาทางสังคมแบบนี้
ถ้ามองอีกมุมนึงก็คิดว่าน่าเคารพอยู่เหมือนกัน
จังหวะนั้นผู้ติดตามผมสีน้ำตาลยาวก็เปล่งเสียงแหลม ๆ ออกมากลางห้องเรียน
[ถ้าเป็นตอนนี้คงจะพูดได้ ยูเมะเคยปฏิเสธมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยนะ~ ซานาดะคงจะนึกเสียใจแน่ ๆ เลย]
จังหวะนั้นผู้ชายสองคนที่มาเป็นพยานก็มีการตอบสนอง
[โกหกน่า เคยถูกยูเมซากิปฏิเสธมาก่อนเหรอ?]
[นั่นมัน-เป็นเรื่องน่าเศร้ามากเลยนะนั่น ซานาดะ ยินดีด้วยนะที่สารภาพรักสำเร็จ]
นักเรียนชายสองคนพูดอย่างร่าเริงและไร้เดียงสา
บรรยากาศของห้องเรียนอบอวลไปด้วยความเบิกบานใจในการกำเนิดคู่รัก
[ว่าแต่ หมายความว่ายังไงเหรอ]
ม่านกระพืออย่างรุนแรง
ยูเมซากิกระพริบตาแล้วหันไปมองอริสึคาวะที่อยู่ข้างหน้า
คำพูดของอริสึคาวะสร้างความสนใจให้กับเหล่าผู้ติดตาม การพูดเล่นอย่างสนุกสนานได้หยุดลงในทันที
[พูดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอ?]
ยูเมซากิเอ่ยปากถาม
[ก็เราน่ะ คบกับยูกิคงอยู่นี่]
[…..หา?]
ยูเมซากิทำท่าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
อริสึคาวะพูดน้ำเสียงสบาย ๆ ตรงกันข้ามกับเนื้อหาออกมา
[คืองี้ เราถูกยูกิคุงเรียกตัวมาน่ะนะ แล้วทำเหมือนว่าเราจะถูกทิ้งแบบนี้ดีแล้วเหรอ?]
แค่ประโยคเดียวของอริสึคาวะก็ทำให้ผู้ติดตามเริ่มเอะอะขึ้นมา
ยูเมซากิหันมองซ้ายขวาแล้วพุ่งเข้ามาดึงปกคอเสื้อผม
[นี่นายคบกับคุณอริสึคาวะอยู่เหรอ—!?]
[ใช่ แล้วก็ตั้งแต่วันนี้จะคบกับยูเมซากิด้วยนะ]
[—ฉันไม่ได้บอกให้นายทำขนาดนั้นเลยนะ…]
ตรงกันข้ามกับน้ำเสียงสบาย ๆ ของผม ยูเมซากิหงุดหงิดอย่างชัดเจน
ไม่เห็นมีเหตุผลที่จะต้องโกรธเลยนี่
[เธอก็ชนะอริสึคาวะได้แล้วนี่?]
ยูเมซากิเงียบไป แต่ตอนนี้ผมทำสัญญาได้เสร็จแล้วข้อนึงแล้ว เอาชนะอริสึคาวะได้เป็นที่เรียบร้อย
[ก็บอกให้เอาชนะไม่ใช่หรือไง คนที่บอกว่าจะไม่เลือกวิธีการมันเธอเองนี่]
[…นายคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะพอใจเหรอ? ที่คุยกันก่อนหน้านี้ก็ยกเลิกไปนะ?]
[งั้นเหรอ? ฉันยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่นะ แค่นี้ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับอริสึคาวะหายไปไหนหรอก]
[ไม่สิ คุณอริสึคาวะก็ต้อง–]
[เอาน่าลองดูเถอะ ต่อไปจะทำให้เธอเป็นนางแบบให้ได้เอง ฉันยังมีประโยชน์แบบนั้นอยู่นี่ แต่ก่อนอื่นก็ต้องทำให้เห็นก่อนสินะ ประโยชน์สูงสุดของฉันน่ะ]
ผมละสายตาจากยูเมซากิแล้วหันไปหาอริสึคาวะ
อริสึคาวะมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
[อริสึคาวะ มีใครยืนอยู่ตรงโถงทางเดินหรือเปล่า?]
อริสึคาะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนหลังจากฟังคำถามของผม
จากนั้นก็ไปเปิดประตูให้ ที่ตรงนั้นมีคนคนนึงยืนอยู่
[…คุณมินาโตะ]
ยูเมซากิพึมพำออกมาด้วยความตกใจ
[ว่าไง เพื่อนสมัยเด็กของฉันให้มาหาน่ะ…มีอะไรเหรอ?]
หนึ่งในสามฝ่ายใหญ่ของโรงเรียน
การปรากฎตัวของอาสึกะทำให้บรรยากาศของห้องเปลี่ยนไป
ชัดเจนเลยว่าผู้ชายส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับอาสึกะมากกว่า
[แล้วสรุปว่ามันเรื่องอะไรกัน?]
พอโดนอาสึกะจี้ถามนักเรียนชายก็ตอบแบบเก้ ๆ กัง ๆ
[เอ๋? เรื่องมัน คือว่า ซานาดะเรียกยูเมซากิมาสารภาพรัก แต่ปรากฎว่าซานาดะกำลังคบกับอริสึคาวะอยู่ด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าเหมือนกับอริสึคาวะโดนทิ้ง สรุปก็คือวุ่นวายมากเลยแหละ]
[เห- เหรอ เพื่อนสมัยเด็กฉันเป็นคนแบบนี้เองเหรอเนี่ย]
อาสึกะเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมแล้วพูด
[—คบกับฉันอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอนายน่ะ?]
[…ใช่แล้วละ]
คำตอบจบลง ห้องก็เงียบงันไปด้วยเช่นกัน
ผู้ติดตามและยูเมซากิไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เหมือนผมจะได้ยินเสียง [บู] มาจากตรงที่อริสึคาวะอยู่
[[เอ๋!!!!?]]
ผู้ติดตามทั้งสองกรีดร้องออกมาพร้อมกัน
ยูเมซากิที่กำลังทำหน้าอึ้งเงยหน้าขึ้นมามองผม
แทนที่จะมีสีหน้ารังเกียจ แต่กลับทำเหมือนกับกำลังประหลาดใจอยู่
เหมือนเห็นกราฟหุ้นของตัวเองดิ่งเหว เป็นหน้าแบบนั้น
จากนั้น
[คือ–หนูก็]
ประตูห้องที่เปิดอยู่ครึ่งเดียวค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ยูเมซากิก็เผลอหรี่ตาลงมอง
[เธอมัน ฮินะ…!]
[คือหนูก็คบกับรุ่นพี่อยู่เหมือนกันน่ะค่ะ…]
[หา!?]
คราวหน้ายูเมซากิหันมาทำหน้ารังเกียจใส่ผมแล้ว
[เดี๋ยว! นี่มัน! เรื่องอะไรกันเนี่ย!]
[เข้าใจน่า เข้าใจ!]
[จะมาเข้าใจอะไรละ!?]
ยูเมซากิมีท่าทางสิ้นหวังและโกรธแค้นผม
ก็มาพูดว่า “ชอบ” กับคนแบบนี้ ตอนนี้ก็คงรู้สึกอายมากเลยละนะ
และนี่ก็คือสิ่งที่ผมขอร้องจากทั้งสามคน
เท่านี้ข่าวลือที่ว่ายูเมซากิตกหลุมรักแฟนหนุ่มสุดโฉดก็จะถูกกระจายไปทั่ว น่าสนุกดีนะ
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ยูเมซากินั้นอยากเป็นตัวตนอันสมบูรณ์แบบให้คนอื่นได้เห็น
นี่เป็นการแก้เผ็ดที่เคยมารังแกฮินะนั่นแหละ
แต่ว่าแน่นอน ไม่จบแค่นี้อยู่แล้ว
เรื่องหลังจากนี้น่ะแฟนทั้งสามคนของผมยังไม่รู้มาก่อน
[ฉันจะเลิกกับทุกคนเอง วางใจได้เลย]
ยูเมซากิมองหน้าผมด้วยอาการฉุนเฉียว
แถมทางด้านอาสึกะกับฮินะก็มีการตอบสนองอย่าง [หา!?] [เอ๋] แล้วหันมามองทางนี้เหมือนกัน
[เดี๋ยวนะ นายเอาจริงเหรอ?]
[อย่าห้ามกันเลยนะ]
อาสึกะยื่นมืออกมาเพื่อจะตอบสนอง แต่แล้วก็หยุดลง
[หรือว่า…นายจะกลับมาแล้ว—]
[ยังไงกันนะ แต่ก่อนอื่นฮินะหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนนะ]
[ระ รุ่นพี่ ถ้าทำแบบนั้นแล้ว หนูน่ะ—]
ฮินะเดินพยายามจะเดินเข้ามาแต่ก็ถูกหยุดด้วยสายตาของผม
ต้องเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ในตัวของยูเมซากิอย่างแน่นอน
ความรู้สึกที่ได้ก้าวข้ามทั้งสองคนนั้นและได้แฟนของพวกเธอมาครอง
เพื่อจะรักษาหน้าตาของตัวเองไว้แล้วยังไงก็ต้องเกิดความรู้แบบนั้นแน่นอน
…และนี่จะเป็นการลงทัณฑ์ตัวผมคนเก่าด้วย
ทั้งทีมีแฟนอย่างอาสึกะอยู่แล้วแต่กลับไปคบอริสึคาวะ
จากที่จับปลาสองมือ ก็ซ้อนสามเพิ่มฮินะเข้าไปอีก
ถึงจะเป็นเรื่องที่จำไม่ได้เลยก็ตาม แต่ก็ยกโทษให้ไม่ได้
—-เพราะฉะนั้น
ตัวผมก่อนที่จะความจำเสื่อม จะต้องถูกลงทัณฑ์
ไม่ใช่การลงโทษทางกาย
จะต้องทำให้หลังจากที่ความทรงจำกลับมาแล้วต้องรู้สึกว่าอยากจะลบความทรงจำของตัวเองอีกรอบเลย
ผมจะทำให้สิ่งที่ตัวผมคนเดิมสร้างมาหายไปให้หมด ที่ตัวผมคนเดิมภาคภูมิใจกับการอยู่คนเดียวคงเป็นเพราะว่าได้คบกับผู้หญิงเหล่านี้แน่นอน เพราะฉะนั้นผมจะลบความสัมพันธ์พวกนี้ไปให้หมด
นี่คือแผนการของผม ขั้นตอนถัดไปในการเกิดใหม่ไงละ
แค่ผมหวังเพียงว่า—จะได้สร้างสัมพันธ์ใหม่กับทุกคนอีกครั้ง
…นี่เป็นแค่เพียงความปรารถนาของผมเท่านั้น ก่อนอื่นก็ต้องจัดการเรื่องตรงหน้าเสียก่อน
ผมส่งรอยยิ้มจอมปลอมให้กับยูเมซากิ
[ดูสิ ฉันน่ะเป็นสามโพธิ์ดำนะ เทียบกับโจ๊กเกอร์แล้วอาจจะอ่อนไปซะหน่อย แต่ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ใช่ไหมละ?]
ผมยื่นมือไปหายูเมซากิ
[ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดสิ คุณประธานคนต่อไป]
[นายมัน—]
[เหมือนจะติดปัญหาเยอะเลยนะ เพราะเดี๋ยวคงวุ่นวายกันแน่เลย แต่อริสึคาวะจะคอยช่วยเธอเอง จนกว่าจะได้เป็นนางแบบน่ะนะ]
[คนโกหก ทำกันขนาดนี้แล้วเรื่องร่วมมือน่ะ…]
[…จะคอยช่วยเองนะ ตอนคาบคหกรรมก็เคยบอกแล้วจำไม่ได้เหรอ? ว่าเราน่ะพูดแล้วไม่คืนคำนะ]
ยูเมซากิกัดฟันให้กับคำตอบของอริสึคาวะ
[นะ? ถ้าคบกับฉันทั้ง ๆ แบบนี้ละก็จะได้เป็นนางแบบสมใจแล้วนะ]
จะจบลงที่การจับมือกับผู้ชายที่มีคุณค่าแบบนี้หรือไหม
ยูเมซากิมีสีหน้าลังเลว่าควรจะจับมือนี้ดีไหม
ผมไม่รู้หรอกว่ากำลังประเมินค่าระหว่างการเป็นนางแบบกับหน้าตาอยู่หรือเปล่า
แต่จนถึงตอนนี้ยูเมซากิก็ไม่ยอมจับมือผม
แสดงว่าให้ความสำคัญกับหน้าตาของตัวเองมากกว่าสินะ
แรงจูงใจอันยิ่งใหญ่ของยูเมซากิในการจะเป็นนางแบบคือการที่อยากจะถูกใคร ๆ ยอมรับในตัว
และตอนนี้ยูเมซากิกำลังจะได้เดบิวต์เป็นนางแบบต่อหน้าทุก ๆ คน
ถ้าทำแบบนั้นแล้วความอยากเป็นนางแบบของตัวเองก็จะจบลง เหตุผลที่จะรังแกฮินะก็จะหายไป
แม้จะเป็นแค่เพียงผิวเผินแต่สำหรับคนที่หวงแหนอะไรแบบนี้ก็คงจะยื่นมือออกมาไม่ได้สินะ
ถึงจะจับมือนี้ไปก็ไม่มีใครว่าอะไรแท้ ๆ แล้วก็ถ้าเกิดยังรังแกฮินะอยู่ก็จะดูผิดปกติด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้ก็มีความเสียงอยู่เหมือนกัน
นั่นก็คือผมเองก็เสี่ยงจะถูกรังเกียจจากคนอื่นนอกจากยูเมซากิด้วยเหมือนกัน—
[แกมันโคตรเลวเลย]
นักเรียนชายที่มาเป็นพยานขยับตัวเข้ามาใกล้
เป็นผู้ชายทรงเจาะหูแล้วก็ผูกเนกไทหลวม ๆ
ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
เหมือนจะเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้แฮะ
จะโดนซัดโดนอะไรก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ แต่อยากจะฟังคำตอบของยูเมซากิซะก่อนน่ะสิ
[ขอกัดฟันก่อนได้ไหมเนี่ย?]
อื้ม คงไม่ได้
ถ้าทำไมดีต่อหน้าเพื่อนของยูเมซากิก็จะได้รับการดูแลแบบนี้นี่แหละ—
[โอร่า!]
สายลมตัดผ่านไป
กลิ่นที่ชวนให้คุ้นเคยลอยเตะจมูก
พอลืมตาขึ้นมานักเรียนชายคนนั้นก็กระเด็นไปอยู่ตรงโต๊ะแล้ว
เสียงกรีดร้องดัง [อุอ๊าก!?] ออกมา คนรอบข้างเริ่มโหวกเหวก
ผมสีทองนั้นปลิวไสวเข้ามาใจจมูก
อาสึกะหมุนตัวเตะนักเรียนชายที่ตัวสูงกว่ากระเด็นออกไป
[อะ อะ คุณอาสึกะ!?]
[เวรแล้ว เผลอไป]
อาสึกะเอามือปิดปากตัวเองด้วยความตกใจ
ส่วนตรงมุมห้องอริสึคาวะร้อง [ว้าว] ด้วยตาเป็นประกายอยู่
….อริสึคาวะเคยบอกว่า “คุณอาสึกะมีจุดแข็งที่ฉันไม่มี” อยู่นี่นา–
อย่างนี้นี่เองเรื่องนี้เองสินะ ไม่ใช่จุดแข็งแต่เป็นความแข็งแกร่งงั้นสินะ
อาสึกะสะบัดผมสุดจะเปล่งประกายของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมา
[แหม อื้ม ถ้าแตะต้องผู้ชายคนนี้อีกจะฆ่าให้ตายเลย]
ขณะที่อาสึกะยืดอกด้วยความภูมิใจ ผู้ติดตามสองคนนั้นก็โหวกเหวก
[หรือว่าข่าวลือที่เป็นนักเลงเก่าจะเป็นจริง…]
[ไม่ใช่นักเลงนะ อาชญากรเลยต่างหาก]
[ว้าย]
การกระทำของอาสึกะส่งผลให้นักเรียนชายกลัวหัวหด ผมถอนหายใจหนึ่งที
[จะทำแบบนั้นไม่ได้นะ…]
[หนวกหูยะ!]
อาสึกะขมวดคิ้วแล้วหันมามองผม
ดวงตาแบบนั้น นักเลงแน่นอน
[ก่อนอื่นเลย! ถ้ามีอะไรก็พูดมาเลยสิ อย่ามา–]
[อุหวาาายัยบ้านี่ รอก่อน!]
ผมพุ่งเข้าไปปิดปากอาสึกะอย่างลนลาน
ทันใดนั้นอาสึกะก็สงบลง
แรงโหดเหี้ยมเมื่อกี้ไปไหนแล้วไม่รู้ แต่ตอนนี้สีหน้าดูสงบลงแล้ว
….ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้วเนี่ย
ผมหันสายตาไปหายูเมซากิที่กำลังจะเดินกลับไปหาผู้ติดตาม
[ยูเมซากิคงจะรักษาสัญญาใช่ไหม เรื่องของฮินะน่ะ]
[…เข้าใจแล้วน่า นายทำตามที่สัญญาแล้วนี่ ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่ตอนนี้ปล่อยไปก่อนก็ได้]
ที่ผมถามต่อหน้าทุกคนก็มีความหมายซ่อนอยู่ ในสถานการณ์ที่มีทั้งอริสึคาวะและอาสึกะแบบนี้ยังไงก็เล่นตุกติกไม่ได้ ถ้าบอกว่าจะถอนตัวจากฮินะต่อหน้าทุกคนแล้วละก็ คนที่ต้องรักษาหน้าตาอย่างยูเมซากิก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น
ยูเมซากิยื่นแบงก์หมื่นเยนให้แล้วพูดกับฮินะ
[ฮินะ ขอโทษเรื่องฟิกเกอร์ด้วยนะ? แต่ว่าเรื่องนั้นน่ะแค่บังเอิญจริง ๆ นะ]
[ขะ เข้าใจแล้วค่ะ…แต่ว่าเรื่องข่าวลือของหนู]
[เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของฉันนี่ เพราะฉะนั้น…คนที่ปล่อยข่าวลือออกมาเดี๋ยวนี้]
ยูเมซากิหันไปหาผู้ติดตามแล้วถามว่า [คงเข้าใจใช่ไหม?]
ผู้ติดตามเดินเข้าไปขอโทษฮินะในทันที
จะดีหรือแย่—หรือจะแย่มากกว่าก็ตาม แต่นี่ก็เป็นกลุ่มที่ยอมรับใจจริงของยูเมซากิได้
แม้จะเป็นแค่การคืนดีแค่เปลือกก็ตาม
แต่เท่านี้ยูเมซากิก็ทำอะไรฮินะไม่ได้อีกแล้ว
[แต่ว่าคงจะรับเงินนี้ไปไม่ได้หรอกค่ะ แค่รักษาสัญญาณก็พอนะคะ]
[…เหรอ]
ยูเมซากินำแบงก์หมื่นเยนเก็บใส่กระเป๋าอย่างลวก ๆ แล้วยื่นมือไปที่ประตูห้อง
หันมองแผ่นหลังนั่นแล้ว ผมมีคำถามสุดท้ายอยู่อย่างนึง
[ยูเมซากิจะเอายังไง? จะเป็นนางแบบผ่านทางอริสึคาวะหรือจะยอมแพ้ไปก่อน?]
[…นั่นสินะ ถ้าจะให้คบกับสวะแบบนายละก็ ฉันยอมแพ้ดีกว่า]
พอได้ยินคำที่ออกมาจากใจแบบนั้นแล้ว ผมก็ได้แต่ยิ้มเหย ๆ
ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็คงจบเรื่องได้
—ผมบันทึกเรื่องราวที่คุยกันเมื่อกลางวันเอาไว้
ถ้าข้อมูลนั้นถูกปล่อยออกไปละก็ ยูเมซากิก็จะจบสิ้น
แต่ผมคงไม่ทำแบบนั้น
ถ้าไม่นับแรงจูงใจที่บิดเบี้ยวของยูเมซากิ การทำตามใจปรารถนาของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร
เรื่องของฮินะก็หมดไป การแก้เผ็ดเล็ก ๆ น้อยก็จบลง เราดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายเสียที
ที่ผมให้ฮินะมาที่ห้องเรียนนี้ก็เพื่อยืนยันว่าจบจริงแล้วเท่านั้น
การกระทำของยูเมซากิบอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ผิดแน่นอน แต่รากฐานความปรารถนาแบบนั้นตัวผมเองก็มีอยู่เหมือนกัน
ผมก็อยากจะให้ใครยอมรับตัวผมในตอนนี้เหมือนกัน
ยังไงซะตัวผมก็จะถูกขับไล่ออกจากกลุ่มของยูเมซากิ แถมยังจุดยืนในโรงเรียนนี้เละเทะไม่ผิดแน่
แต่ว่าแบบนั้นแหละดี
ผมที่ไม่มีความทรงจำเก่าเหลืออยู่ กำลังจะกลายเป็นซานาดะ ยูกิคนใหม่ที่ต่างจากเดิม
ผมไม่อยากจะมีชีวิตที่ใช้สิ่งที่ตัวเองสะสมไว้ก่อนจะความจำเสื่อม
ผมอยากจะใช้ชีวิตที่ใช้สิ่งที่ตัวเองสั่งสมมาเท่านั้น
แม้ว่าจะแตกต่างกันนิดหน่อย แต่โดนรวมแล้วก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน
ผมถึงได้จ้องมองยูเมซากิที่ออกไปแล้วอยู่แบบนั้น
อีกนัยต์นึงก็เหมือนกับกำลังเดาอนาคตของตัวเองอยู่ด้วย
[….]
หลังจากพวกยูเมซากิออกไปแล้ว ห้องก็เงียบจนไม่น่าเชื่อว่ามีกันสี่คน
หลายสิบวินาทีผ่านไปก็มีเสียงดังขึ้น—เป็นของฮินะนั่นเอง
[รุ่นพี่…คือว่า แบบนี้จะทำให้จุดยืนของตัวเองแย่ลงหรือเปล่าคะ…?]
[โอ้ ก็เพราะแบบนั้นถึงได้ลงมือไงละ เพื่อฮินะแล้วก็…หลาย ๆ เรื่องด้วย]
ฮินะหลุบตามองต่ำ
…ช่วยไม่ได้นี่นะ
ถ้าไม่พูดให้ฟังตรง ๆ เดี๋ยวฮินะมาเห็นผมในภายหลังจะรู้สึกแย่เอา
แต่ที่พูดไปก็เป็นใจจริงไม่ผิดแน่
ไม่รู้ว่ารู้ใจผมอยู่หรือเปล่า คนต่อมาที่เปล่งเสียงคืออริสึคาวะ
[ถ้ามีเป้าหมายแบบนั้นแล้วละก็…แปลว่าอยากจะอยู่คนเดียวจริง ๆ เหรอ?]
[นั่นสินะ จนถึงตอนนี้ก็อยากจะลองอยู่คนเดียวเหมือนกัน แต่ตอนนี้มีอยู่ตั้งสามคนน่ะสิ]
[หือ งั้นเหรอ จริง ๆ แล้วเธอน่ะ…]
มีแค่อริสึคาวะคนเดียวที่เข้าใจว่าผมจะสื่ออะไร
—กำลังจะไปเกิดใหม่งั้นสินะ
อริสึคาวะเลือกที่จะไม่พูดคำนั้นออกไป
กลับกันก็ยิ้มมาให้ผมอย่างอ่อนโยน
[ฟุฟุ ยูกิคุงเนี่ยน่าสนใจตลอดจริง ๆ นะ]
[…สถานการณ์แบบนี้ยังสนุกได้อีกสินะ คิดมาตั้งแต่แรกแล้วละว่าอริสึคาวะเนี่ยแปลกดีจริง ๆ นะ]
[ขอบคุณที่ชมจ้า]
[ไม่ได้ชมสักหน่อย]
จังหวะที่อริสึคาวะทำท่าพูดใจผมก็ตอบกลับไปด้วยไม่รู้ตัว
[…ก็ จะว่าไงดี ก็ตามนั้นแหละ ครั้งนึงความสัมพันธ์นี้–ความสัมพันธ์คนรักแบบนี้ทำให้ฉันไปตั้งตัวใหม่ไม่ได้น่ะนะ]
[…นั่นสินะเนอะ ทุกคนว่าไงกัน?]
อริสึคาวะหันไปจ้องอาสึกะ
[…ฉันมีคำตอบในใจแล้ว]
อาสึกะเข้ามาใกล้ ๆ ผมแล้วดันเนกไทให้แน่น
ข้างหน้าของผมนี้ มีอาสึกะอยู่
[…แบบนี้จะรับได้ยังไงเล่า อย่ามามั่วซั่วน่า!]
[เอ๋!? ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ก็พูดเรื่องเลิกกันกับทุกคนไปแล้วนี่ ถ้ายังอยู่ด้วยกันจุดยืนของเธอจะแย่เอานะ?]
[ถ้างั้นก็ลงนรกไปด้วยกันนี่แหละ ฉันไม่ได้คิดจะเลิกกับนายเลยนะ ถึงนายจะอยากเลิกแค่ไหนก็เถอะ แล้วก็บางทีความทรงจำอาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ไม่ใช่หรือไง?]
[ทั้งที่ทะเลาะแล้วไม่คุยกันไม่ใช่หรือไง…]
[หนวกหูยะ!]
จังหวะที่อาสึกะกำลังจะพูดต่อฮินะก็กระโดดใส่หลังผม
[คือว่า คือว่านะคะ หนูเองสภาพแวดล้อมรอบตัวก็แย่อยู่แล้วแต่หลังจากนี้จะพยายามให้ดีขึ้นค่ะ! แล้วเรื่องนั่นน่ะนะคะรุ่นพี่ ขอให้หนูได้โอชิรุ่นพี่ต่อไปเถอะค่ะ!]
[ไม่สิ จะโอชิกันก็ไม่ต้องคบกันก็ได้ไม่ใช่หรือไง]
[จะให้แพ้ตกชั้นแบบนั้นก็เศร้าตายสิคะ!]
ผมรู้สึกโล่งใจมาก ๆ ที่ได้เห็นสีหน้าร่าเริงแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นสถานการณ์กลับมาวุ่นวายอีกแล้วแฮะ
อริสึคาวะพูดออกมาราวกับกำลังร้องเพลงให้ฟังเหมือนจะเดาความคิดผมออก
[เธอเนี่ยน้า วิธีการแย่สุด ๆ เลยอะ ถ้าไม่ใช่แผนนี้ก็มีแผนดี ๆ อีกเยอะเลยนะ]
[ก็…ถ้าใช้วิธีอื่นก็จะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเธอมากนี่]
[…แหม ก็จริงนะ ถึงจะบอกให้พึ่งพากันแค่ไหนแต่ก็เข้าใจว่าฉันคงไม่ดีพอให้นายพึ่งพาแหละนะ]
อาสึกะคงแอบเสียใจไม่น้อยที่เคยบอกให้ผมเมินเรื่องของฮินะไป แต่จังหวะนั้นมันคือการชั่งน้ำหนักระหว่างผมกับฮินะนี่นา เรื่องนั้นผมโทษอาสึกะไม่ได้หรอก
[…วันนี้ก็ช่วยฉันไว้นี่นา ไม่ต้องคิดมากเรื่องต้องการหรือไม่ต้องกันได้ไหมนะ]
ผมส่งต่อใจจริงของผมไปด้วยคำพูดที่เข้าใจกันแค่เพียงเราสอง
ผมเชื่อนะว่าอาสึกะอยากให้ความทรงจำของผมกลับมา
ที่บอกว่าอยากจะอยู่ด้วยกัน ก็คงเพราะว่ามีโอกาสที่จะฟื้นความทรงจำกลับมาได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ผมก็เหมือนกัน จริง ๆ แล้วก็อยากจะอยู่กับทุกคน
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตัวผมคนเดิมทำไม่ได้ไง—
[ยูกิคุง เราทำตามที่ขอแล้วนะ อย่าลืมรักษาสัญญาด้วยจ้า]
อริสึคาวะยิ้มอย่างเริงร่า
[เอ๊ะ? สัญญาอะไรนะ]
[ในห้องพยาบาลที่เราบอกว่า “ถ้าเราปกป้องเธอแล้ว เราก็ขอเก็บความสัมพันธ์เอาไว้แบบนี้นะ” ไง]
พอคุ้ยในสมองดูก็เจอจริง ๆ แหละ เป็นความทรงจำที่แปลกชะมัด
[…ก็เคยพูดจริง ๆ นั่นแหละ แต่ตอนนั้นถ้าฉันปฏิเสธจะแย่เอานี่?]
[งั้นจะให้พูดเหรอ]
[เอ๊ะ นี่โดนขู่อยู่เหรอ?]
ผมสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว
…ใจดีจังนะ
ผมมีความรู้สึกที่อยากจะตัดขาดให้หมด แต่ก็อยากจะสานสัมพันธ์กับทุกคนต่อไปด้วย
อริสึคาวะคงจะมองทะลุใจจริงของผมได้ละมั้ง เลยใช้วิธีแกมบังคับแบบนี้
ผมส่ายหัวหนึ่งที
[…เข้าใจแล้วน่า]
พอผมตอบบนั้นอาสึกะก็ยิ้มอย่างมีความสุข
[ซากิ ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ได้เธอช่วยไว้จริง ๆ ขอบคุณนะ]
พออาสึกะพูดกับอริสึคาวะแบบนั้นตาเธอก็เป็นประกาย
[ว้าว ได้คำชมจากคุณอาสึกะด้วยดีใจจังน้า~]
[นี่ อย่ามาจับน่า!]
อาสึกะเอามือปิดหน้าอกตัวทันทีที่อริสึคาวะกระโจนเข้ามา
[แต่ว่าฉันไม่รู้จริง ๆ นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น]
[เรื่องแบบนั้นไม่ต้องกังวลหรอกมั้ง มีเราอยู่กันตรงนี้แล้วนี่นา]
อริสึคาวะที่แกล้งอาสึกะเสร็จแล้วก็หันมาตอบผมพร้อมกับรอยยิ้ม
[ใช่แล้วละค่ะ ถึงหนูจะเป็นกำลังให้ไม่ได้ แต่ถ้ามีสองคนนี้ก็หายห่วงค่ะ]
อาสึกะที่รู้สึกว่าผิดด้วยอะไรสักอย่างกำลังยิ้มแห้ง ๆ ให้กับฮินะที่กำลังร่าเริง
หรือว่ากำลังคิดว่าจะขอโทษยังไงดีอยู่ก็ได้
[…ไปเถอะ]
พอส่งเสียงออกไปอาสึกะก็เบิกตากว้าง
เหมือนว่าจะคิดถูก ตอนนี้อาสึกะเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว
เธอพยักหน้าเงียบ ๆ จากนั้นก็จับมือฮินะไว้แล้วออกจากห้องไป
สองคนนี้คงมีเรื่องให้ขอโทษกันละมั้ง
จังหวะนี้ผมคงต้องอยู่กับอริสึคาวะสองต่อสองไป่ก่อน ระหว่างนั้นผมก็พลันนึกถึงคำพูดของเธอขึ้นมา
…มีวิธีที่ดีกว่านี้งั้นเหรอ
พอมาคิดอีกทีอย่างใจเย็นแล้วแผนการของผมก็มีรอยรั่วเยอะเหมือนกัน
[เรื่องที่ว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้น่ะ เธอรู้อยู่แล้วหรือเปล่า?]
[อื้ม มีให้เลือกเป็นภูเขาเลากาเลยแหละ]
อริสึคาวะมองออกไปอีกมุมนึงแล้วยิ้มออกมา
[เธอน่ะบอกว่าอยากจะชนะด้วยตัวเองใช่ไหมละ? เพราะเป็นกำแพงด่านแรกเลยเอาแต่คิดว่าจะหาวิธีที่พึ่งพาใครให้น้อยที่สุดถูกไหม]
ครั้งนี้หันกลับมามองผมแล้วพูดต่อ
[อย่ารีบอย่าร้อนเหมือนวันนี้อีกนะ ทิวทัศน์ที่เธอจะได้เห็นน่ะมันเป็นของเธออยู่แล้วนี่นา]
[งั้นเหรอ…จริงด้วยสินะ ขอบคุณมาก]
…นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้
ที่ผมขอบคุณอริสึคาวะจากใจจริง
[จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ “ซานาดะ ยูกิคุง”]
อริสึคาวะยิ้มอย่างอ่อนโยน
กริ๊ก
และประตูบานหนึ่งในหัวก็ถูกเปิดออกมา
TL: ประโยคสุดท้ายที่เรียกยูกิ อริสึคาวะใช้คำว่า くん นะครับ แต่ปกติแล้วจะใช้ตัวคันจิตัวนี้ 君 ที่อ่านเหมือนกันเพื่อสร้างความต่างระหว่างสองบุคคลครับ
TL: เหลือบทส่งท้ายอีกบทหนึ่งนะครับ