死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ - ตอนที่ 1.1 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 1
- Home
- 死にたがりのシャノン ドラゴンに食べられてみた/ชานอนผู้ปรารถนาจะสิ้นชีวีเลยลองให้มังกรกินสักทีดูค่ะ
- ตอนที่ 1.1 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 1
บทที่ 1.1 ลองให้มังกรกินดูค่ะ (1)
[แหม- ขอบคุณน้าไคล์]
เด็กสาวที่ตกจากหน้าผา—ชานอนกำลังยิ้มอย่างเริงร่าแล้วกล่าวขอบคุณอยู่
[อื้ม แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก]
เพื่อจะหาที่อยู่สำหรับคืนนี้ให้ชานอน ทั้งสองคนจึงมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านของไคล์
ช่างเป็นโชคชะตาที่แปลกประหลาด คงไม่มีใครนึกฝันว่าจะได้มานำทางคนที่ตกจากหน้าผาเช่นนี้
แรกเริ่มเดิมทีคนที่ผ่านมาแถวหมู่บ้านก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดว่าได้เห็นคนนอกหมู่บ้านก็ตื่นเต้นมากแล้ว ยิ่งเป็นคนที่ตกลงมาจากหน้าผาให้ชวนอกสั่นขวัญแขวนแล้วยิ่งไปกันใหญ่ หรือจริง ๆ แล้วคนนอกหมู่บ้านก็เป็นแบบกันหมดหรือเปล่า
เพียงแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดสำหรับไคล์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาตลอดนั้น ชานอนถือเป็นคนแปลกที่อยู่คนละโลกกัน ดังนั้นจะเกิดนึกสนใจก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว
[ก็จะปล่อยคุณชานอนไปแบบนั้นไม่ได้นี่นา]
[ว้าวไคล์ ใจดีจัง~!]
ระหว่างที่พูดก็ขยี้และลูบหัวไคล์ไปด้วย
[อ๊ะ หยุดเลยนะ!]
เหมือนจะยังไม่หนำใจ เพียงแต่ว่าเริ่มอายแล้วก็เลยเอามือปัดออกไป
[เขินซะแล้วแฮะ]
[มะ ไม่ใช่สักหน่อย!]
พอเห็นหน้าที่ปฏิเสธอย่างเขินอายแล้ว ชานอนก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
พอรู้ตัวว่ากำลังถูกแกล้งเล่นอยู่จึงกระแอมไอหนึ่งครั้งเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
[ตะ แต่จะว่าไปแล้ว คุณชานอนเนี่ยเป็นใครกันเหรอ?]
ความจริงมีเรื่องที่อยากฟังอีกเป็นภูเขาเลากา เช่นทำไมถึงได้ตกหน้าผาลงมาหรือทำไมถึงยังดูสบายดี แต่ตอนนี้ควรจะรับรู้สิ่งที่แปลกที่สุดก่อนมากกว่า
[ฉันคือจอมเวทที่กำลังเดินทางอยู่น่ะ]
[จะ จอมเวท!?]
ชานอนพยักหน้า
[ยอดเลย จอมเวทเนี่ยมีอยู่จริง ๆ ด้วย!]
ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นสูงในทันตา
[เอ-อะไรละนั่น ก็ต้องมีอยู่สิ อย่างที่เห็นนี่ไง]
หลังจากพูดชานอนก็จับเสื้อคลุมของตนเองแล้วหมุนให้ดู
ถ้าแค่ผิวเผินอาจจะเป็นแค่เสื้อโค้ทธรรมดา แต่ถ้าตั้งใจมองก็จะรู้ว่าเป็นเสื้อคลุมนั่นเอง แบบเดียวกับที่จอมเวทใส่กัน
[ไคล์เพิ่งเคยเห็นจอมเวทครั้งแรกเหรอ?]
[อื้อ! ที่หมู่บ้านไม่มีจอมเวทสักคนเลย แต่มีคุณตาที่เป็นนักมายากลอยู่นะ]
[แบบนั้นก็น่าสนใจอยู่นี่]
[ไม่หรอก ไม่ใช่ของดีขนาดนั้นหรอกนะ บอกว่าจะมีนกพิราบออกมาจากปาก แต่ที่ออกมาก็มีแค่อาหารค่ำเท่านั้นแหละ]
[นั่นมันก็…]
[ยะ ยังไงก็เถอะ เพิ่งได้เห็นจอมเวทครั้งแรกเลย! ดีใจจัง]
ในยุคสมัยนี้นั้นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วจอมเวทถือว่ามีปริมาณลดลงอย่างมาก
แน่นอนว่าถ้าเข้าเมืองก็จะยังเห็นผ่านไปผ่านมาอยู่ แต่ก็กลายเป็นว่าที่อื่นอย่างหมู่บ้านของไคล์ก็กลายเป็นแค่ตัวตนในนิทานไปเสียแล้ว
[แถมยังเดินทางอยู่ด้วยสินะ]
[อื้ม ไปทั่วโลกเลยนะ]
[เห…แต่หายากที่จะเข้ามาถึงในภูเขาลึกขนาดนี้นะ อย่างหมู่บ้านของผมนี่คนแทบไม่โผล่มาเลยด้วยซ้ำ]
[เป็นแบบนั้นเหรอ?]
[อื้ม แต่คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ด้วยนะ แต่ไม่ได้มีกฎห้ามออกไปอะไรแบบนั้นอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่ยอมออกไปจากแถวนี้กัน]
พื้นที่แถวนี้เป็นพื้นที่ที่บรรพบุรุษช่วยกันบุกเบิกเอาไว้ดังนั้นทุกคนจึงรักและหวงแหนจนไม่ออกไปจากที่นี่
แน่นอนว่าคนที่ออกไปก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยกลับมากันสักครั้งเดียว
คนในยุคเดียวกับคุณตาคุณยายนั้นรักและหวงแหนพื้นที่นี้เป็นอย่างมาก
พวกเขามีกฏเหล็กกันว่าจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขโดยไม่จำเป็นต้องสนโลกภายนอก แค่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแบ่งปันสุขทุกข์ในชีวิตกันได้แล้ว ทำให้แม้พื้นที่นี้จะไม่มีสายลมใหม่พัดผ่านมาก็เป็นสุข
[ก็ที่นี่มันรกร้างว่างเปล่าพอดีนี่เนอะ กว่าจะไปถึงเมืองข้าง ๆ ก็กินเวลาไปห้าวันแล้วแหนะ จะออกจากภูเขานี้โหดหินน่าดูเลย]
[ก็ใช่อยู่หรอก เพราะฉะนั้นพ่อค้าเร่อะไรก็ไม่ค่อยจะมากัน ถึงการรออะไรที่หายากแบบนี้มาถึงจะน่าสนุกก็เถอะ]
พอเห็นหน้าที่จำยอมแบบนั้น ชานอนก็พยักหน้าหงึก ๆ
[ตอนที่มาครั้งก่อนก็ยังไม่เห็นว่ามีหมู่บ้านด้วยสิ สร้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่อะ?]
[เอ๋?]
คำพูดของชานอนทำให้ส่งเสียงออกไปโดยไม่รู้ตัวและยังขมวดคิ้วกับเรื่องที่ดูน่าจะล้อเล่นนี้ด้วย
[เมื่อกี้คุณชานอนถามว่าสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่ใช่ไหม? เอาที่ผมรู้ก็ต้องมีมาสักสองร้อยปีได้แล้วนะ…]
ทันใดนั้นชานอนก็เอียงคอพร้อมกับทำหน้างุนงง
[เอ๋ งั้นเหรอ? สร้างมานานแล้วนี่เอง สองร้อยกว่าปีเหรอ… งั้นอาจจะเป็นฉันเองที่หาไม่เจอละมั้ง]
[ฮะฮะ คงเป็นแบบนั้นแหละน่า จะบอกว่ามาเมื่อสองร้อยปีก่อนคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่]
เผลอปล่อยหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ชานอนอาจจะเป็นคนอารมณ์ดีอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้ คิดว่าทักษะแบบนี้คงได้รับมาจากการเดินทางแน่นอน
[แต่แถวนี้ทางก็ซับซ้อนด้วยละนะ ภูเขาก็กว้างอีก จะออกไปก็ต้องผ่านหุบเขาด้วย อย่างผมเองถ้าเดินผิดก็ได้กลายเป็นเด็กหลงแน่นอน ที่หากันเจอได้เนี่ยแปลกจัง]
[ก็จริงว่าแถวนี้เดินเยอะสุด ๆ เลยเนอะ ขานี่ปวดไปหมดแล้ว]
จากนั้นชานอนก็ลูบน่องของตัวเองและแล้วบ่นว่าอยากอาบน้ำ
[ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้หญิงกับภูเขานี่ลำบากเหมือนกันนะ ใช้เวทมนตร์บินไม่ได้เหรอ?]
[น่าเสียดายจัง แต่ไม่ถนัดเวทมนต์เหาะเหินสักเท่าไหร่น่ะ พอดีว่ามันค่อนข้างเฉพาะทางน่ะน้า ถ้าลอยตัวนิดหน่อยก็ได้อยู่… ตาเป็นประกายวิบวับเชียวนะ]
[ก็เพิ่งจะเคยเห็นเวทมนตร์เป็นครั้งแรกนี่นา! ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาแหละ…แล้วคุณชานอนใช้เวทมนตร์แบบไหน—ดะ เดี๋ยวก่อน!?]
ระหว่างที่คุยอยู่ชานอนก็ไปหยิบเห็ดที่ขึ้นอยู่ตรงโคนตรงไม้ขึ้นมา ทำเอาส่งเสียงเงอะงะออกมา
เป็นเห็ดสีฟ้าอ่อน
[คุณชานอนหยุดก๊อน!! อันตรายนะนั่น!]
[หือ เจ้าเนี่ยอะหรอ?]
ชานอนเอานิ้วชี้ไปที่เห็ด
[ไอนั่นคือเห็ดบาคุดาเคะเป็นเห็ดพิษ! หน้าตาจะเหมือนกับเห็ดโฮโลดาเคะแสนอร่อยเลยก็จริง แต่อันนี้กินแล้วตายอนาถเลยนะ!]
[เห! เชี่ยวชาญจังเนอะ ไคล์เป็นศาสตราจารย์เห็ดเหรอ?]
ตรงข้ามกับไคล์ที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ ชานอนยังคงใจเย็นไม่เดือดไม่ร้อนอะไร
อาจจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้จากการเดินทางก็เป็นได้
[ไม่ได้เป็นศาสตราจารย์อะไรสักหน่อย แต่ว่าผมน่ะนะ ถูกคุณตาสอนเกี่ยวกับพืชที่กินได้กับสมุนไพรมาเพียบก็เลยค่อนข้างรู้เยอะเฉย ๆ ]
พูดเสร็จแล้วก็หัวเราะเหะเหะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เพราะในหมู่บ้านมีความรู้แบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นการได้ส่งต่อเรื่องราวแบบนี้กับชานอนที่เป็นนักเดินทางถือว่าเป็นครั้งแรก ทำให้เผลอดีใจออกนอกหน้า
[เพราะฉะนั้นก็ทิ้งไปเถอะนะ ถ้าเผลอกินเข้าไปจะแย่เอา ถ้าถึงบ้านแล้วจะเอาเห็ดอร่อย ๆ ให้กินนะ]
[นี่ เผลอกัดไปคำแล้วอะ]
[อื้ม ดังนั้นนะ– เอ๋!? กินไปแล้วเหรอ!?]
ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีรอยกัดเข้าไปคำนึงอยู่
แล้วพอมองหน้าของชานอน ก็จะเห็นว่ากำลังเคี้ยวหงึบหงับด้วย
[อะ เอาแล้วไง! รีบคายทิ้งเลยนะ!]
แต่ชานอนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกิน
แถมยังกลืนเข้าไปทั้ง ๆ แบบนั้นด้วย
แย่แล้ว คุณชานอนตายแน่เลย
[อ๊าาา ทำไงดี…! เวลาแบบนี้ต้อง…!]
[อืม…แต่ว่าค่อนข้างอร่อยเลยนะ ไม่เป็นอะไรสักกะนิด? ]
[จะ จะเป็นแบบนั้นได้ไงเล่า! เห็ดนั่นยังไงก็มีพิษร้ายแรง…]
ระหว่างที่พูดไปก็พลางสังเกตท่าทางของชานอนด้วยความกังวลไปด้วย
เพียงแต่ว่าชานอนก็ยังคงทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว พอรอเวลาไปสักพักก็ไม่เห็นว่าจะเกิดความผิดปกติแต่อย่างใด
ถ้าอาการปกติตอนนี้จะต้องชาไปทั้งตัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มอาเจียนอีกทั้งยังหายใจลำบาก
[เอ๊ะ…ทำไมกัน? ตัวไม่ชาเหรอ?]
[สบมยห.จ้า ดูสิ ยังแข็งแรงอยู่เลยเนอะ?]
ชานอนทำท่าทะเล้นแล้วทุบอกอย่างภาคภูมิใจ
[หะ หา…? แปลกจังเลยนะ…]
ระหว่างที่กำลังสับสนอยู่ก็หันเหสายตากลับไปมองที่เห็ด
พอยิ่งมองแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นเห็ดบาคุดาเคะอย่างแน่นอน
แต่ว่าชานอนที่อยู่ตรงหน้าก็กินเข้าไปให้ดูแล้วว่าปลอดภัย
[อะไรกันละเนี่ย…]
[ฟุฟุ เหมือนจะจำเห็นผิดพันธุ์แล้วละม้าง]
ชานอนยิ้มอย่างร่าเริง
[มันแปลกจริง ๆ นะ]
กลับกันไคล์ขมวดคิ้วจนหน้าย่นไปหมด
[คิดมาตลอดเลยว่าผมเชี่ยวชาญเรื่องเห็ดมากเลยนะ…คิดผิดเหรอเนี่ย…]
ระหว่างที่กำลังเศร้าอยู่ หลังของไคล์ก็ถูกชานอนตบใส่เบา ๆ
[แหม บางทีก็มีเรื่องแบบนี้บ้างละเนอะ ไม่ต้องคิดเยอะไม่ต้องคิดมากนะ]
[อื้ม…นั่นสินะ ขอบคุณ..ครับ]
ถึงจะยังรับไม่ได้ แต่การที่ชานอนปลอดภัยก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
[จริงด้วย หมู่บ้านไงหมู่บ้าน! ตั้งหน้าตั้งหน้ารอลุ้นเลยนะ! จะเป็นที่แบบไหนกันหนอ]
[จะ จริงด้วย ปลอดภัยแล้วด้วยสิ ช่างมันแล้วกัน]
หลังจากกำลังใจกลับมาแล้ว ไคล์ก็พาชานอนมุ่งสู่หมู่บ้านอีกครั้ง
****
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ภายในกลางหุบเขา เป้าหมายคือหมู่บ้านเล็ก ๆ ตอนนี้ยังไม่เห็นใจกลางของหมู่บ้านก็จริงแต่ก็เริ่มเห็นถนนทางยาวให้เดินเข้าไปแล้ว
และกลางทางถนนเส้นนี้ก็พบกับบ้านไม้หลังหนึ่ง
[โอ๊ะ นี่บ้านไคล์เหรอ?]
[ใช่แล้วละ]
[ว้าว บ้านสวยดีนะ!]
[เหะเหะ ขอบคุณนะ จะอยู่ที่นี่สักพักเลยก็ได้นะ! อยากฟังเรื่องการเดินทางจังเลยน้า]
[ได้เลยจ้า พูดมาแบบนั้นแล้วก็ขอรบกวนหน่อยนะ]
[สำเร็จ! งั้นเข้ามาเลย!]
พอชานอนเข้าบ้านไปตามคำชวนของไคล์แล้ว พ่อกับแม่ก็ออกมาต้อนรับกัน พอได้ฟังเรื่องราวก็ให้ชานอนพักได้อย่างเต็มใจ การมีแขกมาหลังจากที่ไม่ได้เจอนานทำให้ทั้งสองคนดีใจเป็นอย่างมาก
และด้วยความนิสัยใจคอดีของชานอน เธออาสาช่วยทำงานบ้านและหลาย ๆ อย่างในระหว่างที่พักอาศัย ทำให้ทั้งสามคนเปิดใจได้เร็วมาก
[เห เธอเป็นจอมเวทงั้นเหรอเนี่ย]
คนพ่อนั่งเก้าอี้พร้อมกับเลิกคิ้วถามชานอนที่กำลังง่วนอยู่ในครัวด้วยความสงสัยใคร่รู้
[ใช่แล้วละค่ะ นี่ไงคะ]
หลังจากพูดเสร็จชานอนก็ควงไม้เท้าหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นจานก็เข้าไปในน้ำเพื่อทำชำระความสกปรก ผักก็ถูกหั่นบนเขียงอย่างสวยงามและงานบ้านก็ถูกจัดการโดยทันที
ไคล์ที่เห็นภาพนั้นก็ทำตาเป็นประกาย
[สะ สุดยอด!]
[หุหุ สุดยอดใช่ไหมละ ฉันน่ะค่อนข้างใช้เวทมนตร์เก่งเลยนะ]
[เป็นจอทเวทจริง ๆ ด้วยสินะ!]
[เอ๋- ไคล์ไม่เชื่อกันงั้นเหรอ?]
ชานอนหรี่ตาลงแล้วจ้องมองไปที่ไคล์
[เอ๊ะ ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่แบบนั้น…แค่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อนน่ะ…]
[ล้อเล่นจ้ะล้อเล่น เจ๋งสุดเลยไหมละ]
[อื้ม!]
ต่อจากนั้นคนแม่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดออกมา
[แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เจอจอมเวทมานานแล้วนี่นา เพราะหมู่บ้านชนบทแบบนี้ไม่ค่อยมีจอมเวทผ่านมาเลย ครั้งล่าสุดที่เจอมันเมื่อไหร่กันนะ]
คนแม่กำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีตพลางมองท้องฟ้าไปด้วย
[ไม่ใช่ตอนนั้นเหรอ? ก่อนไคล์จะเกิดนิดหน่อย…ประมาณสิบสองปีก่อน]
[อ๊ะ จะว่าไปแล้วก็เคยเจอกลุ่มจอมเวทฝึกหัดสามคนนี่นา ถึงเด็กพวกนั้นจะใช้เวทมนตร์ไม่ค่อยได้เรื่องก็เถอะ…]
[ช่วงนี้จำนวนลดลงไปมากเลยละค่ะ แต่เข้าเมืองก็ยังเจออยู่แต่ก็ไม่เท่าเดิมนะคะ แอบชวนเหงาเหมือนกัน ]
เมื่อยามก่อนเวทมนตร์ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายมาก แต่เมื่อจอมเวทลดลงไปปริมาณการใช้ก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้ตอนนี้เวทมนตร์ถูกนับว่าเป็นของหายากไปแล้ว
ในช่วงหนึ่งเคยมีความพยายามที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้หายไป มีการสร้างโรงเรียนเวทมนตร์ขึ้นมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดปรากฎการณ์นี้ได้
จอมเวทถูกกำหนดให้สูญพันธุ์และเวทมนตร์ก็จะหายไปเช่นกัน
[จอมเวทก็ลำบากเหมือนกันเนอะ แต่ว่าถ้าเทียบกับเด็กพวกนั้นแล้วชานอนจังดูคล่องแคล่วกว่าเยอะเลยนะจ๊ะ]
[ขอบคุณมากนะคะ! ดีใจจัง]
[เอ๋อ หรือว่าคุณชานรอน เรื่องเห็ดบาคุดาเคะเนี่ยก็ใช้เวทมนตร์ทำอะไรสักอย่างไปเหรอ?]
นึกย้อนไปถึงทางที่เดินกันมา
ไคล์ยังคงมั่นใจว่าเขาไม่ได้มองเห็ดบาคุดาเคะผิดไปอย่างแน่นอน
[เห็นบาคุดาเคะมันทำไมเหรอ?]
คนพ่อขมวดคิ้ว
[คือว่านะ ตอนกำลังกลับบ้านกันคุณชานอนเขาพลาดแล้วกินเห็ดบาคุดาเคะเข้าไปน่ะสิ แต่ดูรวม ๆ แล้วยังสบายดีอยู่เลยคิดว่าใช้เวทมนตร์อะไรหรือเปล่านะ]
ทันใดนั้นชานอนก็ยิ้มออกมา
[ไม่ใช่นะ ก็กินปกตินี่แหละ?]
[ไม่สิไม่ โกหกแน่ ๆ ! ยังไงนั่นก็เป็นเห็ดบาคุดาเคะแน่นอนเลย…! เรื่องที่ผมจะมองผิดมันไม่…]
จากนั้นพ่อของไคล์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจเล็กน้อย
[ไคล์เองก็ยังอ่อนหัดหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจำผิดเป็นเห็ดโฮโลดาเคะเหรอ?]
[มะ ไม่ใช่นะพ่อ! เรื่องง่าย ๆ พรรค์นี้น่ะ…ไม่มีทางที่ผมจะผิดได้เลยนะ…]
ไคล์ก้มหน้าลงด้วยความไม่พอใจ
[มั่นใจในตัวเองมากไปก็ไม่ดีนะไคล์]
[ตะ แต่ว่า…]
[คุณชานอนเขาเดินทางเห็นโลกภายนอกมามากว่าลูกนะ อีกอย่างจอมเวทก็คงมีความรู้ที่มากกว่าเราเยอะเลย จริงอยู่ที่ความรู้ของลูกอาจจะบอกว่ามันเป็นเห็ดบาคุดาเคะจริง ๆ แต่บางเรื่องก็มีข้อยกเว้นอยู่นะ เรื่องบางเรื่องต้องเห็นของจริงไม่ใช่แค่หนังสือภาพด้วย ที่พ่อจะบอกก็คือการที่คุณชานอนจะมีความรู้มากกว่านั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย]
[นั่นมันก็…]
[พอดีเลย ลูกก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากคุณชานอนก็เรื่องที่ดี การได้รับความรู้จากจอมเวทไม่ได้หาได้ง่าย ๆ นะลูก]
ระหว่างที่พูดพ่อของไคล์ก็ลูบหัวไคล์ไปด้วย
[ลูกยังเติบโตได้อีกเยอะนะ ตั้งใจศึกษาแล้วเอามาพัฒนาหมู่บ้านของเราเถอะ]
[ครับพ่อ]
จริงอยู่ที่มีความมั่นใจเรื่องเห็ดเป็นอย่างมาก เพียงแต่เรื่องคราวก็นี้ทำให้เสียความมั่นใจไปหมดเช่นกัน
ระหว่างคิดว่าจะกล่าวขอโทษดีหรือไม่นั้น ชานอนก็ขมวดคิ้วย่นใส่
[ขอโทษนะไคล์ เผลอทำเรื่องไม่ดีไปซะแล้วสิ]
[มะ ไม่หรอกครับคุณชานอนไม่ผิดเลย ผมต่างหากที่ต้องตั้งใจศึกษามากกว่านี้…]
[นั่นมันก็ใช่อยู่หรอกนะ…]
ชานอนเกาแก้มอย่างเคอะเขินแล้วทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
[หุหุ งั้นเรื่องนี้เอาไว้เท่านี้เนอะ ข้าวเสร็จแล้วจ้า ทุกคนมากินกันเถอะ]
*****
โต๊ะไม้สำหรับนั่งกินข้าวถูกล้อมไปด้วยคนสี่คนอยู่
เมื่อมองไปยังอาหารที่วางเรียงรายอยู่ชานอนก็ประสานมือแล้วร้อง ว้าว~! ออกมา
[น่ากินจัง!]
[วันนี้แม่จัดเต็มเลยนะเนี่ย]
[ฟุฟุ ไม่ค่อยได้ทำอาหารให้แขกนี่จ๊ะ ก็ต้องจัดเต็มกันหน่อย]
คนแม่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
[ชานอนจังกินให้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจนะจ๊ะ แต่กินแล้วขอฟังความเห็นด้วยนะ!]
[ได้สิคะ! ถ้างั้นก็]
ชานอนมองไปที่อาหารบนโต๊ะ จากนั้นมือก็เริ่มขยับไปหาซุปผักแล้วตักขึ้นมาเข้าปาก
[…อื้ม! อร่อย!]
ชานอนนำช้อนออกมาจากแล้วทำตาเป็นประกาย
[แหม จริงเหรอจ๊ะ?]
[ค่ะ! รสเบาทำให้กินง่ายมาก แถมผักก็ยังรสชาติดีด้วยนะคะ!]
[แถว ๆ นี้น่ะดินดีมากเลยนะ ผักก็เลยออกมาอร่ยแบบนี้ บางทีพ่อค้าเร่ผ่านมาก็ซื้อไปเยอะเหมือนกันจ้ะ]
[เห~! เป็นจุดเด่นของหมู่บ้านนี้สินะคะ]
พอพูดจบชานอนก็กินซุปเข้าไปอีกครั้ง
พอเห็นชานอนที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ไคล์ที่ทำท่าทางภูมิใจเหมือนเป็นเรื่องตัวเองก็กินเข้าไปเหมือนกัน
อื้ม เป็นรสชาติที่อย่างเคยแต่เวลาที่มีใครบอกว่าอร่อยมาแบบนี้ก็อดดีใจเป็นไม่ได้
[ดีจังเลยนะที่รสชาติถูกปาก]
แน่นอนค่ะ! ชานอนพยักหน้าอย่างร่าเริง
จากนั้นชานอนก็เล็งเป้าไปที่เนื้อเป็นอย่างถัดไป
[โอ๊ะ รสเปรี้ยวจากเนื้อนี่อร่อยมากเลยค่ะ~! อยากกินทุกวันเลยนะคะเนี่ย]
[ปากหวานจังนะเรา กินเยอะ ๆ เลยนะจ๊ะ]
[ค่ะ! เหนือกว่าอาหารที่กินช่วงก่อนหน้านี้หลายขุมเลยค่ะ…ว่าแล้วว่าการกินข้าวร่วมกับทุกคนในบ้านเนี่ยสุดยอดเลยนะคะ]
ชานอนบ่นพึมพำเช่นนั้น
[เอ๋ หรือว่าคุณชานอนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเหรอ?]
[อื้ม ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากเมืองก็ร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ เลยละน้า]
[อุหวา ลำบากแย่เลยนะ]
ไม่สามารถจะจินตนาการได้เลยว่าจะใช้ชีวิตได้ไหมถ้าออกไปข้างนอกอย่างนั้น
ถ้าหากไม่มีคนแม่ไม่ทำอาหารให้กินละก็ ตัวเองก็ไม่รู้จะหากินอย่างไรดีเช่นกัน
[ก็การเดินทางนี่นา แต่ว่าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติก็สนุกไม่น้อยเลยนะ]
ชานอนทำหน้าตาชัดเจนมากเลยว่าคิดแบบนั้นจากใจจริง
[ที่ว่าในเมืองเนี่ยมาจากที่ไหนเหรอ?]
[จากเวสเทเรียค่ะ อยู่ทางตะวันออกของเมืองออร์วูด]
เวสเทเรียเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกของที่นี่
ดังนั้นถ้าจะไปที่เมืองออร์วูดทางตะวันออกจำเป็นจะต้องข้ามภูเขาลูกนี้ไปเท่านั้น ดังนั้นจึงมีนักเดินทางจากเวสเทเรียผ่านผู้เขามาเป็นครั้งคราว เพียงแต่อาจจะไม่ได้เจอหมู่บ้านนี้ก็เป็นได้
[ถ้าพูดถึงเวสเทเรียนี่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์สินะ เวลาพ่อค้าเร่มาทีไรก็ขายหมดเร็วทุกทีเลย]
ทันใดนั้นคนพ่อก็ส่งเสียง อ๊ะ! ออกมา
[ไวน์นั่นอร่อยจริง ๆ นะ มาจากเวสเทเรียนี่เอง มาไกลขนาดนี้ไม่ลำบากแย่เหรอ?]
[ไม่หรอกค่ะ ไม่ลำบากเลย ระยะทางแค่นี้ก็เคยชินแล้วด้วยน่ะค่ะ]
[เข้มแข็งจังนะ ผู้หญิงเดินทางคนเดียวก็คงอันตรายมากแต่ถ้าเป็นคุณชานอนคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม ดูเป็นคนระวังตัวเก่งด้วยสิ]
[แน่นอนค่ะ! ใช้ศิลปะป้องกันตัวได้ด้วยนะคะ แกร่งกว่าผู้ชายทั่วไปเยอะเลย]
ชานอทำท่าเบ่งกล้าให้ดูเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เต่งตึงโดยไม่คาดคิด สำหรับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวถ้ามีกล้ามเนื้อขนาดนี้ก็หายห่วงแน่นอน
ฟังเรื่องราวแล้วก็ทำให้คิดได้ว่าถ้าออกเดินทางก็จะแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ
การอยู่ในหมู่บ้านตลอดไปก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ข้างนอกนั้นมีจอมเวทอยู่ ในโลกอันกว้างใหญ่นี้จะต้องได้พบเจออีกมากมายแน่นอน ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็ว่าได้
[เดินทางเหรอ ดีจังน้า]
คำพูดออกมาโดยที่ไม่ได้คาดคิด
เมื่อได้ฟังแล้วชานอนก็ทำสีหน้าอ่อนโยนออกมา
[การเดินทางน่ะสนุกนะ]
[คุณชานอนดูแล้วอายุไม่ต่างกับผมมากเลยใช่ไหม? ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่สุดยอดเลยนะ]
ทันใดนั้นชานอนก็ทำหน้าอึ้งแล้วก็กลับมาหัวเราะแห้ง ๆ
[อะ เอ๋?]
[อ่าฮะฮะ โทษทีนะ แปลกใจนิดหน่อยน่ะ]
[?]
ไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมถึงได้หัวเราะแบบนั้น แต่ภาพนั้นก็ลอยเข้ามาให้หัว
[เดี๋ยวนะ…นั่นสิน้า ฉันก็แก่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ]
[กะ ก็ใช่ไหมละ? ผมพูดอะไรแปลก ๆ ไปเหรอ]
ชานอนโบกมือซ้ายขวาไปมา
[ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมากนะ]
[เหรอ?]
อื้ม ชานอนส่ายหัวเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีอะไร
เดิมทีชานอนก็เป็นคนแปลกอยู่แล้วด้วย จะปล่อยผ่านไปสักเรื่องก็คงไม่เป็นไร
[แล้วการเดินทางเนี่ยมีจุดหมายอะไรเหรอ? เป็นจอมเวทด้วยสิ ฝึกเวทมนตร์หรือเปล่า?]
ความสนใจพุ่งพล่านออกมา ทำให้มีคำถามออกมาไม่หยุดไม่หย่อน
ส่วนชานอนก็ตอบคำถามให้โดยที่ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด
[ออกจะต่างออกไปจากการฝึกเวทมนตร์ไปหน่อยน่ะน้า เห็นแบบนี้ฉันค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเองเลยนะ]
[เห คุณชานอนเนี่ยหรือว่าเป็นจอมเวทชื่อดังเหรอ?]
[ไม่ใช่หรอก ยังไงดีนะ คนที่รู้จักฉันมีไม่ค่อยเยอะหรอก]
[? อืม งั้นเหรอ แล้วทำไมถึงออกเดินทางละ?]
[นั่นสินะ เพื่อศึกษาด้วยตัวเองละมั้ง? พอดีว่ามีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้อยู่และเพื่อการนั้นเลยต้องออกไปหลาย ๆ ที่ พบคนหลาย ๆ แบบแล้วก็สนุกกับมันให้เต็มที่น่ะ]
[เอ ออกเดินทางเพื่อเป้าหมายเหรอ…ดีจังนะ!]
ไคล์ทำตาเป็นประกาย
การเดินทางเพื่อเป้าหมายบางอย่างช่างชวนให้โรแมนติกเหลือหลาย สำหรับไคล์ที่เติบโตในหมู่บ้านเล็ก ๆ แล้ว คนที่มีอิสระอย่างชานอนถือว่าเปล่งประกายอย่างมาก
จากนั้นทั้งสี่คนก็พูดคุยอย่างสนุกสนานพลางกินข้าวไปเรื่อย ๆ
เวลาแห่งความสงบสุขผ่านไป หลังจากเริ่มกินข้าวเรียบร้อยแล้วคนแม่ก็เริ่มถามคำถามออกมา
[ชานอนจังเป็นอะไรมากไหมจ๊ะ บาดเจ็บหรือเปล่า? ถ้าจะเอายาก็บอกได้นะ]
[อะไรเหรอคะ?]
ชานอนเอียงคอสงสัย
[คือแบบนี้นะ เห็นว่านอนอยู่ข้าง ๆ แม่น้ำใช่ไหม เลยคิดว่าจะบาดเจ็บหรือเปล่าน่ะจ้ะ]
จริงด้วยสิ จะว่าไปแล้วก็จริง เห็นว่าชานอนนั้นโดดเด่นเกินไปจนลืมไปเลย
[อะอ๋อ! ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่นอนพักเฉย ๆ เอง]
[งั้นเหรอจ๊ะ? ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้ว แถวนั้นขึ้นชื่อว่าผีเยอะด้วยนี่นา? เห็นว่าติดอยู่ตรงใต้หน้าผา…แบบว่าน่ากลัวเนอะ]
คนแม่พูดแล้วก็ตัวสั่น
เมื่อได้ฟังดังนั้นชานอนก็โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วทำตาเป็นประกาย
[ใช่ ใช่แล้วละค่ะ! ฉันเองก็ได้ยินจากคุณปู่ตรงตีนเขาเหมือนกัน พอลองไปดูแล้วก็…เหมือนจะเป็นแค่เรื่องจกตานะคะ]
ชานอนถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
แต่คนแม่นั้นทำสีหน้าตกตะลึงอยู่
[ความอยากรู้อยากเห็นสูงดีเนอะ…]
[แหม แต่ก็ไม่มีอะไรนี่นะคะ]
[แต่ระวังตัวหน่อยก็ดีนะจ๊ะ ยังเด็กอยู่แถมเป็นผู้หญิงด้วย]
เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน ไคล์เผลอนึกถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมา
จริงอยู่ที่ชานอนนอนอยู่ตรงแม่น้ำจริง แต่น่าจะมีเรื่องมากกว่านั้นนี่ จริงด้วย ตอนนี้ชานอนน่ะ—
[เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่าคุณชานอนกำลังนอนอยู่แต่ตกลงมานี่นา…! ต่อหน้าผมเลย]
[เอ๊ะ?]
ทั้งสามคนมองกลับมาด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?
[พูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?]
[ก็บอกว่า ที่คุณชานอนไม่บาดเจ็บเลยนี่มันแปลกมากเลยนะ!]
เพราะเห็นด้วยตัวเองเลยว่าชานอนนั้นตกลงมาจากหน้าผาลงตรงหน้าเขา ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน
แต่คนพ่อและคนแม่กลับมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
[ไคล์นี่ก็นะ ต่อให้เป็นจอมเวทที่เก่งขนาดไหนตกจากหน้าผาสูงขนาดนั้นก็ไม่ไหวหรอก ไม่เห็นบาดเจ็บตรงไหนด้วยนี่]
คนพ่อแอบมีน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเช่นกัน
[ใช่แล้วละ จริง ๆ เลย ลูกพูดอะไรออกมาเนี่ย ดูความเป็นจริงบ้างสิ]
[ไม่นะ เดี๋ยวสิ…ตกหน้าผามาจริง ๆ ใช่ไหม!? คุณชานอน]
[ไม่นี่ ไม่ได้ตกนะ]
[เอ๊ะ เอ๋!?]
อยู่ดี ๆ ชานอนก็หักหลังกันเดี๋ยวนั้น ไคล์ทำได้แค่อ้าปากค้าง
[ไม่นะ ก็มัน…]
[พูดเรื่องอะไรอยู่กันเนี่ยเด็กคนนี้]
[คนที่กินเห็ดพิษเข้าไปคือลูกเองหรือเปล่าเนี่ย ไคล์]
ผู้ปกครองทั้งสองถอนหายใจด้วยความโมโห แล้วหัวเราะเบา ๆ
[แต่ แต่ว่า…ผมเห็นด้วยตาตัวเองเลยนะ]
ยังไงนั่นก็ไม่ได้ฝันไปแน่อน! ตอนนั้นน่ะเห็นด้วยตาตัวเองจริง ๆ นะ
สาวสวยผมทองกำลังนอนจมกองเลือดอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ไม่มีเหตุผลใดที่จะลืมภาพนั้นไปได้เลย
แต่ชานอนก็ยักไหล่ใส่
[ไคล์เอ๋ย ถ้าตกจากหน้าผาขนาดนั้นต่อให้เป็นจอมเวทก็ตายแน่นอนนะ]
[คุณชานอนก็พูดแบบนั้นเหมือนกันอีก!? มะ มันก็จริงที่ว่าปกติต้องเป็นแบบนั้น…แต่ก็ตกลงมาจริงนี่! แถมยังตัวเด้งไปเหมือนกับลูกบอลด้วย]
ไคล์พยายามทำมืออธิบายว่ากระเด็นเหมือนลูกบอลเป็นอย่างไร
[เป็นงั้นเหรอ?]
[ก็ใช่น่ะสิ! ภาพที่ไม่สมจริงแบบนั้นน่ะมัน…เอ๋ หรือเป็นผมเองที่แปลกกันเนี่ย…]
เริ่มกุมหัวด้วยความสับสน
ถ้าปฏิเสธกันขนาดนี้ก็เป็นไปได้ว่าภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้
ความจริงแล้วช่วงเวลานั้นคอก็แห้งผากจากความร้อนด้วย…
อาจเป็นเพราะภาพหลอนจากหน้าร้อนหรือเพราะเห็ดพิษจริง ๆ ….
คนเราตกหน้าผาสูงขนาดนั้นไม่ได้ คิดว่าเป็นภาพลวงตาน่าจะยอมรับได้มากกว่า
ทันใดนั้นคนแม่ที่มองว่าการถกเถียงนี้คงไม่จบไม่สิ้นแน่ จึงได้เอ่ยปากเพื่อยุติเรื่อง
[ไม่เป็นไรนะ ไคล์ไม่ต้องดึงดันขนาดนั้นก็ได้ ที่คุณชานอนปลอดภัยก็ดีแล้วนี่นา เรื่องนี้สำคัญที่สุดถูกไหม?]
[ก็จริงอยู่หรอก…]
[ถ้างั้นอย่ารบกวนคุณชานอนเท่านี้ดีกว่านะ ไคล์เองก็คงเหนื่อยแย่เหมือนกัน ช่วงนี้พยายามมากเลยนี่นา วันนี้ก็ไปพักซะนะ]
คนแม่พูดด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
[ยังรับไม่ได้เท่าไหร่เลยนะ…!]
ระหว่างที่ไม่พอใจก็กัดเนื้อย่างเข้าไปในปาก
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีก
จากนั้นก็มีเสียงพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับแขกที่ไม่ได้มีมานานในบ้านของไคล์ดังจนดึกจนดื่น